ภายในห้อง ที่จริงเมื่อครู่หลิ่วจิ้งก็ฟื้นแล้ว เพียงแต่นางรู้สึกเวียนหัวจึงยังคงหลับตาพักอยู่
กลับไม่คิดว่าเสียงดังเอะอะของหั่วอี้จะทำให้นางอดพูดออกมามิได้ ภายหลังหั่วอี้พาคนออกไปจากห้องแล้วนางจึงงัวเงียคล้ายจะหลับอีกหน
จวบจนหั่วอี้ย่องกลับมาในห้องอย่างเงียบเชียบสิ่งที่เขาเห็นก็คือคนงามที่กำลังหลับใหลอยู่ ท้ายที่สุดหั่วอี้ก็ไม่อาจควบคุมตนเองได้จึงก้มลงจูบริมฝีปากของหลิ่วจิ้งเบาๆ
หลิ่วจิ้งตื่นใ นางเพียงหลับตาพักผ่อนเท่านั้นมิได้หลับ จึงลุกพรวดพราดขึ้นมานั่งโดยไม่รู้ตัว
เพราะสะดุ้งขึ้นมานั่ง หัวของหลิ่วจิ้งจึงชนเข้ากับคนที่กำลังจูบนางดัง ‘โป๊ก’
นางลุกขึ้นมาอย่างแรง ไม่รู้ว่าคนที่ถูกชนเป็อย่างไรบ้างแต่ตัวนางถึงกับตาลายเห็นดาว
นางได้ยินเพียงคนร้อง ‘โอ๊ย’ คำหนึ่งแล้วรีบลืมตาที่ยังคงมองเห็นดาวของตนขึ้น
หลิ่วจิ้งฝืนร่างกายที่ยังไม่พร้อมแล้วพยายามตั้งใจมองเห็นแต่หั่วอี้กำลังเอามือคลึงปากอยู่ด้วยท่าทีน่าเวทนาปากของเขาบวมเหมือนถูกผึ้งต่อยมาทีเดียว
“อุ๊บ…” เห็นดังนั้นหลิ่วจิ้งก็ลืมความเจ็บที่หัวตนและอดหัวเราะออกมามิได้
แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นชางอี้ผู้แสนเกรียงไกรครานี้ลอบเชยไม่สำเร็จแต่กลับต้องมาปากบวมเป่งไม่ว่าจะคิดอย่างไรหลิ่วจิ้งก็รู้สึกว่าน่าขำนัก ทำให้เื่ที่เป็ดั่งฝันร้ายที่นางเพิ่งประสบมาบางเบาลงและหลงลืมความร้าวรานใจบนเรือเมื่อครู่ไปชั่วขณะ
หลิ่วจิ้งแย้มยิ้มงดงามราวดอกไม้บาน ทำเอาหั่วอี้มองจนเหม่อ พลันลืมความเ็ปที่ริมฝีปากไปเสีย
หลิ่วจิ้งหัวเราะอยู่พักหนึ่ง จึงเพิ่งสำนึกตัวขึ้นมาได้ว่าริมฝีปากที่บวมเป่งของหั่วอี้นั้นมีต้นเหตุมาจากนางเป็นางชนแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหนึ่งจนเขาอยู่ในสภาพที่พบเจอผู้คนไม่ได้แล้ว
“อะแฮ่มๆ …” นางกลบเกลื่อนด้วยการกระแอมไอสองสามครั้งทำให้หั่วอี้หายจากอาการเหม่อไปพร้อมกัน
“ฮูหยิน นึกไม่ถึงว่าเรี่ยวแรงท่านจะมากกว่าวัวเสียอีกท่านดูปากของสามีนี่สิ เช่นนี้จะให้สามีมีหน้าพบเจอผู้คนได้อย่างไร”
“ไม่มีหน้าไปพบคนเื่ใดกัน พี่ใหญ่ท่านเป็อะไร?” พร้อมกับเสียงพูดที่ดังขึ้นอาเหมิ่งต๋าก็พุ่งปรี่เข้ามาอย่างร้อนใจหนักหนา
เขาไม่สนใจเื่ที่เด็กรับใช้ข้างนอกประตูบอกว่าท่านแม่ทัพสั่งไว้ว่าหากไม่เรียกก็ห้ามคนเข้าไปเมื่อพรวดพราดเข้ามาก็พบหั่วอี้ที่ปากบวมยับเยิน กับองค์หญิงกำลังหัวเราะเบิกบานจนหายใจแทบไม่ทัน
นี่มันเื่ใดกัน อาเหมิ่งต๋างงไปหมดแล้ว
เพื่อพี่ใหญ่ผู้นี้ของเขา ใช่ว่าชีวิตเขาจะง่ายดายคืนนี้อุตส่าห์พูดจนหั่วอี้ยินยอมไปหาความสำราญที่หอเยี่ยนเฟิ่ง แม้บอกว่าระหว่างนั้นหั่วอี้และองค์หญิงจะออกไปก่อนแต่นั่นก็หาได้กระทบกับการหาความสำราญของเขาไม่
เมื่อพวกของหั่วอี้กลับไปแล้วอาเหมิ่งต๋าก็เปลี่ยนมาขึ้นเรืออีกลำซึ่งเป็เป้าหมายแท้จริงที่ขึ้นเรือเริงรมย์มา แม้จะบอกว่าเขามิได้ชื่นชอบหญิงงามแต่ในยามที่มีความ้าเขาก็จะไปผ่อนคลายสักหน่อย
ในขณะที่เขากำลังเคล้าคลอกับคณิกาโฉมงามนางหนึ่งอยู่กลับได้ยินองครักษ์มาบอกข่าวว่าองค์หญิงถูกคนลักพาตัวโดยมีหั่วอี้ไล่ตามไปแล้วเขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและตามไปทันใด
เมื่อเขาตามมาถึงศาลเ้าร้างกลับเห็นกำลังพลที่ขึ้นตรงต่อหั่วอี้ ภายใต้การนำของนายกองเฉินหลี่กำลังค้นหาแบบปูพรมอยู่บริเวณนั้น
เื่จับโจรพวกนี้เขามิได้สนใจอันใดจึงเร่งเดินทางกลับมา ดีที่ก่อนจะกลับถึงจวนแม่ทัพต้องผ่านจวนของตนก่อนเขาจึงไม่ได้ไปรอที่จวนแม่ทัพให้เสียเวลาเปล่า
เมื่ออาเหมิ่งต๋าผ่านประตูบ้านแต่ไม่ได้คิดจะเข้าไปก็ถูกเด็กรับใช้ในจวนตนร้องเรียกไว้ บอกว่าท่านแม่ทัพอยู่ด้านในเขาจึงรีบกลับมาที่จวน
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะมาถึงเรือนที่หั่วอี้และฮูหยินพักอยู่ กลับได้ยินหั่วอี้ร้องขึ้นว่าไม่มีหน้าไปพบผู้คนทำเขาในึกว่าหั่วอี้ไล่จับโจรจนเกิดเื่เกิดราวขึ้นเสียอีก
แต่ด้วยบรรยากาศแสนอบอุ่นภายในห้องยามนี้แม้จะบอกว่าริมฝีปากของพี่ใหญ่บวมเป่งจนน่าสงสัย แต่ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่เหมือนเกิดเื่ใดกับพี่ใหญ่ของเขาเลย
“อย่างไรเล่าพี่ใหญ่ นี่มันเื่ใดกัน”อาเหมิ่งต๋าลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามาแล้วนั่งลงตรงหน้าพวกหั่วอี้ด้วยท่าทีถามไม่รู้เื่ก็จะไม่ยอมเลิกราโดยเด็ดขาด
“ใช่แล้วท่านแม่ทัพ ข้าเองก็สงสัยเช่นกันเหตุใดท่านจึงหาข้าพบได้เร็วเพียงนั้น”หลิ่วจิ้งถือโอกาสเบี่ยงเบนความสนใจของหั่วอี้
“หึ…” คำถามของหลิ่วจิ้งกระตุ้นโทสะของหั่วอี้ขึ้นมาอีกครา เขานึกถึงตอนที่อยู่บนเรือหลิ่วจิ้งถึงกับกล้ากลับไปก่อนเพียงลำพัง กล้าไม่ไว้หน้าเขา
หั่วอี้ไม่มีทางให้หลิ่วจิ้งรู้ว่าเวลานั้นเขากำลังโต้เถียงกับจื่ออิงอยู่ในห้องพักข้างหลังม่านคิดไม่ถึงว่าผ่านไปเพียงไม่นานก็ได้ยินเสี่ยวเอ้อร์มาบอกว่าสตรีที่พวกเขาพามาด้วยเมื่อครู่กลับไปก่อนแล้ว เขาร้อนรนรีบวิ่งไปที่หัวเรือจนแม้จะกล่าวลาจื่ออิงสักคำก็ยังไม่มี
แต่ถึงกระนั้นก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง ยามตามออกไปกลับได้เห็นแววตามุ่งมั่นของหลิ่วจิ้งที่้าจะจากตนไปและร่างของนางที่ยิ่งห่างออกไปทุกที ใจเขาพังทลายลงทันใด ทั้งโกรธทั้งเ็ปยังไม่เคยมีผู้ใดกล้าหยามเขาเช่นนี้มาก่อน
หั่วอี้รู้สึกว่าทุกข์ทรมานใจนัก แต่กลับไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกเช่นนี้จนเมื่อขึ้นฝั่งไปพร้อมกับจื่ออิงและรู้ว่าองค์หญิงกลับจวนไปก่อนเขาก็ยิ่งขัดเคืองต่อความเ้าอารมณ์เช่นสาวน้อยของหลิ่วจิ้ง
เมื่อเขาหารถม้าให้จื่ออิงกำลังจะส่งนางกลับ ก็มารู้ข่าวว่าหลิ่วจิ้งถูกลักพาตัวไปใจเขาร้อนรนดั่งไฟสุม เป็อีกครั้งหนึ่งที่เขาได้ัักับความรู้สึกที่ไม่เคยมีมาก่อน
เขาว้าวุ่นใจเหลือทน กระทั่งส่งสัญญาณเรียกทัพอวี่หลินซึ่งเป็กำลังพลที่ขึ้นตรงต่อเขาทันทีโดยไม่แม้แต่จะคิด
จนยามนี้เขาก็ยังจำสีหน้าตกตะลึงของจื่ออิงตอนเห็นเขาส่งสัญญาณเรียกทัพอวี่หลินมาได้แต่เขาก็ไม่มีแก่ใจมาห่วงว่าจื่ออิงจะรู้สึกเช่นใด
เขารีบบอกให้จื่ออิงรู้เื่ หลังจากให้นางกลับไปเองแล้วจึงพาคนที่นำข่าวมารายงานไล่ตามหลิ่วจิ้งไป
เมื่อคิดถึงตรงนี้โทสะของหั่วอี้ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอีกหนแต่จากนั้นกลับมีภาพที่เขาได้เห็นสภาพของหลิ่วจิ้งในศาลเ้าร้างลอยขึ้นมาในสมองโทสะนั้นจึงมิได้ปะทุออกมา
โดยเฉพาะท่าทีอ่อนแรงยามหลิ่วจิ้งตื่นใอย่างหนักแต่กลับยังงดงามตรึงตราเหลือล้น ยิ่งทำให้ไฟโทสะของเขาสงบลงอย่างราบคาบ
เขาถอนใจไร้ซุ่มเสียงคำหนึ่ง รู้สึกว่าการปรากฏตัวของหลิ่วจิ้งก็เพื่อมาปราบตนโดยแท้
“พี่ใหญ่ ท่านก็พูดมาสิ ว่ามีไอ้คนสิ้นคิดตนใดกล้ามาแหยมท่านถึงขั้นลงมือบนหัวท่าน อีกประเดี๋ยวให้นายกองเฉินไปจับพวกมันมาดูซิว่าข้าจะไม่ถลกหนังพวกมันทั้งเป็ให้หมากินได้หรือไม่”
อาเหมิ่งต๋าพูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันภาพนองเืพลันปรากฏขึ้นมาตรงหน้าหลิ่วจิ้ง จนนางต้องสะท้านไปทั้งตัว
“เ้าอย่าทำให้องค์หญิงใ ยามอยู่ต่อหน้าองค์หญิงก็ไม่รู้จักเก็บอาการเสียบ้างรู้แต่จะฆ่าจะฟัน นั่นมันเป็เื่ของบุรุษเช่นพวกเราอย่าพูดเื่คาวเืต่อหน้าสตรี ข้ายังมิได้เอาความที่เมื่อครู่เ้าบุกเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าเลย”
_____________________________
