อย่าไปหลงเชื่อคำพูดตู้อี้ซ่าวหรือ?
อวิ๋นอี้นั่งโยกตัวไปมาอยู่ที่ข้างเตียง เลิกคิ้วมองหรงซิวอย่างยียวน “เพราะเหตุใดเพคะ?”
หรงซิวหยุดไปครู่หนึ่ง เดินมานั่งข้างนาง “เขามีอคติกับข้า”
“อคติอันใด?”
“เพราะว่าข้าอภิเษกกับเ้า เขาไม่พอใจ” หรงซิวพูดอย่างเยือกเย็น “ใน่แรกที่ข้าจะอภิเษกกับเ้า ข้างนอกต่างพูดกันว่าข้าบังคับให้เ้ากับชายหนุ่มที่โตมากับเ้าให้แยกจากกัน สิ่งที่ผู้คนไม่รู้คือ เ้าเป็คนหลงรักข้าหัวปักหัวปำแท้ๆ ข้าไม่รู้ว่าเ้ารู้สึกเช่นไรกับตู้อี้ซ่าว แต่เขามักจะเห็นข้าเป็ศัตรูเสมอ”
อวิ๋นอี้ได้ยินเช่นนี้ ความรู้สึกแย่ๆ ก็ผุดขึ้นเป็ลางสังหรณ์ในใจ
หรงซิวพูดออกมาอย่างเ็า "อวิ๋นเออร์ นี่เป็หนี้ดอกท้อ [1] ของเ้า ตู้อี้ซ่าวจะพูดเื่ดีๆ ของข้าต่อหน้าเ้าได้เช่นไร?"
อวิ๋นอี้ยักไหล่ “ฝ่าาเองก็พูดเื่แย่ๆ ของเขาได้นี่เพคะ?”
"ข้าคนนี้มิได้น่าเบื่อเช่นนั้น" หรงซิวบีบใบหน้าเล็กๆ ของนาง "เช่นไรเสีย คำพูดของเขา เ้าแค่ฟังก็พอ มิต้องไปเชื่อ"
เดิมอวิ๋นอี้ไม่ได้คิดจะเชื่ออันใด แต่หรงซิวผู้ที่ไม่เคยสนใจคำของคนนอกมาตลอด กลับพูดอธิบายให้นางฟังอย่างตั้งใจและจริงจังเช่นนี้ ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้ของนาง
เทียนสีแดงในห้องค่อยๆ ลุกไหม้ นางมองชายหนุ่มที่อยู่ใกล้ๆ หน้าตาหล่อเหลา ั์ตาลึก จู่ๆ ก็เอียงหน้า ขยิบตาให้หรงซิว แล้วถามว่า “ได้เพคะ ข้ามิเชื่อคำของเขา แล้วข้าจะเชื่อคำของฝ่าาได้หรือไม่เพคะ"
"เ้ากับข้าเป็สวามีชายากัน เราต้องเชื่อใจซึ่งกันและกันอยู่แน่แล้ว" หรงซิวจับมือนางและเอาไปจูบเบาๆ
อวิ๋นอี้ไม่สนใจการกระทำที่ถึงเนื้อถึงตัวเช่นนี้ พูดต่อว่า "ในเมื่อเป็เช่นนี้ นับั้แ่ที่อวิ๋นเออร์ตื่นขึ้นมา จนบัดนี้ ข้ายังมีสิ่งที่คิดไม่ตกหลายอย่าง มิรู้ว่าฝ่าาจะยินดีที่จะอธิบายให้ข้าฟังได้หรือไม่เพคะ?”
"อวิ๋นเออร์มีสิ่งใดจะถาม จงถาม ข้าจะบอกเ้าในทุกสิ่งที่ข้ารู้"
"ได้เพคะ" อวิ๋นอี้ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เอามือตบเตียง “มาคุยกันบนเตียงเพคะ”
แววตาของหรงซิวขยับ เขามองนางด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็กะพริบตาด้วยขนตายาวๆ แล้วพูดว่า “เราถามคำถามพลางออกกำลังกายได้นะ”
“ไม่ ไม่ ไม่เพคะ" อวิ๋นอี้เข้าใจในทันที แกล้งตอบกลับโง่ๆ "เช่นนั้น มิจริงจังพอเพคะ"
เพื่อรักษาความจริงจังของการสนทนานี้ ทั้งสองจึงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง หันหน้าเข้าหาและสบตากัน ใบหน้าที่งดงามของทั้งสองประจันหน้า อวิ๋นอี้เห็นแสงและเงาที่สาดส่องของดวงตา จนต้องแอบกลืนน้ำลาย
หรงซิวยิ้ม เขาไม่พูดถึงเื่นั้น เอื้อมมือออกไปบอกนาง "เริ่มกันได้แล้ว"
"คำถามแรก วันนั้นที่ข้าพลัดตกหน้าผาไปฝ่าาได้อยู่ด้วยหรือไม่เพคะ?" อวิ๋นอี้คิดอยู่ในใจสักครู่หนึ่งแล้วก็ถามเขาอย่างหนักแน่นช้าๆ
ถึงแม้ว่านางจะไม่ใช่เ้าของร่างเดิม แต่ในเมื่อนางจับพลัดจับผลูเข้ามาในร่างของสตรีผู้นี้แล้ว นางควรมีชีวิตอยู่ให้ดีเพื่อนาง
อวิ๋นอี้เป็ผู้ที่หนักแน่น ไม่เพียงแต่จะมีชีวิตอยู่ แต่จะยังใช้ชีวิตให้สวยงามอีกด้วย ต้องใช้ชีวิตให้ดี
คราแรกนางไม่ได้มีข้อสงสัยอันใดเกี่ยวกับการหายตัวไปเช่นนี้ แต่ถ้าหากไม่มีลมคลื่นก็ไม่เกิด ไม่มีมูลตู้อี้ซ่าวจะกล้าพูดมั่วไปเรื่อยได้เช่นไร
หากจะบอกว่านางมิได้อภิเษก เพื่อที่จะทำลายภาพพจน์ของหรงซิว ตู้อี้ซ่าวจึงจงใจใส่ร้ายป้ายสี แบบนั้นคงจะมีเหตุผลอยู่บ้าง
แต่ว่านางอภิเษกไปแล้ว ตู้อี้ซ่าวจะโกหกนางด้วยเหตุใด?
หรงซิวเงียบไป ไม่พูดอันใดสักพัก
บนโต๊ะอาหารค่ำที่จวนอวิ๋น คำที่อวิ๋นอี้กับตู้อี้ซ่าวพูดกัน เขาฟังได้ชัดเจนทุกคำ อวิ๋นอี้จะถามเช่นนี้เขาย่อมเข้าใจได้
“หืม?” อวิ๋นอี้เดาไม่ถูกว่าหรงซิวคิดอันใดอยู่ จึงพูดเร่งอย่างลังเล
“ข้าอยู่ด้วย” เมื่อหรงซิวพูด น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย และพูดด้วยความรู้สึกผิดอย่างสุดซึ้งว่า “เื่ที่อวิ๋นเออร์ตกหน้าผาไป ข้ารู้สึกผิดมาก”
“กระนั้นฝ่าาช่วยอธิบายภาพในวันนั้นหน่อยได้หรือไม่เพคะ นัดกันไว้แล้วว่าจะไปปีนเขาด้วยกัน เหตุใดข้าถึงได้ตกหน้าผาไป?” อวิ๋นอี้ถามอย่างสงสัย
ใบหน้าหล่อเหลาของหรงซิวแสดงออกถึงความซับซ้อน
มีความไม่แยแสเล็กน้อยปนอยู่ด้วยความเสียใจ อารมณ์ต่างๆ ปนเปเข้าด้วยกัน ทำให้เขาหลับตาและถอนหายใจยาว
“วันนั้นเป็วันบูชาบรรพบุรุษ การบูชาบรรพบุรุษของราชวงศ์เราอยู่บนเขาหนิงอวิ๋น เหมันต์ปีที่แล้วหิมะตกตลอด และหนาแน่นมาก ถนนเป็หลุมเป็บ่อคดเคี้ยว หลังจากไหว้บรรพบุรุษเสร็จแล้ว พวกเราก็เตรียมตัวที่จะกลับจวน ข้ากำลังจัดการกับเื่ต่างๆ และยุ่งมาก จู่ๆ เ้าก็วิ่งมาคุยกับข้า บอกว่าจะไปเดินเล่นกับซูเมี่ยวเออร์"
อวิ๋นอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว ขัดจังหวะเขาแล้วถามว่า “ข้ากับซูเมี่ยวเออร์หรือเพคะ?”
“ใช่” หรงซิวมั่นใจมาก “แปลกใจใช่หรือไม่?”
แปลกใจเสียจริง
คิดไม่ถึงยิ่งนัก
อวิ๋นอี้คิดไม่ออกจริงๆ ว่านางกับซูเมี่ยวเออร์มีอันใดต้องคุยกัน เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ไม่ชอบกัน
หรงซิวพยักหน้า “ตอนนั้นข้าก็อยากรู้เช่นกัน เมื่อก่อนเ้าเป็คนเงียบๆ และเก็บตัว ปกติเ้าไม่ชอบคุยกับผู้อื่น การที่บอกว่าจะไปเดินกับซูเมี่ยวเออร์ทำให้ข้าไม่วางใจ ข้าจึงบอกกับเ้าว่าให้อยู่รอบๆ อย่าให้ละสายตา”
อวิ๋นอี้รับคำ คำพูดของเขานับว่าใส่ใจปกติ "พูดต่อเพคะ"
"เ้า..." หรงซิวสะอึกเล็กน้อย ดูทรมานเล็กน้อย อวิ๋นอี้กำลังจะถามว่าเกิดอันใดขึ้น ได้ยินเสียงสั่นๆ ของเขาพูดต่อ "เ้าเชื่อฟังมาก อยู่บนถนนที่ห่างออกไปมิมากนัก แล้วคุยกับนาง พวกเ้าหันหลังให้ข้า ข้ามองเห็นหน้าไม่ชัด มีมองไปดูเป็ครั้งครา ทุกอย่างปกติ จากนั้นซูเมี่ยวเออร์ก็จากไปด้วยรอยยิ้ม แต่เ้ากลับยืนอยู่กับที่ ขณะนั้นข้างานเสร็จแล้ว จึงะโเรียกเ้าให้กลับจวน แต่ในระยะห่างนั้น กว่าเ้าจะกลับมาหาข้าก็นิ่งไปอยู่นาน จากนั้น...”
“จากนั้นแล้วเป็เช่นไรเพคะ”
“แล้วเ้าก็ลื่นล้มลง ควบคุมตัวเองมิได้แล้วหงายหลังข้ามรั้วร่วงลงไป"
สีหน้าของหรงซิวแย่มาก เขาเอามือปิดหน้าแล้วพูดด้วยความเ็ป "อวิ๋นเออร์...ข้าขอโทษ ข้าเองที่ดูแลเ้าได้ไม่ดี... แต่ว่า...”
จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้น อวิ๋นอี้ไม่ทันที่จะได้ตอบสนอง เขาก็ดึงนางเข้ามาทันใด ทำให้นางเข้าไปในอ้อมกอดเขาอย่างแรง “โชคดีที่เ้ากลับมาอีกครา ขอบใจ...ขอบใจเ้าที่กลับมาหาข้า”
ชายที่กอดนางอยู่ ตัวสั่นเล็กน้อย แม้แต่แขนของเขาก็สั่นไปด้วย
ความเสียใจและความตระหนกของเขา เป็เื่จริง
อวิ๋นอี้ซึ้งใจนัก เอาสองมือค่อยๆ โอบเอวเขาไว้ แล้วค่อยๆ ตบหลังเขา อย่างปลอบโยน
ผ่านไปอยู่นาน กว่าหรงซิวถึงจะสงบลงได้
เขาก้มหน้าลงจูบผมของนาง "มีสิ่งใดจะถามอีกหรือไม่?"
"อืม..." อวิ๋นอี้พยักหน้าอย่างไม่ค่อยเป็ตัวเอง เสียงของนางเบากว่าเมื่อครู่นัก นางพึมพำอยู่นาน หรงซิวถึงจะเข้าใจคำถามของนาง
“ข้างนอกพูดกันมากมายว่าข้ากับฝ่าารักกันมาก แต่ทำไมเราถึงอภิเษกกันถึงสามปีแล้ว แต่ยังไม่เคยร่วมหอกันเลยเล่าเพคะ?”
แต่หลังจากที่เห็นความเขินอายของนาง หรงซิวก็ไม่คิดที่จะปล่อยนางไป เขาจับคางของนางเบาๆ บังคับให้นางเงยหน้าขึ้น
เขากะพริบตา ดูไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ "อวิ๋นเออร์กำลังโทษว่าข้ามิได้ร่วมหอกับเ้าให้เร็วหรือ?"
ไม่เลยสักนิด!
นางเพียงแค่สงสัยจริงๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ!
หรงซิวยิ้มอย่างมีความหมาย ทำให้อวิ๋นอี้โมโห ลุกขึ้นนั่งแล้วเขย่าไหล่เขาอย่างแรง "อ๊าๆๆๆ ฝ่าา ตอบคำถามเร็วเพคะ! ไม่งั้นข้าจะโกรธแล้วนะ!"
“ได้ ได้ ข้าจะตอบ" เขาดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด เม้มปากแล้วถาม "เ้าอยากจะฟังเื่จริงหรือเื่โกหกเล่า?"
เชิงอรรถ
[1] หนี้ดอกท้อ 桃花债 หมายถึง ความผิดในการให้ความหวัง หรือการหลอกให้คนอื่นมารัก