เมล็ดพันธุ์ของการคืนชีพ รวบรวมพลังสูงสุดของฟ้าดิน และพลังสูงสุดของฟ้าดินเป็พลังที่สุดขั้วที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในโลกธาตุ ดั่งเช่น ยอดแห่งหยิน ยอดแห่งหยาง ยอดแห่งความชั่วร้าย ยอดแห่งพิษ เป็ต้น
อาจกล่าวได้ว่า หลังจากดูดซับพลังอันสุดขั้วของฟ้าดินแล้ว จะแปรสภาพเป็สิ่งทรงพลังในระดับขั้นสูงสุด เช่นเดียวกับเมล็ดพันธุ์ของการคืนชีพซึ่งเป็ยอดแห่งพิษที่ได้ดูดซับพลังฟ้าดิน และกลายไปเป็พิษยมโลกคืนชีพ!
แม้ว่าเมล็ดพันธุ์นี้อาจจะกลายเป็พิษที่ร้ายแรง แต่ก็อาจจะกลายเป็โอสถวิเศษแห่งความเป็ะได้เช่นกัน!
โอสถวิเศษแห่งความเป็ะ คือโอสถวิเศษที่มีอยู่ในตำนาน เล่ากันว่า หากได้กลืนกินโอสถชนิดนี้ จะมีชีวิตที่เป็ะ และได้รับพลังแห่งความเป็ะอันเป็นิรันดร์
“ถึงแม้จะเป็ไปได้ที่จะรวบรวมพลังสูงสุดของฟ้าดินทั้งหกชนิดเพื่อแปลงเป็โอสถวิเศษแห่งความะ แต่หากดูดซับยอดพิษแห่งฟ้าดินที่รวมกัน ก็จะกลายเป็พิษยมโลกคืนชีพได้ เช่นนั้นแล้ว ั้แ่ามาถึงปัจจุบัน เกรงว่าคงมีข้าเพียงคนเดียวที่ปลูกพิษชนิดนี้ไว้ในร่างกาย!” ฉินอวี่ดีใจอย่างคาดไม่ถึง และไม่นึกเลยว่าเขาจะได้รับความโชคดีมากมายเช่นนี้หลังจากได้รับชีวิตใหม่
ในภายภาคหน้าหากมีเวลาค่อยสำรวจเมล็ดพันธุ์ของการคืนชีพ แต่ตอนนี้สิ่งที่เร่งด่วนที่สุด คือการก้าวเข้าสู่ขั้นยุทธ์เก้าระดับ และเปิดจุดตันเถียนขึ้นมา ถึงเวลานั้นก็จะเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเมล็ดพันธุ์แห่งการคืนชีพ
หลังจากนั้น ฉินอวี่จึงเริ่มทำการสำรวจร่างกายของตนเอง และเริ่มพิจารณา
“แม้ว่าวิชาเซียนมรรคา์จะสามารถทำให้การฝึกฝนขั้นเริ่มต้นเป็ไปได้อย่างรวดเร็ว แต่รากฐานและพลังล้วนแต่ไม่เปลี่ยนแปลง ข้ายังต้องใช้วัตถุดิบของยาเป็จำนวนมากเพื่อใช้หลอมร่างกาย ด้วยหนทางนี้เท่านั้น จึงทำให้รากฐานมีความมั่นคงและพัฒนาระดับการฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว” เมื่อคิดถึงจุดนี้ วิชาของการฝึกกายนับร้อยในจิตใจของซิงเฉินจื่อก็รวบรวมกันขึ้นมา ท้ายที่สุด เขาก็เลือกวิชาที่เหมาะสมออกมาชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็วิธีการหลอมกายที่เหมาะสมกับร่างกายในปัจจุบัน
เมื่อคิดถึงเื่นี้ ฉินอวี่ก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปเปิดประตูห้อง
เสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาที่เฝ้าอยู่นอกประตูรีบหันหน้ามาอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาของพวกนางคืุ์ที่ดำสนิทคนหนึ่งที่ส่งกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง
“โอ๊ย... เหม็นจะตายอยู่แล้ว...” เสี่ยวฮวาใช้มือบีบจมูกไว้แน่น พลางพูดด้วยความประหลาดใจ
“คุณชายสาม...” เสี่ยวเถาวิ่งเหยาะๆ ออกไปทันที มองดูฉินอวี่ด้วยความประหม่า หากไม่ใช่เพราะในหลายวันมานี้ไม่มีผู้ใดเข้าไปในห้อง เสี่ยวเถาอาจจะคิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่คุณชายสาม
“เตรียมน้ำดื่มกับของกินไว้ให้ข้าด้วย” ฉินอวี่กล่าวอย่างเรียบเฉย
“รับทราบ... รับทราบ...” เสี่ยวเถารีบตอบรับอย่างรวดเร็ว และลากตัวเสี่ยวฮวาออกไปตระเตรียม
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม
เสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาจ้องไปทางฉินอวี่ที่กำลังกินอย่างตะกละตะกลาม พวกนางไม่ได้มีท่าทางเช่นนี้เพราะการกินของฉินอวี่ แต่เป็เพราะหลังจากฉินอวี่เปลี่ยนเสื้อผ้าและหวีผมเรียบร้อยแล้ว บุคลิกของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
ประการแรก ผิวทั่วทั้งร่างของเขาดูบอบบางราวกับเด็กทารก มีความเปล่งปลั่งอยู่เล็กน้อย หน้าตาดูเคร่งขรึมจริงจังราวกับเป็คนละคน ผนวกกับความเย่อหยิ่งที่เยือกเย็น ทำให้เสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาต่างต้องตกตะลึง นี่คือคุณชายสามที่เป็คนธรรมดาคนนั้นหรือ? แม้แต่อารมณ์ที่น่ากลัวของคุณชายรองก็ยังไม่เท่าหนึ่งในสิบส่วนของคุณชายสาม
ฉินอวี่เมินเฉยต่อสายตาของทั้งสองคน ในตอนนี้เขากำลังหิวมาก ก่อนหน้านี้ตอนทำการสำรวจเมล็ดพันธุ์ของการคืนชีพยังไม่รู้สึกอะไร แต่หลังจากลุกขึ้นมา เขาก็รู้สึกหิวเป็อย่างมาก
หลังจากกินล้างกินผลาญไป ฉินอวี่ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย ฉินอวี่ใช้ผ้าขาวเช็ดคราบน้ำมันที่มุมปาก จากนั้นค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และมองไปทางเสี่ยวเถา ก่อนจะพูดว่า “ข้ามีศิลา... ศิลาิญญาอยู่เท่าไร?”
เสี่ยวเถารู้สึกตัวจากความใเป็คนแรก ใบหน้าของนางแดงก่ำ และพูดด้วยความสับสนเล็กน้อย “คุณชายสาม... พวกเรามีศิลาิญญาที่ไหนกัน มีเพียงเศษของเงินสองร้อยตำลึงเท่านั้น ซึ่งเป็เงินที่คุณหนูสี่แอบขโมยมาให้ท่าน...”
เมื่อได้ยินชื่อของคุณหนูสี่ ดวงตาของฉินอวี่ก็เริ่มเปล่งประกายเล็กๆ และเมื่อหวนนึกถึงเสี่ยเอ๋อ ดวงตาของเขาก็เริ่มอ่อนโยน และพูดอย่างเ็า “ตระกูลต้องให้เงินข้าทุกเดือนมิใช่หรือ?”
ถึงเสือจะร้ายก็ไม่กินลูกตัวเอง แม้ว่าผู้นำตระกูลฉินจะผิดหวังอย่างไรกับร่างก่อน แต่ในทุกเดือนเขาก็ยังให้เงินกับตนเองมิใช่หรือ?
“เอ๊ะ? คุณชายสามลืมไปแล้วหรือ? ท่านและคุณชายรองพนันกันเอาไว้ว่าเมื่อไม่รับเงินจากตระกูลจะมีโอกาสใช้ชีวิตรอดได้หรือไม่? ดังนั้น นับั้แ่นั้นมาทางตระกูลจึงไม่เคยส่งเงินมาให้คุณชายสามอีกเลย” เสี่ยวเถากล่าวอธิบายพลางมองฉินอวี่ด้วยความประหลาดใจ
ดวงตาของฉินอวี่หรี่ลงเล็กน้อย ร่างก่อนหน้านี้คงจะดูโง่เกินไปมาก ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาไม่สามารถก้าวสู่ขั้นยุทธ์ได้ เส้นทางของการฝึกฝน ถ้าขาดทรัพยากรก็ยากที่จะเดินต่อไป
หลังจากนั้น เขาจึงลุกขึ้นและเดินออกจากที่พำนักไปทันที “นำเงินมาให้ข้า ข้าจะไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง พวกเ้าไม่ต้องตามมาล่ะ”
“เดี๋ยวก่อน คุณชายสาม... นายท่านมีคำสั่ง ว่าหากท่านไม่สามารถเข้าสู่ขั้นยุทธ์ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์จะออกจากจวน...” เสี่ยวเถาพูดอย่างกังวล หากฝ่าฝืนอีกครั้ง เสี่ยวเถาก็ไม่รู้เช่นกันว่านายท่านจะทำโทษคุณชายสามอย่างไร
“ใครบอกว่าข้ายังไม่ก้าวเข้าสู่ขั้นยุทธ์?” ฉินอวี่ย้อนตอบโดยไม่หันหน้ากลับไปมอง ก่อนจะเดินออกไปจากที่พำนัก
เสี่ยวเถาและเสี่ยวฮวาหันมองหน้ากันและกัน หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวเถาก็พูดอย่างตะกุกตะกัก “เสี่ยวฮวา... ข้า... ข้าได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่ คุณชายสามบอกว่า... บอกว่าเขาเข้าสู่ขั้นยุทธ์แล้วหรือ?”
ใบหน้าของเสี่ยวฮวาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “แย่แล้ว... คุณชายสามคงจะเสียสติไปแล้ว...”
เมืองหลักเทียนอู่คือเมืองหลวงของแคว้นอู่ ซึ่งเป็ศูนย์กลางการทหาร การค้า และเศรษฐกิจของแคว้นอู่ ในแต่ละวันมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างหลั่งไหลเข้ามายังเมืองหลักเทียนอู่
นอกจากนี้ ในครึ่งปีหลังแคว้นอู่จะจัดงานชุมนุมครั้งใหญ่ขึ้น เมืองหลักเทียนอู่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มีการหมุนเวียนของผู้คนอย่างถึงที่สุด ซึ่งมีจำนวนมากถึงหนึ่งล้านกว่าคน
ขณะที่เขาเดินมาถึงถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน ฉินอวี่ก็มองไปโดยรอบด้วยความอยากรู้ แม้ว่าเขาจะเป็ผู้ดูแลหอตำราของสำนักเทียนฉี แต่ก็น้อยครั้งที่เขาได้ออกจากสำนักเทียนฉี และไม่บ่อยนักที่เขาจะได้เดินทางไปยังเมืองใหญ่เ่าั้ ความเข้าใจเื่เมืองใหญ่ของเขาจำกัดอยู่เพียงในตำราเท่านั้น
ท้องถนนเชื่อมโยงกันราวกับใยแมงมุม ถนนทุกสายเต็มไปด้วยความวุ่นวายของรถม้าและผู้คนจำนวนมาก สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย มีทุกสิ่งทุกอย่างครบครัน ฝูงชนเดินไปมาราวกับก้อนเมฆ คนจำนวนไม่น้อยนั่งอยู่สองข้างถนน กำลังจัดเรียงของแต่ละชิ้นที่ตนเองนำมาขาย ทั้งเสียงเรียก เสียงะโ และเสียงสนทนาที่ดังก้องไปทั่ว จึงเป็สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเมืองหลักเทียนอู่นั้นมีความเจริญอย่างชัดเจน
ฉินอวี่ยังไม่รีบร้อนไปตามหาวัตถุดิบยาสำหรับหลอมกาย แต่เขามองไปยังร้านค้าที่อยู่รอบๆ และมีบางครั้งที่เขาลองชิมอาหารเลิศรสที่ริมทาง และััได้ถึงวัฒนธรรมของคนท้องถิ่น
ครึ่งวันผ่านไป
ฉินอวี่หันกลับไปมองทางด้านหลัง และยิ้มเย้ยขึ้นมาที่มุมปาก ก่อนจะเดินเข้าไปยังร้านค้าแห่งหนึ่ง จากนั้นไม่นาน ใบหน้าของฉินอวี่ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก ใบหน้าที่ดูเคร่งขรึมเ็าดูหยาบขึ้นทันที และเปลี่ยนเสื้อผ้าชั้นดีของตนเองเป็เสื้อผ้าธรรมดาอย่างเหล่าบัณฑิตทั่วไป
ฉินอวี่เหลือบมองคนสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล จากนั้นจึงก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว นับั้แ่ออกมาจากจวนตระกูลฉิน ฉินอวี่ก็สังเกตเห็นว่ามีคนกำลังติดตามเขาอยู่ จึงเดินหลบเลี่ยงไปรอบๆ เพื่อสลัดคนทั้งสองนั้นออกไป
หลังจากกำจัดคนที่สะกดรอยตามเขาได้แล้ว ฉินอวี่ก็เดินเตร็ดเตร่ต่อไป จนไปถึงร้านขายยาร้านหนึ่งของเมืองหลักเทียนอู่ที่มีชื่อว่า “หมื่นสรรพสิ่ง”
หลังจากสำรวจดูสิ่งของทั้งหมดที่ขายอยู่ในร้านขายยาอย่างคร่าวๆ ในใจก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ฉินอวี่จึงตรงเข้าไปหาคนงานในร้านทันที
“สหายท่านนี้ ไม่ทราบว่า้าอะไรหรือ?” หญิงสาวที่ออกมาต้อนรับฉินอวี่เป็สาวสวยที่มีรูปร่างผอมเพรียว เสียงของนางชัดเจน รอยยิ้มบนใบหน้าทำให้ผู้คนที่ได้พบเจอต่างรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง
“มอบสิ่งนี้ให้กับผู้ดูแลที่นี่ บอกเขาว่าข้ารออยู่ที่นี่” ฉินอวี่หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา ที่เขียนตัวอักษรสามตัวขนาดใหญ่ซึ่งดูกระฉับกระเฉง ยื่นส่งให้กับคนงานคนนี้ทันที
คนงานในร้านยิ้ม หลายวันมานี้มีเื่เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้นนางจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลย ได้แต่เพียงให้ฉินอวี่รออยู่ตรงนั้น ก่อนนางจะเดินจากไป
ไม่ทันถึงหนึ่งในสี่ชั่วยาม ผู้าุโในชุดธรรมดาก็รีบเดินเข้ามา ฉินอวี่มองดูอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะพูดขึ้น “คำสามคำเมื่อครู่นี้ เป็ของสหายผู้นี้หรือ?”
ฉินอวี่พยักหน้าเล็กน้อย
“สหาย นักปรุงยาจื่อเชิญเข้าพบ” สีหน้าของผู้าุโอดไม่ได้ที่จะเผยความตื่นเต้นออกมา
ผู้าุโเดินนำฉินอวี่เข้าไปยังอาคารชั้นบนของร้านขายยา
“สหาย เชิญ!” ผู้าุโผายมือเชิญฉินอวี่เข้าด้านใน
ฉินอวี่เปิดประตูออกและเดินเข้าไป ทันทีที่เข้าไปด้านใน ฉินอวี่ก็รู้สึกได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่ห่อหุ้มร่างกายของเขา ฉินอวี่แอบพูดจาเย้ยอยู่ในใจ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และกล่าวอย่างเ็า “สหาย นี่คือวิธีต้อนรับแขกหรือ?”
เมื่อเขาเห็นคนที่นั่งอยู่ในห้อง ฉินอวี่ไม่เพียงแต่ใเท่านั้น
เขามองเห็นเพียงหญิงสาวที่สวมชุดกระโปรงสีม่วงกำลังนั่งอยู่ในห้องอย่างสง่างาม หญิงสาวคนนั้นม้วนผมเกล้าเป็มวยสูง เผยให้เห็นคอสวยระหง เมื่อมองดูรูปร่างหน้าตาของนางอีกครั้ง ยิ่งทำให้คนใคิดว่าเป็ชาว์ นางดูอ่อนโยนและขาวผ่องราวกับจะดีดให้หักด้วยนิ้วได้ จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากที่ไร้การย้อมแต่งแต่แดงดั่งผลพลัมสีแดง ประกอบกับความเย่อหยิ่งเยือกเย็น ทำให้หญิงสาวคนนี้ไม่เพียงแต่มีรูปลักษณ์ที่น่าทึ่งแต่ยังรวมถึงอารมณ์ของนางด้วย
ต้องบอกเลยว่า ฉินอวี่เคยพบเจอกับหญิงงามในสำนักเทียนฉีมาแล้วมากมาย แต่หญิงสาวคนนี้สามารถจัดไว้ในอันดับแรกๆ ได้อย่างแน่นอน
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องประหลาดใจยิ่งไปกว่านั้น คือหญิงสาวคนนี้ได้บรรลุถึงขั้นเทียนชุ่ยขั้นที่หนึ่งแล้ว ด้วยคุณสมบัติระดับนี้อายุเช่นนี้ หากอยู่ในสำนักเทียนฉี จะต้องเป็บุคคลสำคัญที่ถูกดูแลเป็อย่างดีแน่นอน
“สหาย เ้าบอกว่าเ้ามีเม็ดยาพลังปราณหรือ?” หญิงสาวคนนั้นพูดกับฉินอวี่อย่างเฉยเมย บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ น้ำเสียงของนางดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์
“ไม่มีหรอก” ฉินอวี่ละสายตาจากหญิงสาวคนนั้น และพูดอย่างเ็า เกี่ยวกับอักษรที่เขาเคยเขียนไปก่อนหน้านี้ “เม็ดยาพลังปราณ”
หญิงสาวคนนั้นเบิกดวงตางดงาม และะเิอารมณ์ออกมาอย่างไร้เหตุผล ดวงตาสีดำสนิทของนางจ้องตรงไปทางฉินอวี่ และเริ่มขยับริมฝีปากสีแดงของนาง ก่อนจะพูดขึ้น “เช่นนั้นสหายคงจะมาล้อเล่นกับคนอย่างข้า จื่อซวินเอ๋อหรือ?”
ฉินอวี๋กล่าวต่อไปอย่างเ็า “ข้ามีใบปรุงยา”
“อะไรนะ?” รูม่านตาของจื่อซวินเอ๋อหดลงอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ดูแข็งทื่อ หลังจากผ่านไปไม่นาน จื่อซวินเอ๋อก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มมีรอยยิ้มบนใบหน้าที่มากยิ่งขึ้น จากนั้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
ผืนผ้าไหมสีม่วงลากไปกับพื้น เดินตรงเข้าไปหาฉินอวี่ เมื่อนางเข้ามาใกล้ก็วางมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ของฉินอวี่ทันที มือข้างซ้ายที่อ่อนโยนเหมือนรากบัวได้โอบรอบคอของเขาไว้ราวกับงูน้ำ ร่างกายของนางเอียงเข้ามาใกล้ หันข้างไปทางใบหน้าของฉินอวี่ และดูเหมือนมีอะไรในใจ ลมหายใจเหมือนดั่งกล้วยไม้ที่มีกลิ่นหอมอย่างธรรมชาติ เมื่อริมฝีปากสีแดงเข้ามาใกล้หูของเขา ก็มีเสียงพูดเบาๆ “เ้าบอกว่า... เ้ามีใบปรุงยาของเม็ดยาพลังปราณหรือ?”