หลินเฟิงกำลังเข้าฌานอยู่ในห้องลับโดยไม่แยแสต่อสิ่งใด ตอนนี้เขากำลังผสานกับพิภพอยู่
ตอนนี้เองหยวนชี่ฟ้าดินได้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของหลินเฟิงอย่างต่อเนื่อง หลินเฟิงในตอนนี้เหมือนกับผืนมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
ในขณะเดียวกัน การไหลเวียนของหยวนชี่นี้ ยังมีกลิ่นอายจิติญญาลอยออกมา นั่นก็คือเสี้ยวิญญา์
จากการต่อสู้ครั้งนั้นก็ล่วงเลยมาสองวันแล้ว สองวันที่ผ่านมานี้ หลินเฟิงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะพลังของตนอยู่เช่นนั้น
เพื่อฟื้นฟูหยวนชี่และพลังจิติญญา ในขณะเดียวกันก็ได้ใช้เสี้ยวิญญา์และแยกพวกมันออกมาอีกครั้ง เมื่อพลังของจิติญญาแข็งแกร่งขึ้น จำนวนของเสี้ยวิญญาก็มากตามไปด้วย แล้วยังส่งผลให้จิติญญางูม่วงของเขาแข็งแกร่งขึ้น หากต้องต่อสู้ครั้งต่อไป เขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน
หลินเฟิงอยากแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นยังไม่ทันที่เขาจะรักษาอาการาเ็จนหายดี เขาก็มาฝึกฝนจิตใจและเพิ่มจำนวนเสี้ยวิญญาของเขาแล้ว
เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตน แม้จะยากแค่ไหนเขาก็สามารถอดทนได้ และเต็มใจรับความเ็ปจากการฝึกฝนทั้งหมด
เขาไม่้าให้คนอื่นมาคุกคามเขา เขาไม่้าพึ่งพาพลังของเมิ่งฉิงทุกครั้งที่เผชิญอันตราย เพราะหลินเฟิงตระหนักดีว่านางคงไม่อาจปกป้องเขาได้ทุกครั้ง
เพียงชั่วพริบตา เวลาก็ล่วงเลยไปสามวันแล้ว หินหยวนระดับกลางในตอนนี้ก็เสียไปจำนวนมาก หลินเฟิงเองก็ดูดซับหยวนชี่จนแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
แสงหยวนชี่สีขาวกำลังผันผวนในบรรยากาศ และพุ่งเข้าสู่ร่างกายของหลินเฟิงอย่างบ้าคลั่ง ทำให้หลินเฟิงรู้สึกว่าร่างกายของตนช่างเบาสบาย ความรู้สึกนี้ทำให้หลินเฟิงเบิกบานใจเป็ที่สุด
เมื่อฝึกเคล็ดวิชาฉุนหยวนไปจนถึงจุดสูงสุด ร่างกายของหลินเฟิงจึงเปล่งประกายสีขาว ท่ามกลางแสงสีขาวนี้ราวกับแฝงไปด้วยพลังอันไร้ที่สิ้นสุด นี่ก็คือพลังเจินหยวน แม้จะไม่มากนัก แต่พลังเจินหยวนที่ปรากฏนี้หมายความว่า หลินเฟิงใกล้เข้าถึงขอบเขตลี้ลับแล้ว
“ตูม!” เสียงะเิที่ไม่แรงนักเกิดขึ้นภายในร่างกายของหลินเฟิง หยวนชี่ฟ้าดินมหาศาลจมหายไปในร่างของหลินเฟิง ในเวลาเดียวกันแสงสีขาวจากพลังเจินหยวนได้เปล่งออกมาแล้วหายไปในทันที
หลินเฟิงที่ปิดตาอยู่อ้าปากเล็กน้อยและหายใจเข้าลึกๆ เมื่อเขาลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย
“ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9 อีกเพียงก้าวเดียวก็จะทะลวงผ่านขอบเขตลี้ลับ อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น” หลินเฟิงพึมพำกับตัวเอง ่เวลาหกเดือนที่ผ่านมาเขาใช้เวลาไปกับการศึกษาความทรงจำของผู้ยิ่งใหญ่และฝึกฝนจนถึงตอนนี้ หลังจากผ่าน่ามา หลินเฟิงได้บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9 และเหลืออีกขั้นเดียวก็จะถึงขอบเขตลี้ลับ
หลังจากบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9 แล้ว ทว่าหลินเฟิงยังไม่ลุกจากที่เดิม เขาหลับตาลงอีกครั้งและฝึกฝนทักษะเสี้ยวิญญา์ต่อ
หลินเฟิงไม่อาจเสียเวลาพักแม้แต่น้อย ไม่ว่าการบ่มเพาะจะเ็ปหรือน่าเบื่อแค่ไหนก็ตาม ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับจิตใจที่มั่งคง เพื่อเหนือกว่าใคร เพื่อพลิกฟ้าดิน เพื่อหลีกเลี่ยงจากการกลั่นแกล้ง แล้วสังหารทุกคนที่พยายามจะสังหารเขา
เมื่อหลินเฟิงก้าวออกจากห้องลับมันก็ผ่านไปเจ็ดวันแล้ว นอกห้องลับเป็ห้องรับแขกกว้างขวาง แต่กลับไม่มีใครอยู่สักคน
ข้างห้องลับที่หลินเฟิงฝึกฝนนั้นล้วนเป็ห้องมืด ที่มองผ่านๆ ก็ดูเหมือนเป็ห้องเก็บของ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าห้องเก็บของนั้นเป็ส่วนหนึ่งของห้องลับ
เมิ่งฉิงเองก็ควรจะฝึกฝนด้วย แต่หลังจากาครั้งใหญ่นั้นมันทำให้นางเหนื่อยล้าเหมือนกัน
“ท่านหัวไปไหนแล้ว!”
หลินเฟิงพึมพำในใจขณะเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง ในนั้นมันแตกต่างจากข้างนอกโดยสิ้นเชิง เพราะข้างในเต็มไปด้วยบรรยากาศอันร้อนระอุ นอกจากความร้อนแล้วยังมีกลิ่นของยาด้วย
“ไม่ๆ ตาเฒ่าชื่อ ขั้นตอนนี้ควรละลายใบบัวก่อน แล้วค่อยตุ๋นในไฟปานกลาง และใช้พลังจิติญญาควบคุมถึงจะถูก”
เสียงความขัดแย้งดังมาจากภายในห้องที่ร้อนระอุนั้น เสียงนี้คือเสียงของท่านหัว ดูเหมือนว่าเขากำลังโต้เถียงกับใครบางคนอยู่
“ตาเฒ่าหัว เ้าน่ะผิดแล้ว หากละลายใบบัวก่อนแล้วค่อยตุ๋นล่ะก็ มันจะทำให้ประสิทธิผลของเม็ดยาไม่เท่ากัน และทำให้การกลั่นเม็ดยาจิตโลหิตไม่สำเร็จอย่างแน่นอน”
เสียงของฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะรุ่นเดียวกับท่านหัว นอกจากนี้เสียงของเขายังเต็มไปด้วยความดื้อรั้น
“ดูเหมือนว่าท่านหัวและสหายของเขากำลังกลั่นเม็ดยาจิตโลหิตอยู่”
หลินเฟิงกล่าวอย่างแ่เบา เมื่อเขาเข้าไปในห้องกลั่นเม็ดยา จึงเห็นว่าท่านหัวกับชายชราอีกคนกำลังนั่งจ้องตากันอยู่ ดูเหมือนความคิดของพวกเขาจะไม่ลงรอยกัน และข้างๆ พวกเขามีหม้อหินใบใหญ่อยู่ใบหนึ่ง
ท่านหัวได้รับสูตรปรุงเม็ดยาจิตโลหิตมาและกำลังถกเถียงกับชายชราอีกคนอยู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองสนิทสนมกันดี
หลินเฟิงเหลือบมองชายชราทั้งสอง แล้วมองไปที่ชายชราคนหนึ่งที่มีผมสีแดง หัวใจของเขาเริ่มเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย เพราะคุ้นหน้าชายชราที่อยู่กับท่านหัว เขาเป็ชายชราที่เสนอราคาหม้อัเก้า์ในลานประมูล แต่สุดท้ายหลินเฟิงก็ประมูลชนะเขา
เมื่อชายชราผมแดงเห็นหลินเฟิงแล้ว เขาก็ยิ้มและพยักหน้าให้เล็กน้อย
“ท่านผู้าุโ” หลินเฟิงกล่าวขณะโค้งคำนับเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ
“หลินเฟิง ในเมื่อเ้าเป็คนมอบสูตรปรุงเม็ดยาจิตโลหิต เ้าคิดว่าขั้นตอนนี้ต้องนำใบบัวไปละลายแล้วค่อยตุ๋นด้วยไฟหรือไม่?” ท่านหัวถาม เขา้ารู้ให้แน่ชัดว่าใครถูกใครผิด
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว! หากละลายแล้วค่อยตุ๋น ด้วยพลังจิติญญาของเ้า เ้าจะสามารถควบคุมการแพร่กระจายของใบบัวได้หรือ? หากเม็ดยาจิตโลหิตมันไม่สัมพันธ์กับส่วนผสมทั้งหมดที่มีอยู่ เ้าคิดว่ามันจะสามารถปรุงเม็ดยาจิตโลหิตได้หรือ?”
ชายชราผมแดงโกรธอีกครั้ง
เมื่อเห็นทั้งสองกำลังทะเลาะกัน หลินเฟิงกลับเผยรอยยิ้มออกมา ในโลกใบนี้มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถโต้แย้งกับตัวเองได้ ความสัมพันธ์เช่นนี้ต่างทำให้ผู้คนต้องอิจฉา เพราะคนคนนั้นคือสหายที่แท้จริง
“ท่านหัว ท่านผู้าุโ การกลั่นเม็ดยาจิตโลหิตนี้ข้าก็ได้ศึกษามาบ้างแล้ว แต่ว่าความรู้ในการกลั่นเม็ดยาของข้ายังตื้นเขินไป จนไม่อาจกลั่นเม็ดยาจิตโลหิตได้ ถ้าหากท่านทั้งสองกลั่นเม็ดยาด้วยกันล่ะก็ ผลลัพธ์ที่ได้อาจยอดเยี่ยมก็เป็ได้”
หลินเฟิงกล่าวดังนั้น ทำให้ชายชราผมแดงต้องขมวดคิ้ว
“หลินเฟิง เ้าอย่าเรียกว่าท่านผู้าุโเลย เรียกข้าว่าท่านชื่อก็พอ บางทีมันอาจเป็เพราะเ้าไม่เคยกลั่นเม็ดยามาก่อน การกลั่นเม็ดยานั้นทุกขั้นตอนต้องถูกต้องและแม่นยำ แต่ละขั้นตอนล้วนสำคัญมาก หากผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียวก็จะล้มเหลวทันที นอกจากนี้มันอาจทำให้หม้อปรุงยาเสียหายหรือถูกทำลายได้”
ชายชราผมแดงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ถึงอย่างไรการกลั่นเม็ดยาคนเดียวก็ย่อมเหมาะสมมากกว่าสองคน
“เื่นี้ข้ารู้ดี แต่บางทีข้าอาจแก้ปัญหานี้ได้” หลินเฟิงกล่าวยิ้มๆ จากนั้นเขาก็นั่งลงข้างๆ ท่านหัวและท่านชื่อหน้าหม้อปรุงยา
“พวกท่านทั้งสองรู้สึกถึงพลังของจิติญญาได้”
เมื่อหลินเฟิงกล่าวจบก็หลับตาลง ท่านหัวและท่านชื่อต่างมองหน้ากัน แล้วพวกเขาก็หลับตาลงทันที ทุกคนเริ่มปลดปล่อยพลังจิติญญาออกมาและปล่อยให้มันไหลเข้าไปในหม้อปรุงยาช้าๆ
เพียงชั่วพริบตาท่านหัวและท่านชื่อต่างรู้สึกได้ถึงพลังจิติญญาของอีกฝ่าย มันราวกับมีดวงตาที่โกรธเกรี้ยวสองดวง พวกเขารู้สึกว่าบรรยากาศในตอนนี้แตกต่างออกไป เพราะแต่ละคนมีความรู้สึกของตัวเอง นั่นจึงเป็เหตุผลที่ว่าการกลั่นเม็ดยาสองคน มันคงไม่มีทางเป็ไปได้
อย่างไรก็ตามในขณะนั้นได้มีภาพลวงตาปรากฏขึ้นช้าๆ มันเป็พลังจิติญญาของหลินเฟิง
กลุ่มแสงสีขาวนั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวไปช้าๆ เข้าปกคลุมจิติญญาของพวกเขา ทันใดนั้นจิติญญาของพวกเขาก็เหมือนกับอยู่ในโลกที่แตกต่างออกไป จิติญญาของทั้งสามดูเหมือนจะก้าวไปในทางเดียวกัน และกำลังหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับโลกใบนี้
แสงสีขาวชี้นำจิติญญาของพวกเขา จากนั้นมันก็เข้าไปในหม้อหิน ท่านหัวและท่านชื่อต่างััถึงจิติญญาของอีกฝ่ายได้ชัดเจน ซึ่งมันช่างลึกลับเป็อย่างมาก
ในขณะนั้นแสงสีขาวได้มลายหายไป จู่ๆ ความรู้สึกที่แปลกประหลาดก็หายไปทันที ััของท่านหัวและท่านชื่อกลับมาเป็ดังเดิม จากนั้นพวกเขาก็ลืมตาขึ้นและมองหลินเฟิงด้วยดวงตาเป็ประกาย
“ผสานกับเทวโลก!”
“หลินเฟิง เ้าบอกมาพวกข้าซะดีๆ ว่าเ้าเข้าสู่ขอบเขตผสานกับเทวโลกแล้วใช่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว หลินเฟิงจึงพยักหน้าเป็คำตอบ นั่นทำให้ท่านหัวและท่านชื่อชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็มองตากันก่อนจะะเิหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ตาเฒ่าหัว ที่เ้ารู้จักหลินเฟิงเช่นนี้นับว่าเป็โชคดียิ่งนัก เมื่อมีขอบเขตผสานกับเทวโลกแล้ว พวกเราทั้งสอง ไม่สิ… พวกเราทั้งสามจะสามารถกลั่นเม็ดยาได้ในเวลาเดียวกัน แต่ประสิทธิผลของเม็ดยาและอัตราความสำเร็จนั้น ไม่รู้ว่าจะสูงสักเท่าไร”
ท่านชื่อกล่าวยิ้มๆ ก่อนหน้านี้ทั้งสองได้กลั่นเม็ดยาด้วยกัน แต่มันไม่สำเร็จ เมื่อมีขอบเขตผสานกับเทวโลกของหลินเฟิงแล้ว ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น สองผู้เชี่ยวชาญกลั่นเม็ดยาด้วยกัน ความผิดพลาดอาจลดน้อยลง โอกาสนี้ถือว่าหาได้ยากมากสำหรับผู้กลั่นเม็ดยา และโอกาสที่ว่าก็ไม่ได้มาง่ายๆ ทว่าหลินเฟิงกลับทำให้พวกเขามีโอกาสทำเช่นนั้นได้