บนกำแพงเมืองแซมบอร์ดที่อยู่ห่างออกไป
เลขานุการบาร์เซิลที่ได้เห็นฉากนี้ ร่างผอมสูงก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทิ้มขึ้นมา รู้สึกหน้ามืด ปากของเขาอ้ากว้าง เผยให้เห็นลิ้นสีเหลืองดำ ผมหงอกบนหัวก็ลู่ไปตามแรงลม ดวงตาเย็นะเื เป็ไปไม่ได้...เป็ไปไม่ได้...มันยังไม่ตาย...ทำไมเป็แบบนี้..มันเป็สัตว์ประหลาดหรือไง? โดนฝนธนูทะลุร่างขนาดนั้นยังรอดมาได้อีก? มันสมควรตายไปแล้ว!!!
ชายชรารู้สึกตัวเองใกล้จะเป็บ้า
กิลที่กำลังยืนดีอกดีใจอยู่ข้างๆ ก็พลันทรุดตัวนั่งกับพื้น อเล็กซานเดอร์ยังไม่ตาย ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนมีเสียงกระซิบบอกกับเขา แย่แน่ โชคดีของตัวเองหายไปแล้ว เื่ยุ่งยากกำลังจะมาแล้ว
ใต้หอสังเกตการณ์
เสียงโห่ร้องปลุกสติให้แองเจล่าตื่นขึ้น ท่าทางโศกเศร้าของนางราวกับดอกไม้ที่กำลังแห้งเหี่ยว ดวงตาสูญเสียประกายความสดใส เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องจากตรงสะพานนางจึงเงยหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาขึ้นมอง แต่ตอนนี้เอง สายตาของนางก็หยุดชะงัก หัวใจของสาวน้อยไม่อาจควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจที่กำลังเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่งได้ เพราะในดวงตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตา มองเห็นร่างที่คุ้นเคยกำลังยืนอยู่บนสะพาน สาวน้อยที่กำลังโศกเศร้าก็พลันขยี้ตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ...พระเ้า เป็เขาจริงๆด้วย!
ความสดใสและความมีชีวิตชีวาพลันกลับมา ชั่วพริบตาเหมือนร่างบางได้เกิดใหม่
“อเล็กซานเดอร์...”
แองเจล่าพูดเสียงกระซิบ น้ำตาของนางก็ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้อีกครั้ง แต่น้ำตานี้มันแตกต่างกับน้ำตาแห่งความโศกเศร้าก่อนหน้านี้ ครั้งนี้เป็น้ำตาแห่งความปีติ นางลุกขึ้นแล้วเช็ดน้ำตาตัวเองอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็ไม่สนใจเสียงร้องห้ามของบรู๊คและแลมพาร์ดที่เพิ่งย้อนกลับมา นางถกกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็วราวกับนกน้อยที่กำลังมีความสุข
“ข้าอยากไปหาเขา!”
ในใจของสาวงามกู่ร้องบอกตัวเองเช่นนี้
เส้นทางจากเมืองแซมบอร์ดไปถึงสะพานนางเคยเดินไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน บางครั้งก็ไปยืนชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกบนสะพาน เพื่ออธิษฐานขอพรให้อเล็กซานเดอร์ผู้น่าสงสาร แต่แองเจล่าไม่เคยคิดเลยว่าถนนนี้มันช่างยาวเหลือเกิน
นางแทบทนไม่ไหวอยากจะหายตัวไปที่สะพานแล้วกอดชายคนนั้น
“เอ๊ะ ระวัง...แองเจล่า...วิ่งช้าหน่อย...เ้าวิ่งเร็วเกินไปแล้ว รอข้าด้วย!”
สาวน้อยเจ็มม่าะโไล่หลังไปอย่างมีความสุขก่อนจะวิ่งตามลงไป หางม้าที่มัดรวบด้านหลังกวัดแกว่งไปมา ดูสดใสและมีความสุข ทำให้ในดวงตายอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองแซมบอร์ดอย่างแฟรงก์ แลมพาร์ดที่ยืนอยู่บนกำแพงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนหน้านี้เขาเห็นซุนเฟยถูกยิงบนสะพานจนกลายเป็เม่นสีขาว แลมพาร์ดตกตะลึง เขารีบะโลงจากกำแพงโดยไม่คำนึงถึงร่างตนเองและลนลานวิ่งไปทางสะพาน...แต่ในตอนนั้นเขาฉุกคิดถึงคำขอร้องของอเล็กซานเดอร์ก่อนหน้านั้นได้ ที่ขอให้เขาดูแลแองเจล่า มันทำให้เขาลังเล ก่อนจะตัดสินใจกลับมาอยู่ข้างกายแองเจล่าเพื่อคุ้มครองนาง
โชคดีที่แองเจล่าไม่เป็ไร
่เวลาสำคัญ บรู๊คที่มีไหวพริบเฉียบแหลมได้อารักขานางอยู่ข้างๆ
โชคดีที่ตอนนี้อเล็กซานเดอร์มีชีวิตรอดกลับมา ส่วนข้าศึกก็แตกพ่ายพากันหลบหนีทั้งกำลังเสริมของราชอาณาจักรเซนิทก็มาถึงแล้ว อันตรายของเมืองแซมบอร์ดทั้งหมดได้หายไปในทันที ทุกอย่างจบลงด้วยดี
คิดถึงตรงนี้ แลมพาร์ดนึกถึงใบหน้าของ ‘าาองค์ก่อน’ ที่มักจะนิ่งสงบอยู่เสมอก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา นี่เป็ครั้งแรกที่เขายิ้มได้อย่างเบิกบานใจ เขายิ้มพลางเหลือบไปมองสีหน้ามืดครึ้มของเลขานุการบาร์เซิล ในดวงตาของแลมพาร์ดเต็มไปด้วยความยั่วยุ
ก่อนจะร้องฮึออกมาอย่างเ็า
……
ริมฝั่งแม่น้ำจูลี่
หลังจากที่ทหารเกราะดำนับพันกว่าคนที่ทัพแตกถูกเหล่าอัศวินเกราะเงินหลายร้อยนายสังหารจนสิ้น ก็เร่งเดินทางมาหยุดอยู่ตรงฝั่งแม่น้ำ รถม้าั์สีแดงหนึ่งคันที่มีม้าลากถึงแปดตัวแหวกฝูงชนเดินออกมาจากตรงกลางอย่างช้าๆ ขนาดตู้รถม้าอย่างน้อยๆ ก็สามเมตร รองรับล้อไม้ขนาดใหญ่สี่ล้อ รถม้าทั้งคันดูเหมือนจะถูกแกะสลักมาจากไม้ั์ ้าแกะสลักด้วยลวดลายดอกไม้หนามและยังแกะสลักนกน้อยตัวหนึ่งที่ดูเหมือนจริงมาก ทั้งสองด้านมีหน้าต่างเล็กๆ ระบายอากาศอยู่สองบาน ที่น่าแปลกใจคือคนขับรถม้าเป็อัศวินสวมชุดเกราะน่าเกรงขามคนหนึ่ง และยังมีรูปร่างกำยำแข็งแกร่ง
เมื่อเห็นรถม้ามาถึง หัวหน้าอัศวินในชุดเกราะหรูหราที่ถูกซุนเฟยฟาดจนกระเด็นก็ตรงเข้ามาปีนขึ้นไปบนรถม้าแล้วร้องห่มร้องไห้ เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แล้วแต่งเติมอย่างเกินจริงด้วยน้ำเสียงคับแค้นใจ “ท่านพี่นาตาชา ไอ้คนสมควรตายนั่นดูถูกศักดิ์ศรีของราชอาณาจักรเซนิทเรา ทั้งยังด่าแม้กระทั่งข้า...ข้าไม่ปล่อยมันแน่”
ในรถม้าเกิดความเงียบอยู่หลายนาที
ต่อมาก็มีเสียงอ่อนแรงดังออกมาจากด้านใน “จิมมี่ เป็เ้าที่ยั่วยุเขาก่อนหรือเปล่า? คราวนี้ได้พบกับยอดฝีมือที่ไม่สนใจว่าเ้าเป็องค์ชายน้อยแห่งราชอาณาจักรเซนิท การเสียเปรียบก็ถือว่าเป็บทเรียนแล้ว หลังจากนี้พี่ไม่อนุญาตให้เ้าสร้างปัญหาใดๆ อีก...พี่จำได้ว่าเคยบอกเ้ามาแล้วหลายครั้ง หากอยากเป็อัศวินที่แท้จริง อาศัยแค่คุณงามความดีในาและพลังของตัวเองมันไม่พอหรอก เ้ายังต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ซื่อสัตย์ การเห็นอกเห็นใจ ความกล้าหาญ ความยุติธรรม การเสียสละ เกียรติยศและจิติญญา เ้าต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์ทั้งแปดนี้เสมอ ถึงจะเป็อัศวินที่แท้จริงได้”
เสียงอ่อนแรงนี้ฟังแล้วเหมือนกับว่าคนพูดมีอาการป่วยเรื้อรังมานานไร้ซึ่งพลัง ทว่ากลับมีพลังในการมองคนออก นางสามารถมองทะลุถึงคำโกหกขององค์ชายน้อยอย่างจิมมี่ โตรบินสกี้ได้ จึงถือโอกาสอบรมน้องชายที่ไม่ได้เื่ของตัวเองไปด้วย
เดิมทีองค์ชายน้อยโตรบินสกี้อยากขอให้พี่สาวช่วยจัดการสั่งสอนไอ้คนป่าเถื่อนที่กล้ามาหยามตน แต่ตอนนี้กลับโดนอบรมเสียเอง ในใจก็คิดพยายามจะพูดแก้ตัว “ท่านพี่ แต่ครั้งนี้ตำหนิข้าไม่ได้จริงๆ...”
“เอาเถอะ เื่นี้จบไปแล้ว หากเ้ายังมีความคิดแผลงๆ อะไรอีก ข้าจะให้ทหารส่งเ้ากลับไป...” เสียงอ่อนแรงในรถม้าพูดตัดบทโตรบินสกี้น้อยอย่างเ็า สักพักก็พูดว่า “เชิญท่านเบสท์มานี่เถอะ”
โตรบินสกี้น้อยลุกขึ้นยืน แล้วหันกายพลางโบกมือเรียกทหาร จากนั้นก็กระซิบบอกทหารที่อยู่ข้างๆ ว่า “ไปบอกผู้นำทางสมควรตายนั่นว่าข้าเรียก”
ทหารรับคำก่อนจะหันกายเดินออกไป
สักพัก ทหารก็เดินนำชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบปี สวมผ้าคลุมลินินหยาบๆ มาหา ชายคนนั้นสูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเิเ ผมสั้นสีดำเป็ระเบียบ คิ้วดาบ จมูกงุ้ม รูปร่างสันทัด ใบหน้าดูดี แม้ว่าร่างจะสวมเพียงผ้าลินินหยาบๆ แต่ด้วยท่าทางสบายๆ ของเขาทำให้คนรู้สึกเหมือนเขาสวมเสื้อผ้าที่ราคาแพงที่สุดในโลก เป็นิสัยเฉพาะตัวที่สง่างามมองเห็นได้ชัด หากเป็สมัยวัยรุ่นเขาคงเป็ชายที่หล่อที่สุดเป็แน่ แม้ว่าตอนนี้จะอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว แต่เขาก็ยังคงมีเสน่ห์ที่ทำให้สาวน้อยบริสุทธิ์หลงใหลได้
“เ้าคือเบสท์ ‘ผู้นำทาง’ ที่ต่ำต้อยใช่ไหม รีบไปบอกลูกเขยาาปัญญาอ่อนของเ้าว่า เอกอัครราชทูตของราชอาณาจักรเซนิทเดินทางมาถึงแล้ว ให้มันรีบออกมาคุกเข่าต้อนรับเสีย...” บางที อาจเป็เพราะอิจฉา ในฐานะเพศเดียวกันจึงอดไม่ได้ที่จะพูดจาเสียดสี องค์ชายน้อยโตรบินสกี้มองชายแก่ที่ยังคงความหล่อเหลาตรงหน้าที่เป็ผู้นำทาง แม้ว่าจะแก่ แต่กลับดูกระฉับกระเฉง ‘ผู้นำทาง’ พูดเพียงแค่สองคำ
“รับพระบัญชา องค์ชาย!”
ชายวัยกลางคนที่ชื่อเบสท์ไม่แสดงท่าทางโกรธเคืองใดๆ เขาโค้งกายแสดงความเคารพอย่างสูง จากนั้นก็เดินทางไปเมืองแซมบอร์ดด้วยท่าทางไม่เร็วและไม่ช้า ท่าทางที่ไม่แสดงตัวต่ำต้อยแต่ก็ไม่โอหังแบบนี้ ทำให้องค์ชายน้อยรู้สึกว่าท่าทางของตัวเองเมื่อครู่ราวกับพวกบ้านนอกที่ไร้การศึกษา ในใจก็แทบกระอักเืด้วยความหดหู่ หลังจากหันไปมองรอบๆ เมื่อไม่เห็นว่ามีคนสนใจตัวเองก็ยกนิ้วกลางไปทางเบสท์
ในที่สุดก็กลับมาถึงเมืองแซมบอร์ดสักที ความกังวลกลัดกลุ้มใจตลอดทางพลันสลายไป
เมื่อเห็นกำแพงเมืองยังคงตั้งตระหง่าน เบสท์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ยังดีที่กำลังเสริมมาทัน สถานการณ์เลวร้ายจึงยังไม่เกิด ทหารเกราะดำยังไม่ได้ทำลายปราสาท...” คิดถึงตรงนี้เบสท์ก็ถอนหายใจอีกที การดำรงอยู่ของยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมืองแซมบอร์ดอย่างแฟรงก์ แลมพาร์ด ไอ้เฒ่าบาร์เซิลก็คงไม่กล้าก่อเื่วุ่นวายอะไร แองเจล่าและาาปัญญาอ่อนนั่นก็น่าจะปลอดภัย
การต่อสู้ที่รุนแรงและซากศพจำนวนมากบนพื้นที่เหลือไว้ในสนามรบ ทำให้ในใจเบสท์รู้สึกหวาดกลัว เขาไม่รู้ว่าเมืองแซมบอร์ดทำอย่างไรถึงยังยืนหยัดไว้ได้ ต้องเผชิญหน้ากับทหารเกราะดำที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็อย่างดีสามพันกว่านายที่ล้อมเมืองไว้ ทหารองครักษ์สี่ร้อยคนทำอย่างไรกันนะถึงได้ต้านไว้ได้ตั้งห้าวัน?
ตอนที่เดินมาถึงสะพาน เบสท์ก็ต้องตะลึงจนอ้าปากค้าง
“พระเ้า...ดุเดือดมาก! สะพานหินถึงกับพังเลยหรือ? ไม่รู้ว่าเป็ความคิดของใครกัน? อืม แลมพาร์ดและบรู๊ค สองคนนั้นหัวรั้นจะตาย ไม่น่าจะใช่...หรือว่าเป็บาร์เซิล?ไอ้เฒ่านั่นทำความดีเป็ด้วยหรือ?”
เบสท์ก้มหน้าพลางครุ่นคิด
ตอนนี้เองเขาได้ยินเสียงโห่ร้องไม่ขาดสายดังมาทางสะพานที่ถูกตัดขาด จึงรู้สึกสนใจ ไม่รู้ว่าทำไม คนถึงไปรวมตัวที่นั่นมากมายและกำลังฉลองอะไรบางอย่างอยู่ ท่ามกลางเสียงกระแสน้ำ เขาได้ยินรางๆ อยู่สองคำนั่นคือ “องค์าาทรงพระเจริญ!” “ฝ่าาทรงพระเจริญ!” ในใจของเบสท์ก็ยิ่งใ องค์าาทรงพระเจริญ? เอ๊ะ...ไม่ใช่ว่าพูดถึงอเล็กซานเดอร์เด็กโง่นั่นหรอกนะ?
เบสท์รีบเร่งฝีเท้าไปยังสะพานที่ถูกตัด
และเขาก็ได้เห็นฉากที่ทำให้ตนเองนั้นต้องอ้าปากตาค้างคือ...
ลูกสาวคนสวยผู้แสนบริสุทธิ์ผุดผ่องของตน แองเจล่าลูกรักกำลังวิ่งออกมาจากเมืองอย่างเร่งรีบ สูญเสียกิริยามารยาทที่สุภาพสตรีพึงมีไป เหมือนผีเสื้อที่สวยงามบินอย่างมีความสุขท่ามกลางดงดอกไม้ ใบหน้าแดงๆ เบียดแทรกฝูงชนก่อนจะโผเข้ากอดร่างวัยรุ่นคนหนึ่งที่ชุดเกราะเต็มไปด้วยเืทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ นางกอดเด็กหนุ่มคนนั้นแน่น
เบสท์แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองเห็น
พระเ้า แองเจล่าบุตรสาวที่งดงามบริสุทธิ์ของเขา ั้แ่เมื่อไรที่ลืมตัวขนาดนี้ กอดเด็กหนุ่มแปลกหน้าท่ามกลางสาธารณะชน หรือว่านางลืมฐานะราชินีในอนาคตไปแล้ว? ใน่เวลาที่ตนเองออกจากเมืองแซมบอร์ดมันเกิดอะไรขึ้น?
คิดถึงตรงนี้เบสท์พลันหวาดระแวง
เขาคิดว่าเขาควรเตือนลูกสาวผู้โง่เขลาของเขาสักหน่อยว่าอย่าหลงกลคำหวานที่ออกมาจากพวกผู้ชาย เบสท์รีบเดินไปตรงขอบสะพานหินที่ถูกตัดแล้วจงใจแหกปากเสียงดังว่า “เฮ้ แองเจล่าที่รักของข้า ข้ากลับมาแล้ว!”
……
ขอบสะพานที่ถูกตั้งฝั่งตรงข้าม
ซุนเฟยที่กำลังเพลิดเพลินไปกับความนุ่มนิ่มในอ้อมกอดของตนนั้น จู่ๆ คู่หมั้นสาวแสนสวยก็วิ่งเข้ามากอดเขา ทำให้เขาตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะรู้สึกยินดีขึ้นมา พลางคิดในใจอย่างมีความสุขว่า “ฮ่าๆๆ นี่สินะที่เรียกว่าวีรบุรุษต้องคู่กับสาวงาม ฮิๆๆ...”
ซุนเฟยดีใจจนกัดฟันแทบหัก เวลานี้มีสาวงามมาอยู่ในอ้อมแขนช่างกระตุ้นให้น้ำลายไหลอย่างอดไม่ได้จริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินเสียงแหกปากที่ไม่รู้จักที่ตายดังขึ้นว่า แองเจล่าที่รักของข้า ข้ากลับมาแล้ว!
ซุนเฟยพลันโมโหขึ้นมา
“เวรเอ๊ย ไอ้สารเลวตัวไหนมันไม่มีตาวะ กล้าดีอย่างไรมาพูดจาหยอกล้อผู้หญิงของบิดา?”
ในใจของซุนเฟยเหมือนมีน้ำส้มสายชูเทลงไป ทำให้เขาไม่อาจจะควบคุมความโมโหที่กำลังลุกไหม้ขึ้นมาได้ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ จากนั้นก็มองตามสายตาของทุกคนที่กำลังมองไปทางสะพานฝั่งตรงข้าม ก็เห็น ‘ชายหน้าขาว’ รูปร่างหน้าตาดูดีมีเสน่ห์ที่ฝั่งตรงข้าม กำลังจ้องมองมาที่สาวงามในอ้อมกอดของตนเอง เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาไม่ดีแน่
“ไอ้แก่นี่เป็ใคร?”
ซุนเฟยรู้สึกคันหมัดตัวเองเล็กน้อย
----------