หลิวฉีซื่อเพิ่งจะโล่งอก หัวใจที่แก่ชราของนางก็ต้องถูกแขวนห้อยกลางอากาศอีกครั้ง
“อายุอานามปีนี้ของเ้าเท่าไร?” ซูจื่อเยี่ยหันไปถามหลิวซานกุ้ย
“ปีนี้ข้าอายุเกือบยี่สิบแปดปีแล้ว”
ซูจื่อเยี่ยมองไปที่เกาจิ่วอีกครั้ง เป็การส่งสัญญาณให้เขาพูดต่อ
เกาจิ่วคำนวณอย่างรวดเร็วในใจและตอบว่า “ที่นาดีห้าไร่ ที่ดินแห้งสิบไร่ หลายปีก่อนหน้านี้ยังไม่ได้เก็บภาษีหนักเท่าตอนนี้ รายได้ต่อหนึ่งปีคงมียี่สิบสามถึงยี่สิบสี่ตำลึง ในยี่สิบแปดปีนี้ พบเจอกับภัยแล้งห้าครั้ง อุทกภัยหนึ่งครั้ง ซี่งเท่ากับมีเวลายี่สิบสองปีที่สงบสุข หลังหักค่าแรงคนงาน แล้วก็ค่าปุ๋ย บวกกับการดูแลปกติที่ไม่แน่นอน จึงคำนวณได้ประมาณยี่สิบตำลึงต่อปี เวลายี่สิบสองปี ทั้งหมดเท่ากับสี่ร้อยสี่สิบตำลึงถ้วน”
เมื่อเห็นว่าซูจื่อเยี่ยพอใจกับคำตอบที่เขาให้อย่างมาก จึงเอ่ยอีก “ว่ากันว่าบุญคุณที่ให้กำเนิดมิอาจสู้บุญคุณที่เลี้ยงดู ซานกุ้ยก่อนสิบขวบไม่ได้อยู่กับนาง หลังสิบขวบจึงได้รับการเลี้ยงดูจากนาง การกินอยู่นับว่าต้องพึ่งนางทั้งหมด เช่นนั้นจึงคำนวณค่าใช้จ่ายปีละสองตำลึง ทั้งหมดไม่เกินยี่สิบสี่ตำลึง ดังนั้นฮูหยินหลิวไม่เพียงแต่ต้องคืนโฉนดที่ดินให้แก่ซานกุ้ย ทั้งยังต้องออกเงินอีกสี่ร้อยสิบหกตำลึงอีกด้วย”
นี่คือทุกสิ่งที่หลิวซานกุ้ยสมควรได้รับ
“เ้าพูดเพ้อเจ้อ” หลิวฉีซื่อไม่กล้าด่าเกาจิ่วว่าผายลม
นางโกรธมากจนใบหน้าชรานั้นเกร็ง และชี้นิ้วสั่นไปที่เกาจิ่ว “เ้าเป็สหายรักของเขา ก็ต้องช่วยเขาวางแผนเอาเงินจากข้าน่ะสิ”
ซูจื่อเยี่ยเยาะเย้ยอย่างไม่เห็นด้วย “วางแผน?”
เขาเงยหน้าขึ้นมองสำรวจหลิวฉีซื่อ ไม่รู้จักสำเหนียกตนยิ่งนัก คนอย่างหลิวซานกุ้ยต้องมาวางแผนกับเขาอีกหรือ?
“ข้าบอกว่าเขาไม่ใช่ลูกในไส้ของเ้า จึงอยากบอกกับเ้าว่า เ้าไม่มีสิทธิ์ห้ามเขาสร้างบ้านใหม่ ยิ่งไม่มีสิทธิ์ยึดโฉนดที่ดินกับเงินของเขาไว้”
เมื่อเกาจิ่วเห็นว่านายน้อยช่วยออกตัวแทนหลิวซานกุ้ยเต็มกำลัง ในใจก็เบิกบาน จึงเอ่ยอีก “ที่้าโฉนดที่ดินกับรายได้หลายปีนี้เป็เพียงผลพลอยได้ นายน้อยของข้าเองไม่ได้คิดจะเปิดโปงเื่ต่ำช้าของเ้า เพียงแต่เ้ารั้นจะก่อเื่สร้างปัญหาให้กับครอบครัวหลิวซานกุ้ย นายน้อยข้าทนดูไม่ไหวอีกต่อไป”
หลิวฉีซื่อถูกคำพูดของเขาโจมตีจนเกือบลมจับหงายหลังตึง
หากว่านางไม่ก่อกวน ก็จะสามารถรักษาที่นาดีห้าไร่กับที่ดินแห้งสิบไร่ไว้ได้ใช่หรือไม่ และไม่ต้องออกเงินสี่ร้อยกว่าตำลึงนั่นใช่หรือไม่
เมื่อคิดว่าต้องควักเงินมากมายเพียงนั้น หลิวฉีซื่อที่เดิมทีเงินในมือก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้วจึงเ็ปใจนัก
หลิวเหรินกุ้ยรู้สึกงุนงง มารดาของตนนั้นแข็งแกร่งมาแต่ไหนแต่ไร เหตุใดวันนี้กลับดูิญญาหลุดลอย?
มารดาของเขาละโมบของเหล่านี้จริงๆ หรือ?
“น้องสาม ท่านแม่อายุมากแล้ว อย่าได้เอ่ยอะไรที่น่ากังวลออกมาจนหมด อีกอย่างพวกเราพี่น้องทุกคนก็อยู่กันดีไม่ใช่หรือ? นิสัยของท่านแม่ก็เป็เช่นนี้ ตอนนี้เ้าก็มีทรัพย์สินไม่น้อย ไม่ได้ขาดแคลนของเหล่านี้ หากว่าเป็เื่จริง ก็ถือว่าตอบแทนท่านพ่อท่านแม่เถิด กล่าวกันว่าบุญคุณที่ให้กำเนิดยิ่งใหญ่สู้บุญคุณที่เลี้ยงดูไม่ได้”
หลิวซานกุ้ยยังคงตะลึง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าบิดาแท้ๆ ของเขาจะไม่ใช่หลิวต้าฟู่ ยิ่งไม่เคยคิดว่ามารดาของตนเองได้ทิ้งของมีค่าแบบนี้ไว้ให้เขาด้วย
เพียงแต่ว่า......
เขาเงยหน้าขึ้นมองหลิวต้าฟู่ที่ผมหงอก ท่านพ่อผู้นี้แม้จะไม่ได้มีจุดยืนอะไรในครอบครัว แต่เขาจำได้ตอนเด็กว่าท่านพ่อมักจะรักและเอ็นดูตนเอง กระทั่งเื่สู่ขอสะใภ้ ก็เป็ครั้งแรกที่ท่านพ่อยืดอกและแข็งใจขอให้หลิวฉีซื่อช่วยเขาสู่ขอจางกุ้ยฮัวกลับมา
เมื่อเปรียบเทียบสะใภ้ของเขากับพี่ชายอีกสองคน เขายังคงดีใจมากที่ท่านพ่อผู้นี้หาสะใภ้ที่ดีให้เขา
หลิวเต้าเซียงที่อยู่ด้านข้างเห็นเขาหวั่นไหว จึงเกิดความไม่พอใจ
นางเชื่อว่ามันเป็คนละเื่กัน
“ท่านพ่อ ท่านปู่ดีกับพวกเรามาตลอด”
แม้จะดูเหมือนท่านปู่ละเลยพวกนางบ้างเล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็ไม่เคยด่าหรือทุบตี
หลิวเต้าเซียงนับว่านี่เป็ความดีของหลิวต้าฟู่
“แต่ว่า คำพูดของลุงรองไม่มีเหตุผล พ่อข้าในสายตาท่านเป็คนใจดำไร้เยื่อไยเช่นนั้นหรือ? หากว่าไร้หัวใจจริง ตอนที่แยกครอบครัวพ่อข้าก็คงไม่ตอบแทนท่านปู่กับท่านย่าแล้วสิ จะว่าไป ท่านรู้ได้อย่างไรว่าต่อไปท่านพ่อข้าจะไม่กตัญญูกับท่านปู่ท่านย่า? ลุงรอง ท่านบอกเองว่า ท่านปู่กับท่านย่าอายุมากแล้ว พ่อข้าจะทำใจปล่อยให้ท่านปู่ท่านย่าทำงานไร่นาได้อย่างไร อ้อ ข้าพูดผิดไป คนที่ทำงานไร่นาคือท่านปู่ข้า ท่านย่าไม่เคยทำงานไร่นา”
ซูจื่อเยี่ยคำรามในลำคออย่างให้ความร่วมมือ “ก็แค่บ่าวรับใช้ที่ถูกปล่อยออกมาจากจวนตระกูลใหญ่” มีอะไรน่าจองหอง
หลิวเต้าเซียงยิ้มจนตาโค้ง สหาย ช่างส่งเสริมกันดีนัก เหยียบให้ใบหน้าของท่านย่ากลายเป็สีตับหมูแล้ว
นางเลิกคิ้วแล้วแอบมองซูจื่อเยี่ย เ้าหมอนี่คงไม่ชอบหน้าหลิวฉีซื่ออยู่แล้วสินะ!
ซูจื่อเยี่ยพยักหน้าให้นาง เ้าเดาได้ถูกต้อง ใครจะไปชอบท่าทางอวดดีจองหองของนางเช่นนั้นกัน
“คุณชายน้อย เ้า เหตุใดเ้าพูดเช่นนี้ ท่านแม่ข้าทำอะไรผิด”
ไม่รู้ว่าหลิวเสี่ยวหลันถูกคนปล่อยเข้ามาั้แ่เมื่อไร
หลิวเต้าเซียงมองเห็นท่าทางบอบบางที่ไม่สู้ลมของนาง แม่ดอกบัวขาวน้อย!
ดวงตากลมสวยเผยแววตาสนุกสนาน ไม่รู้ว่าเ้าหมอนี่จะใจอ่อนหรือไม่?
ใบหน้าของซูจื่อเยี่ยหม่นหมองทันใด “บ้านเ้ามีคนตายหรือ?”
“อะไรนะ?” ใบหน้าของหลิวเสี่ยวหลันงงงวย
ซูจื่อเยี่ยเงยหน้าขึ้นมองนางั้แ่หัวจรดเท้า หากไม่ใช่ว่ามีคนในบ้านตาย แล้วเหตุใดต้องแต่งกายชุดขาวเช่นนี้?
หลิวเต้าเซียงไม่อยากเรียกหลิวเสี่ยวหลันว่าอาเล็กอีกต่อไป เพียงแต่ยิ้มเยาะอย่างเ็าอยู่ข้างๆ
“ท่านปู่ อย่าโมโหไปเลย นางยังเด็ก!”
แต่เด็กแค่ไหนก็ไม่เด็กไปกว่าหลิวเต้าเซียง
หลิวต้าฟู่โกรธมากตามคาด รู้สึกเพียงแววตายิ้มประชดประชันของผู้ชมทั้งหมด ก่อนจะพุ่งไปตบหลิวเสี่ยวหลันสองที “นางตัวดีขายขี้หน้า รีบไสหัวกลับไปเดี๋ยวนี้”
หลิวเสี่ยวหลันที่เดิมทียังบอบบางน่าทะนุถนอม เมื่อเจอกับท่านพ่อที่ะเิอารมณ์อย่างไม่ทันตั้งตัว จึงเอื้อมมือออกมาจับแก้มที่ร้อนผ่าว น้ำตาไหลพรากแล้วเอ่ย “ท่านพ่อ เป็บ้าอะไรถึงได้มาตีข้า?”
“หลิวต้าฟู่ เ้ากล้าตบตีลูกสาวข้าหรือ มารดาจะสู้กับเ้าสักตั้ง” หลิวฉีซื่อยังอยากเก็บหลิวเสี่ยวหลันไว้เอาใจซูจื่อเยี่ย แต่ในตอนที่กำลังมีแผนนี้ในใจ ก็คิดไม่ถึงว่าหลิวต้าฟู่จะเข้าไปตบหน้าหลิวเสี่ยวหลันสองทีจนใบหน้าบวมเป่ง
หลิวฉีซื่อพุ่งเข้าไปราวกับคนบ้า ทั้งข่วนและกัดหลิวต้าฟู่ อีกทั้งยังใช้หมัดต่อยและเท้าถีบ
หลิวเหรินกุ้ยกำลังยุ่งอยู่กับการห้ามปราม เพียงแต่หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าเขาเ้าเล่ห์ชั่วร้าย เหตุใดต้องดึงแต่หลิวต้าฟู่ผู้ซื่อตรงด้วย!
ในขณะที่บ้านกำลังยุ่งเหยิง หลิวฉีซื่อยุ่งอยู่กับการทุบตีหลิวต้าฟู่ และคิดจะอาศัยการอาละวาดนี้เพื่อทำให้ซูจื่อเยี่ยผู้สูงศักดิ์ลืมเื่โฉนดที่ดินไปเสีย
“ใครก็ได้!” คิ้วของซูจื่อเยี่ยขมวดเป็ปมแน่น ชัดเจนว่านายน้อยอารมณ์ไม่ดีอย่างหนัก กระทั่งเสียงที่เรียกคนก็แฝงไปด้วยความหงุดหงิดรำคาญ
ในไม่ช้า องครักษ์สองคนก็พุ่งเข้ามาในห้องอย่างไม่พูดไม่จา ก่อนจะจัดการแยกคนทั้งหลาย
“นายน้อย จะให้โยนออกไปหรือไม่ขอรับ?”
องครักษ์ที่ดูเหมือนจะเป็หัวหน้าหิ้วคอเสื้อของหลิวฉีซื่อในมือ
ซูจื่อเยี่ยพยักหน้าคิดว่าความคิดนี้ดีมาก
“เดี๋ยวก่อน ข้ามีอะไรจะพูด”
หลิวฉีซื่อเห็นว่าคงหลบไม่พ้นแล้วจึงฉุกคิดได้ แล้วรีบโอดครวญหาความเป็ธรรม “คุณชายน้อยผู้สูงศักดิ์ การตัดสินเช่นนี้ ข้าไม่ยอม”
ซูจื่อเยี่ยหรี่ตาลง แล้วส่งสายตาเยือกเย็น
เกาจิ่วเห็นว่าหลิวฉีซื่อยังไม่ยอม จึงบอกให้นางอย่าก่อเื่ต่ออีกเลย จากนั้นกระซิบข้างหูของซูจื่อเยี่ย เมื่อเห็นเขาพยักหน้ารับ จึงหันไปเอ่ยกับหลิวฉีซื่อ “ในเมื่อเ้าไม่ยอม และคิดว่านายท่านหลิวใช้เงินส่วนตัวของเ้าซื้อที่ดินใช่หรือไม่?”
“ฮึ แน่นอนอยู่แล้ว ั้แ่ข้าแต่งงานกับเขา ของที่กินใช้ มีอะไรบ้างที่ไม่ใช่ของข้า”
แม้ว่าหลิวซานกุ้ยยินดีที่จะยอมรับเื่ที่ตนเองกับตระกูลหลิวไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน แต่เขาก็ทนเห็นหลิวต้าฟู่ใช้ชีวิตอย่างอดสูเช่นนี้ไม่ได้
“ท่านแม่!”
“ข้าไม่ใช่แม่ของเ้า!”
หลิวซานกุ้ยใจดีพอๆ กับแม่น้ำ “ตกลง เช่นนั้นข้าจะเรียกท่านว่าฮูหยินก็แล้วกัน!”
ได้ยินดังนั้น หน้าอกของหลิวฉีซื่อก็กระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุด
นางเพียงแค่เอ่ยด้วยความโมโห แต่ไม่ได้อยากปล่อยมือจากเทพไฉ่ซิงเอี๊ยองค์นี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมานางกำหลิวซานกุ้ยไว้ในมือและควบคุมเขา ก็เท่ากับกุมเงินในกระเป๋าของเขาไว้ในมือตนเอง
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ท่านคิดว่าท่านพ่อพึ่งพาท่านในการใช้ชีวิตหรือ?”
“ถูกต้อง” หลิวฉีซื่อที่พูดผิดไป ครั้งนี้ไม่ได้ปฏิเสธที่หลิวซานกุ้ยเรียกหลิวต้าฟู่ว่าท่านพ่อ
หลิวซานกุ้ยพูดอย่างโกรธเคือง “ฮึ แม้ว่าท่านพ่อจะแต่งงานกับท่าน หากไม่เอ่ยถึงเื่ที่สามีภรรยาไม่ใช่กายหยาบเดียวกัน ลำพังหลายปีมานี้ท่านพ่อก็ตั้งใจดูแลที่นาเหล่านี้ ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออกหรือพายุเข้า ท่านคิดว่า หากท่านจ้างคนงาน จะเชิญคนงานแค่คนเดียวได้หรือ? ข้าจะบอกให้ ที่นาดีสามสิบไร่กับที่ดินแห้งสิบไร่ อย่างน้อยต้องมีคนงานสามคน ไม่เพียงแค่นั้น เดิมทีข้าเองก็พึ่งพาการทำเกษตรเลี้ยงดูตนเอง หลายปีมานี้สิ่งที่ท่านพ่อได้ทำนั้นเพียงพอให้เขาได้กินได้ใช้แล้ว แล้วก็ ข้าขอเตือนท่านว่า ที่ดินอยู่อาศัยที่บ้านเดิม ก็คือเงินที่ท่านปู่ท่านย่าข้าเก็บไว้ให้ท่านพ่อแต่งงาน”
“แล้วอย่างไร ข้าคืนลูกชายให้ตระกูลหลิวสามคน การกินอยู่ของลูกๆ มีสิ่งใดบ้างที่ไม่ได้ใช้สินเ้าสาวข้า?”
“ท่านพ่อ ช่างน่าขำนัก ลูกๆ ยังเด็ก ย่อมต้องใช้เงินของพ่อแม่ นี่คือเื่ที่ถูกทำนองคลองธรรมไม่ใช่หรือ? ในเมื่อท่านไม่ต้องเลี้ยงดู แล้วจะคลอดทำไม ในเมื่อไม่อยากคลอด แล้วเหตุใดต้องแต่งงานด้วย?”
หลิวเต้าเซียงขยี้และบีบคั้นไปทีละจุด
นางเพิ่งเห็นว่าซูจื่อเยี่ยดูส่งสัญญาณลับอะไรบางอย่าง องครักษ์ที่ก่อนหน้านี้ยืนอยู่ด้านนอกห้องโถงได้แอบจากไปเงียบๆ
หลิวฉีซื่อรู้สึกงุนงงกับคำถามของนางอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็คิดว่านางตัวดีหลิวเต้าเซียงทำนางขายหน้าอีกแล้ว จึงเอ่ยอย่างโมโห “เกี่ยวอะไรกับเ้า นั่นคือเื่ตระกูลหลิว หากว่าตอนนั้นไม่ใช่พ่อข้าบีบบังคับเ้าคิดว่าข้าอยากแต่งหรือ…”
หลิวต้าฟู่พูดอย่างโกรธเคือง “ฉีหรุ่ยเอ๋อร์ ข้ารู้ว่าตอนนั้นเ้าไม่ยินดี หลายปีมานี้เ้าใช้อำนาจจนเคยตัว ในบ้านจึงปล่อยให้เ้าเป็ใหญ่ ข้าเคยต่อว่าอะไรหรือไม่ เ้าชอบกินสัตว์ป่า มีครั้งใดที่ข้าไม่ขึ้นเขาเพื่อไปเก็บมาให้เ้าด้วยใจจริง ไปหนหนึ่งก็ใช้เวลานั่งรอหลายคืนหลายวัน ข้าตามใจเ้าเช่นนี้ เ้ากลับไม่เคยเห็นแม้แต่น้อย”
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าบิดาของหลิวฉีซื่อต้องเป็คนที่ดีแน่ ทั้งที่รู้ว่าบุตรสาวคนนี้ไม่อยู่ในกรอบ จึงรีบหาคนที่ซื่อตรงเป็คนดีแบกรับบาปกรรมนี้ไป จะได้ไม่ก่อให้เกิดภัยแก่ตระกูลเขาในจวนตระกูลหวง
“ท่านแม่ ท่านพูดอะไรน่ะ!” คำพูดนี้ทำเอาหัวใจของหลิวเหรินกุ้ยรู้สึกแย่ หากท่านไม่ชอบลูกๆ ตอนนั้นก็อย่าเข้าห้องหอกับท่านพ่อสิ! หรือเข้าหอก็ดื่มยาป้องกันตั้งครรภ์ให้มากสิ!
ไหนๆ ก็ให้กำเนิดมาแล้ว บุตรชายต่างก็แต่งงานมีลูก และตนเองก็เป็ย่าคนแล้ว แต่ยังพูดเช่นนี้
หนนี้หลิวเหรินกุ้ยเคืองโกรธมารดาของตนเอง
หัวใจของหลิวฉีซื่อหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม นางไม่อาจปล่อยให้บุตรชายเคืองโกรธนางได้ จึงตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น เหรินกุ้ยเ้าอย่าเก็บไปคิด หลายปีมานี้แม่รักใคร่พวกเ้า พวกเ้าไม่เห็นหรือ?”
หลิวเหรินกุ้ยตรึกตรองดูและเห็นว่ามารดานั้นรักใคร่บุตรของตน ความโมโหในใจจึงคลายลงไปบ้าง
เดิมทีหลิวซุนซื่อที่อยู่ด้านข้าง้าพูดอะไรบางอย่างเพื่อทำให้หลิวฉีซื่อโมโหอีก เพียงแต่ว่าในตอนนั้นเองมีเสียงขึงขังที่เต็มไปด้วยพลังของชายหนุ่มดังขึ้นที่ลานบ้าน และขัดคำพูดของนางที่ยังไม่ทันได้เอ่ยออกมา
-----