กู้หนานเฟิงไล่พ่อบ้านออกไป เมื่อเขาเห็นว่าหลิวเยว่ลังเลที่จะพูด ตอนนี้ในศาลาจึงเหลือเพียงพวกเขาสองคนนั่งเผชิญหน้ากัน ก่อนที่กู้หนานเฟิงจะเอ่ยถากถาง
“หลิวเยว่ จริงๆ แล้ว เ้าก็ไม่ได้งดงามล่มบ้านล่มเมืองถึงเพียงนั้น ไม่จำเป็ต้องจงใจปลอมตัวทำให้ตัวเองดูแก่ชราแบบนี้ก็ได้”
ปากของคนคนนี้ยังร้ายกาจดังเดิม หลิวเยว่ไม่มีความรู้แบบเขา นางหนีออกมาตอนค่ำจนยามนี้ก็เที่ยงคืนแล้ว ตลอดทางนางเคร่งเครียดมาก พอตอนนี้มาถูกกู้หนานเฟิงจับได้ นางย่อมไม่สามารถหลบหนีได้อีก เมื่อสติของนางผ่อนคลายลง นางจึงเริ่มรู้สึกเหนื่อยและหิว
“ไป กลับเมือง ข้าจะพาเ้าไปกินอาหารเย็น”
หลิวเยว่เดินตามหลังเขาไปอย่างว่าง่าย รถม้าของเขาจอดอยู่นอกถนนสายเก่า หลิวเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปถามเขา
“ข้านั่งในนั้นได้ด้วยหรือ”
“ได้แน่นอน”
กู้หนานเฟิงเปิดม่านขึ้นและให้หลิวเยว่เดินเข้าไป ส่วนเขาก็นั่งอยู่บนหลังม้าที่ยืนอยู่ข้างนอก เขาถือแส้และนั่งหลังตรง เมื่อสวมเสื้อคลุมสีขาว ทำให้เขาดูหล่อเหลาองอาจ เพียงแค่แผ่นหลังก็ทำให้เขามีเสน่ห์มากพอ ยิ่งไปกว่านั้น เขาร่ำรวยเกือบเท่าแคว้น ไม่น่าแปลกใจที่หญิงสาวทุกคนในเมืองเทียนเฉิงจะตกหลุมรักเขา รูปลักษณ์ หน้าตา และอุปนิสัยเช่นนี้ แม้แต่ในยุคปัจจุบัน เกรงว่าคงเป็เทพบุรุษที่เกิดมาพร้อมกับรอยยิ้มดึงดูดทุกคน ทำให้สตรีจำนวนมากหลงเสน่ห์
รถม้าโคลงเคลงไปมา นอกรถม้านั้น นางรู้สึกว่ามีคนอยู่ข้างนอกมากมาย ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาต่างหลีกทางให้เขา และบางคนก็เอ่ยเรียกเขาด้วยความเคารพ
“คุณชายเฟิง”
หลังจากนั้นไม่นานรถม้าก็หยุดลง กู้หนานเฟิงลงจากหลังม้า ก่อนจะเข้ามาเปิดม่านให้หลิวเยว่
“ถึงแล้ว ลงมาสิ” เขาเอื้อมมือไป
“ให้คนขับรถม้าเอารถไปเก็บที่สวนหลังบ้าน ข้าจะลงไปตอนนั้น” หลิวเยว่รู้ดีว่าต้องมีคนอยู่ข้างนอกไม่น้อยกำลังรอดูว่าสตรีที่คุณชายเฟิงให้นั่งบนรถม้าส่วนตัวนั้นเป็ใคร แม้ตอนนี้นางจะปลอมตัวอยู่ แต่นางก็ยังต้องระมัดระวัง
กู้หนานเฟิงเปิดม่านแล้วเอนตัวเข้ามา ยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับนางพลางเอ่ยว่า
“หลิวเยว่ อย่าคิดว่าเ้างดงามถึงเพียงนั้น ตอนนี้เ้าเหมือนคนออกมาจากโรงย้อมผ้า ไม่ต้องกังวล เ้าไม่สำคัญขนาดนั้น ไม่มีใครมองเ้า”
หลิวเยว่ยังไม่ยอมแพ้
กู้หนานเฟิงเริ่มร้อนใจแล้ว
“จะลงมาดีๆ หรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าหลิวเยว่ไม่สนใจ เขาจึงยื่นมือออกไปอุ้มหลิวเยว่ออกจากรถม้าโดยตรง
“เ้า...”
หลังจากลงมาจากรถม้าแล้ว เสียงโกรธเคืองของหลิวเยว่ก็หยุดลงทันทีเมื่อเห็นคนไม่น้อยกำลังยืนดู กลับกัน นางเอาศีรษะของตนซุกไว้ในอ้อมแขนของเขา พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นมองเห็น
เมื่อเห็นนางเป็ฝ่ายซุกเข้ากับอกของตน กู้หนานเฟิงจึงค่อนข้างภาคภูมิใจ
“ถ้ารู้ว่าจะเป็แบบนี้ จะทำทำไม” เขากระซิบข้างหูของนางด้วยรอยยิ้ม ในสายตาของคนอื่นๆ มันคือความหวานชื่นอันลึกซึ้ง
แต่หลิวเยว่เพียง้าหลีกเลี่ยงฝูงชน จึงกัดฟันพูด
“เ้ามันร้ายกาจ”
ทว่าคนที่อุ้มนางดูมีความสุขมาก
เมื่อเข้าไปข้างในกู้หนานเฟิงก็ยอมปล่อยนางลง ทันทีที่ร่างกายของหลิวเยว่เป็อิสระ นางก็ะโออกห่างจากเขาทันที ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาระมัดระวัง
กู้หนานเฟิงไม่ได้ใส่ใจ หลังจากนั่งลงแล้วเขาก็มองไปยังหลิวเยว่ที่อยู่ไม่ไกล และเอ่ยอย่างสบายใจ
“จะกลัวอะไร? คิดว่าข้าเป็สัตว์ร้ายหรืออย่างไร?”
“นั่งลง อยากกินอะไร ข้าจะให้แม่ครัวทำให้”
หลิวเยว่นั่งลงตรงข้ามเขา ยิ่งอยู่ไกลเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น กู้หนานเฟิงยังคงหัวเราะคิกคัก ไม่ดูโกรธเคืองแม้แต่น้อย
นี่คือร้านอาหารที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ห้องฝูจิ่นเซวียนที่พวกเขานั่งอยู่นั้นอยู่บนชั้นสามหันหน้าเข้าหาถนน มีหน้าต่างบานใหญ่ที่สามารถมองเห็นเมืองเทียนเฉิงได้โดยตรง เมื่อยืนอยู่ที่สูงจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ เมืองเทียนเฉิงแบ่งออกเป็สองส่วน ทางกำแพงเมืองทิศเหนือหรือก็คือที่ที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ เป็สถานที่ที่ชาวบ้านทั่วไปพักอาศัยกัน ถนนกว้างขวาง อาคารมีความเป็ระเบียบเรียบร้อย และบ้านเรือนที่เรียงรายล้วนถูกจัดวางอย่างเป็ระเบียบ ด้านตะวันออกและทางใต้ของกำแพงเมือง จะเป็คฤหาสน์ของบรรดาขุนนางชนชั้นสูงและพระราชวัง มุมหนึ่งที่สูงตระหง่านโดดเด่นของทางทิศใต้ราวกับจะทะลุเสียดฟ้าได้ก็ไม่ปาน ดูน่าเกรงขามและสง่างาม สมแล้วที่เป็ตำหนักของเหล่าราชวงศ์
แม้อยู่ห่างไกลกันเช่นนี้ แต่หลิวเยว่ก็ยังมองเห็นมันได้ในทันที พอนางคิดถึงว่าคนผู้นั้นอาศัยอยู่ที่นั่น และกำลังวางกลยุทธ์เพื่อควบคุมใต้หล้า พลันรู้สึกหดหู่เล็กน้อย
อาหารที่กู้หนานเฟิงสั่งก็มาถึงทีละจาน กระทั่งเต็มโต๊ะจนแทบจะเป็โต๊ะจีนแล้ว เขาเคาะขอบโต๊ะพลางพูดว่า
“เลิกเหม่อได้แล้ว มีเทพบุตรอันดับหนึ่งในเมืองเทียนเฉิงมาอยู่ต่อหน้าเ้า นิ่งอึ้งอยู่นานสองนานเช่นนี้เหมาะสมแล้วอย่างนั้นหรือ? เ้ารู้หรือไม่ว่ามีสตรีในเมืองเทียนเฉิงกี่คนที่รออยากร่วมกินข้าวกับข้า?”
เมื่อเห็นเขาพูดด้วยท่าทางจริงจัง หลิวเยว่จึงรู้สึกขบขัน และตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
“แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าวัวตายในเมืองเทียนเฉิงตายอย่างไร? ขี้โม้จนตายอย่างไรล่ะ!”
กู้หนานเฟิงสำลักทันที ก่อนจะเอ่ยสาบาน
“หลิวเยว่ ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะเอาเ้ามาอยู่ในกำมือให้ได้”
“ข้ารออยู่”
หลิวเยว่ตอบไปพลางเริ่มกินอาหารอย่างมีความสุข นางหิวมากจริงๆ เมื่อเจออาหารน่าอร่อยมากมายเหล่านี้ นางจะไปมีแรงจัดการกับกู้หนานเฟิงได้อย่างไร ครั้งสุดท้ายที่นางได้กินอาหารหรูหรา คือเื่ที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้ว
“ชาติที่แล้วเ้าต้องเป็ผีอดอยากมาอย่างแน่นอน สตรีที่ไหนจะกินอาหารแบบเ้า”
“ถ้าชาติที่แล้วเป็ผีอดอยากก็ดีน่ะสิ”
ดีกว่าร่างกายแหลกร้าวอยู่ใต้หน้าผา ไม่รู้ว่าศพของตนเองสภาพดีหรือไม่
กู้หนานเฟิงอารมณ์ดีมาก และเขาก็กินมากกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว เมื่อกินเสร็จแล้วเขาก็เอ่ยกับหลิวเยว่
“ประเดี๋ยวข้าจะพูดคุยกับสหายในโรงเตี๊ยมก่อน เ้าไปเดินเล่นรอข้า อีกสักพักข้าจะไปรับเ้ากลับจวน”
“อืม”
“อย่าคิดหนีล่ะ ประหยัดแรงของตัวเองเอาไว้ รู้หรือไม่?”
“เข้าใจแล้ว”
ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร หลิวเยว่ล้วนเห็นด้วย ตอนนี้นางตระหนักได้ถึงความจริงที่ว่า ไม่ว่านางจะหนีอย่างไรนางก็ไม่สามารถหนีจากฝ่ามือของกู้หนานเฟิงได้
หลังจากกินอิ่มแล้ว กู้หนานเฟิงก็จากไป นางพิงราวระเบียงอยู่เพียงลำพังทอดสายตามองดูกำแพงพระราชวังสีแดงที่อยู่ห่างไกลออกไป และนึกถึงความทรมานที่นางได้รับในตำหนักลิ่วฉือ แม้ว่านางจะใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันมามาก สภาพจิตใจของนางต่างจากชาติก่อน แต่สุดท้ายนางก็ยังรู้สึกเศร้า
“อาซี นอกจากใต้หล้านี้แล้ว ข้าจะมีเพียงเ้า”
“อาซี ข้าอยู่ในราชวงศ์ ข้าไม่มีทางเลือก ข้าต้องแต่งงานกับนาง มันเป็แค่ผลประโยชน์ เ้าต้องเชื่อข้า”
“เอาตัวนางเข้าไปในตำหนักลิ่วฉือ ห้ามใครเข้าออก”
อันที่จริงแล้ว พอมาคิดดูในตอนนี้ ยามนั้นอวิ๋นซู่ได้กล่าวอย่างชัดเจนแล้วว่า นอกจากใต้หล้านี้ ข้าจะมีเ้าเพียงคนเดียว
ใต้หล้าอยู่ข้างหน้า ส่วนนางอยู่ข้างหลัง
ในเวลานั้น นางยังคงไม่เข้าใจถึงความลำบากของเขา เอาแต่ทะเลาะกับเขา สร้างปัญหาให้เขา และสุดท้ายนางก็ต้องเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น นางรู้ดีถึงเื่ที่เขาไร้อำนาจในหมู่ราชวงศ์และในใจของนางรู้สึกยำเกรงเขามาก ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเท่าไร นางก็ยิ่งอยากจะอยู่ห่างให้มากขึ้นเท่านั้น ไม่รู้ว่ากู้หนานเฟิงจากไปนานเพียงใด ในที่สุดจิตใจของนางก็สงบลง มีพ่อค้าแม่ค้าผ่านไปผ่านมาอยู่บนถนนข้างล่าง และไม่ไกลนัก มีหญิงชราผมขาวสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นกำลังคลานขอทานอยู่บนพื้น สองมือของนางเต็มไปด้วยรอยหยาบกร้านและริ้วรอยจากกาลเวลา รวมถึงเล็บของนางก็ทั้งยาวทั้งสกปรก นางนั่งคุกเข่าและกราบลงบนพื้น
ในโลกที่สงบสุขและมั่งคั่ง มีขอทานแบบนี้เพียงไม่กี่คนบนถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรือง มีคนใจดีสองสามคนโยนเงินสองสามอีแปะให้นาง นางจึงโค้งคำนับและเอ่ยขอบคุณ
ในเวลานี้ อากาศไม่สดใสเท่ายามเช้า มันมืดครึ้มและดูเหมือนว่าฝนกำลังจะตก หลิวเยว่หยิบขนมดอกกุ้ยฮวาและขนมสับปะรดออกมาจากโต๊ะ ห่อพวกมันด้วยกระดาษน้ำมันก่อนจะเดินลงไปข้างล่าง
นางวางห่อขนมเมื่อครู่ลงตรงหน้าหญิงชรา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หยิบเงินสองสามเหรียญออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดใส่มือของหญิงชรา
“ขอบใจนะแม่นาง”
หญิงชราไม่หมอบอยู่บนพื้นอีก แต่นั่งตัวตรงและมองหลิวเยว่พร้อมกับกล่าวขอบคุณนาง
หลิวเยว่ยิ้มและไม่พูดอะไร แต่นางนั่งลงบนพื้นอย่างสบายๆ พิงกำแพงและเฝ้าดูผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา เมื่อเห็นหญิงชราถือขนมเ่าั้ไว้ในมืออย่างระมัดระวังราวกับไม่เต็มใจที่จะกิน ทำให้หลิวเยว่รู้สึกปวดใจเล็กน้อย
นางจึงเปิดห่อขนมดอกกุ้ยฮวาห่อหนึ่งออก หยิบมาหนึ่งชิ้นแล้วแบ่งเป็สองส่วน ก่อนจะยื่นส่วนหนึ่งให้หญิงชรา อีกส่วนหนึ่งก็เก็บไว้กินเอง
“กินสิ กินหมดแล้ว ครั้งหน้าข้าจะเอามาให้กินอีก”
หญิงชราไม่กล้าหยิบขนมอีกครึ่งหนึ่งจากมือของนาง เพราะนางเป็ขอทานข้างถนนมาทั้งชีวิต แค่คนโยนเหรียญทองแดงให้สองสามเหรียญนางก็ดีใจแล้ว ไหนเลยจะเคยมีใครมานั่งลงพูดคุยกับนาง ทั้งยังไม่รังเกียจแบ่งขนมให้นางกินอีก?
“แม่นาง ท่านดูเหมือนหงส์ท่ามกลางผู้คน ดูเป็ผู้รากมากดี”
นางหยิบขนมดอกกุ้ยฮวาชิ้นนั้นมาจากมือของหลิวเยว่ ไม่รู้ว่านั่นคือคำชมหรือคำทำนายโชคชะตา แต่หลิวเยว่ไม่สนใจ นางเพียงกล่าวว่า
“กินเถอะ กินเสร็จแล้วก็กลับบ้าน ดูเหมือนวันนี้ฝนจะตก”
หญิงชรากลับไม่ขยับ นางกินขนมดอกกุ้ยฮวาอย่างเชื่องช้าพลางมองหลิวเยว่ ก่อนจะมองดูท้องฟ้า แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้น
“ท้องฟ้ากำลังจะเปลี่ยน สาวน้อย ข้าหวังว่าคนดีอย่างเ้าจะได้รับผลตอบแทนที่ดี”
เมื่อหญิงชรากล่าวเช่นนี้ น้ำเสียงของนางกลับดังกังวานและทรงพลัง ไม่เหมือนหญิงชราขอทานที่อ่อนแอเมื่อครู่นี้ เมื่อมองสายตาของนางอีกครั้งในเวลานี้ แม้ว่าผิวของนางจะหยาบกร้านและเสื้อผ้าของนางยังขาดรุ่งริ่ง แต่ดวงตาคู่นั้นดูมั่นคงราวกับผ่านโลกมานักต่อนัก หลิวเยว่มักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างในคำพูดของอีกฝ่าย
ท้องฟ้ากำลังจะเปลี่ยน ไม่ได้แปลว่าสภาพอากาศกำลังจะเปลี่ยนไป เหมือนนางจะบอกว่าโลกกำลังจะหมุนเปลี่ยน
หลิวเยว่ใทันที ขณะที่นาง้าถามอีก หญิงชรากลับไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
“หลิวเยว่”
มีคนตบไหล่นาง เมื่อนางได้สติก็เห็นว่าเป็กู้หนานเฟิง
“มองอะไร?”
“ไม่มีอะไรเ้าค่ะ”
อันที่จริง กู้หนานเฟิงเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่แล้ว เขามองเห็นหลิวเยว่นั่งลงด้านข้างและพูดคุยกับขอทานที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งโดยไม่รังเกียจ ท่าทางเช่นนั้นกระแทกเข้ามายังเส้นประสาทตรงไหนสักเส้นในหัวใจของเขา เมื่อเขาคิดว่าตนเองจบสิ้นแล้ว แต่กลับไม่แน่ใจว่าจบสิ้นตรงที่ใด ส่วนปากของเขายิ่งควบคุมมันไม่ได้
“หลิวเยว่ ดูเหมือนข้าจะชอบเ้าจริงๆ แล้ว”
หลิวเยว่มองไปที่เขา
“คำพูดนี้ ไม่มีประโยชน์สำหรับข้า เ้าเก็บไว้พูดให้แม่นางคนอื่นฟังเถอะ”
“ข้าพูดจริงๆ ” กู้หนานเฟิงรู้สึกว่าหัวใจเขาเต้นรัวเร็วมาก
หลิวเยว่ตอบกลับ
“หัวใจเต้นเร็ว ถือเป็ปฏิกิริยาปกติเวลาบุรุษมองสตรี”
“แต่ปัญหาคือ ข้าไม่เคยมองเ้าเป็สตรี” กู้หนานเฟิงยังคงไม่ลืมจะเอ่ยคำพูดชั่วร้าย
“เช่นนั้นก็ถือว่าเป็ความโชคดีของข้า”
เมื่อกลับถึงจวน กู้หนานเฟิงก็เงียบไปครู่หนึ่ง เขามองไปที่หลิวเยว่อยู่พักใหญ่ ก่อนจะลูบบริเวณหัวใจ สุดท้ายจึงยิ้มบางๆ ขณะลงจากรถม้า รอยยิ้มของเขาเมื่ออยู่ในสายตาของคนอื่น ช่างหล่อเหลาเปล่งประกายราวกับดวงดาราและโชติ่ยิ่งกว่าแสงสว่าง แต่เมื่ออยู่ในสายตาของหลิวเยว่ เขาก็ไม่ต่างจากบุรุษคนอื่นๆ ในยุคปัจจุบันของนางไม่ว่าจะเป็บนถนน ในทีวี หรือบนอินเทอร์เน็ต แม้แต่โจวเฉิงิที่มีใบหน้าหล่อเหลามาก นางก็เห็นมาเยอะแยะ แต่นางก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด โจวเฉิงิมักจะบอกว่านางเป็สัตว์ที่ไม่มีความรู้สึกและเ็า
หลิวเยว่ไม่เชื่อว่ากู้หนานเฟิงชายหนุ่มเ้าชู้เสเพลอย่างเขาจะชอบนางจริงๆ ดังนั้นไม่ว่ากู้หนานเฟิงจะพูดอะไร นางก็ยังคงนิ่งสงบและไม่แยแส กู้หนานเฟิงจับมือของนางมาทาบบนตำแหน่งหัวใจของเขา แล้วแสร้งเอ่ยถามอย่างมีนัย
“เ้ารู้สึกว่ามันเต้นหรือไม่?”
หลิวเยว่ดึงมือของนางออกอย่างเ็า
“ถ้าหัวใจไม่เต้นก็คือคนตาย”
“ฮ่า หลิวเยว่ เ้านี่มันปากคอเราะร้ายจริงๆ แต่ข้าชอบ เ้าอย่าปฏิเสธ ข้าเคยมีสตรีมาหลายคน อาการหัวใจเต้นแบบปกติกับแบบที่ผิดปกติข้าสามารถแยกออกได้ หากเ้าไม่เชื่อ ก็ลองไปกับข้าที่ที่หนึ่งดู”
“ที่ไหน?”
“หอเฟยชุ่ย”
เมื่อได้ยินก็รู้ว่าเป็หอนางโลม หลิวเยว่ย่อมปฏิเสธ ทว่ากู้หนานเฟิงยังคงยืนกราน สุดท้ายนางจึงทำได้แค่ยอมไป แต่เขาต้องให้นางปลอมตัวเป็บุรุษ
“ได้” กู้หนานเฟิงตอบตกลงอย่างง่ายดาย และขอให้พ่อบ้านหาเสื้อผ้าบุรุษชุดใหม่มาให้นางสวม
เสื้อผ้าบุรุษที่ตัดเย็บอย่างเรียบง่าย มีสีเขียวทั้งชุดและมีหรูอวี้ประดับเอวหนึ่งชิ้น สวมแล้วดูเป็คุณชายรูปงามยิ่งนัก
กู้หนานเฟิงอดทอดถอนใจไม่ได้
“งดงามดี”
หลิวเยว่ยิ้มบางแต่ไม่พูดอะไร และไปยังหอนางโลมเฟยชุ่ยกับเขา
ภายใต้ความมืดมิดของราตรี ยังไม่ทันถึงหอเฟยชุ่ย ก็มองเห็นโคมยาวสีแดงห้อยอยู่บนที่สูงเต็มถนน และคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ผ่านไปมา ส่วนใหญ่เป็คุณชายที่แต่งกายหรูหรา เมื่อเห็นกู้หนานเฟิง พวกเขาต่างทักทายเขาด้วยความเคารพ
“คุณชายเฟิง”
“คุณชายเฟิง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
การเคลื่อนไหวเล็กๆ ตรงนี้ได้ไปดึงดูดความสนใจของแม่เล้าที่มีไหวพริบเฉียบแหลม นางเดินออกมาจากประตูอย่างสง่างาม
“โอ้ คุณชายเฟิง ท่านไม่ได้มาที่นี่มานานแล้ว พวกข้าคิดถึงแทบแย่” ขณะที่นางพูดนั้น ร่างกายของนางก็เอนเข้าไปใกล้มากขึ้น ทว่ากลิ่นแป้งบนร่างกายของนางฉุนมากเกินไป
กู้หนานเฟิงยังคงยิ้มอย่างมี 'เสน่ห์' แต่เขาหลีกเลี่ยงไม่ให้แม่เล้าััโดนตัวอย่างเงียบเชียบ โดยที่ใครก็ไม่สังเกตเห็น
“คุณชายเฟิง ท่านมาวันนี้ช่างบังเอิญยิ่งนัก หอเฟยชุ่ยของข้ากำลังมีการแข่งขันราชินีแห่งการเต้นระบำ”
"โอ้? เช่นนั้นก็จัดการให้พวกเราสักหน่อย"
“ได้เลยๆ เชิญเข้ามาเลยเ้าค่ะ”
เมื่อแม่เล้าเห็นโอกาสก็รีบคว้าเอาไว้ เห็นชายหนุ่มแปลกหน้าที่มีใบหน้างดงามยืนอยู่ด้านข้างก็ไม่ได้ถามอะไรมาก มีแต่ความเคารพและคำชื่นชม
“ผู้ที่แข่งขันเป็ราชินีแห่งการเต้นรำในวันนี้คือแม่นางเนี่ยนไป๋ที่คุ้นเคยกันดี และเตี๋ยเย่ผู้มาใหม่ มีแขกหลายคนเดิมพันกันว่าใครจะเป็ผู้ชนะ”
แม่เล้ายิ้มกว้าง แทบหุบไม่ได้เพราะความดีใจ
กู้หนานเฟิงยังแสดงท่าทีสนใจและพูดคุยกับหลิวเยว่
“ดูเหมือนว่าวันนี้จะมาถูกวัน”
แม่เล้าจัดให้พวกเขานั่งอยู่ในห้องส่วนตัวที่อยู่ตรงกลาง และการมองเห็นก็กว้างขวางสามารถมองเห็นทุกอย่างในหอเฟยชุ่ยได้
แม่นางของที่นี่ล้วนสมกับชื่อเสียงของพวกนางจริงๆ ต่างงดงามเจิดจรัส เหมือนมวลหมู่บุปผา
หลิวเยว่เดินขึ้นมา ได้ยินมาว่าแม่นางเนี่ยนไป๋คือคนที่กู้หนานเฟิงโปรดปราน และในเวลาเดียวกันยังเป็หญิงคณิกาอันดับหนึ่งของหอเฟยชุ่ยอีกด้วย
แต่สิ่งที่นางคิดไม่ถึงเลย คือแม่นางเนี่ยนไป๋คนนี้จะเป็สตรีที่นางบังเอิญไปทำลายเื่ดีๆ ในห้องของกู้เฟิงหนานในคืนนั้น