“นี่ คุณหนูใหญ่ของผม คุณจำเป็ต้องทานแบบนี้ด้วยหรือไง” เสิ่นิยื่นไอศกรีมออกไปด้านหน้า เมิ่งฉีใช้ปลายนิ้วทัดผมที่ร่วงหล่นลงมาไว้ที่หลังหู ก่อนจะโน้มตัวไปเลียไอศกรีมทีละคำทีละคำ ทั้งกัดทั้งเลีย ส่วนที่ละลายก็ไหลย้อยเปียกชุ่มไปทั้งมือของเสิ่นิ เหนียวเหนอะหนะ....
“ก็แค่ชิม ทำงกไปได้” เมิ่งฉีพูดพลางทำเสียง “แจ๊บแจ๊บ”
“ถ้าคุณชอบ ผมยกให้เลย” เสิ่นิยัดไอศกรีมใส่มือเมิ่งฉี
“ตื่นเต้นไปได้ คุณไม่เคยมีความรักหรือไง” ในที่สุดเมิ่งฉีก็ตั้งตัวตรง เธอเช็ดไอศกรีมออกจากปาก ริมฝีปากของเธอชาไปหมด
“สิบปีที่ผ่านมาผมยุ่งมาก ไม่มีเวลามีความรักหรอก แต่ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งชอบแอบอ้างว่าเป็ภรรยาของผมนะ ไม่รู้ว่าแบบนั้นเรียกว่ามีความรักหรือเปล่า” เสิ่นิรู้จักวิธีขับรถถังขับเครื่องบิน แต่ไม่รู้จักวิธีควบคุมผู้หญิงเลย
“คุณชอบเธอหรือเปล่าล่ะ” ใบหน้าน้อยๆ ของเมิ่งฉีเริ่มตึงเครียด
“ชอบ แต่ว่าไม่ได้รัก เหมือนเพื่อนกันมากกว่า หุ้นส่วน พันธมิตร”
“แล้วทำไมถึงไม่ปฏิเสธเธอซะล่ะ”
“เพราะว่าอาจจะถูกฆ่าได้ ผมเอาชนะเธอไม่ได้ พูดให้ถูกก็คือ ผมไม่รู้จริงๆ ว่ามนุษย์คนนั้นต้องแข็งแรงขนาดไหนถึงจะเอาชนะเธอได้
แต่เราก็ไม่ได้ติดต่อกันมาครึ่งปีแล้ว เธออาจจะตายไปแล้วก็ได้” เธอรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินเสิ่นิพูดประโยคนี้
เป็ครั้งแรกที่เมิ่งฉีรู้สึกว่าตัวเองชั่วร้าย ที่ดีใจที่ “ภรรยา” ของคนอื่นเสียชีวิต
“พักพอแล้ว! ไปเล่นรถไฟเหาะกันอีกรอบดีกว่า! รถไฟเหาะ!” เมิ่งฉีลากเสิ่นิไปขึ้นรถไฟเหาะอีกครั้ง...
สองทุ่ม เซี่ยวอี๋สวมหูฟังบลูทูธโทรหาเสิ่นิ
“สหาย นายให้ฉันหาตัวคนร้ายแทบตาย แต่นายกลับไปเที่ยวสวนสนุกทั้งวันเนี่ยนะ” เซี่ยวอี๋ดูบันทึกข้อมูลใน APP จับผีแล้วรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังถูกหลอกใช้
“คุณหาเจอหรือยัง” เสิ่นินั่งอยู่ที่ตอนหลังของรถแท็กซี่พร้อมมองออกไปนอกหน้าต่าง เมิ่งฉีเล่นจนหมดแรงแล้ว เธอหลับอยู่บนตักเขาโดยที่ยังสวมหน้ากากอยู่ ที่นั่งอยู่ข้างๆ คนขับคือกระต่ายน้อยยิ้มแฉ่ง ทำเอาคนขับระแวงอยู่ไม่น้อย
“มีบุคคลต้องสงสัยอยู่ 5 คน 4 คนแรกมีหลักฐานว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเมื่อเช้านี้ เหลือเพียงคนขับรถคนสุดท้ายชื่อจ้าวเฉียน อายุ 28 ปี หนัก 90 กิโลกรัม บุคลิกใกล้เคียงกับที่คุณบรรยายไว้ ฉันกำลังขึ้นลิฟต์ไปที่บ้านเขา” เซี่ยวอี๋หยิบปืนพกด้านหลังเอวออกมา ในที่สุดก็ได้กลิ่นอายของตำรวจที่กำลังสืบสวนคดี
“ระวังหน่อย” เสิ่นิเตือนสติ
“วางใจเถอะ นอกจากนายแล้ว มีผู้ชายคนไหนบ้างที่ฉันจัดการไม่ได้” เซี่ยวอี๋พูดขณะก้าวออกจากลิฟต์
ที่นี่เป็อาคารหลังเก่า อาคาร 8 ชั้นบันไดเดียวช่างเป็ฝันร้ายของพนักงานออฟฟิศ บ้านของจ้าวเฉียนนั้นหาง่ายมาก รอยแตกที่ด้านล่างของประตูไม้เต็มไปด้วยใบปลิว “เงินกู้ฟรี” “นางสาวเปา” “ร่วมใจช่วยเด็ก” มันอัดกันแน่นเสียจนกระทั่งแมลงสาบก็ยังหาทางเข้าออกไม่ได้
นี่แสดงให้เห็นว่าเ้าของบ้านไม่ได้กลับบ้านมาเป็เวลานาน เซี่ยวอี๋ก้าวออกไปด้านหน้าพร้อมกับเหวี่ยงขาเตะประตูให้เปิดออก ขายาว 105 เิเกระแทกประตูเหมือนกับค้อนเหล็กที่ส่งเสียงดังปัง
เมื่อเปิดสวิตช์ไฟ เซี่ยวอี๋ก็พลันขนลุกซู่ในขณะที่กวาดตามองไปในห้องแคบๆ กล่องบะหมี่สำเร็จรูปที่ทานแล้วเหลือกองเป็ขยะอยู่ที่มุมห้อง พวกหนูกำลังปาร์ตี้กันอยู่ ผ้าปูที่นอนเหม็นอับถูกกองทิ้งไว้ที่ข้างกำแพง กระทั่งมีดอกเห็ดผุดขึ้นมา
นี่มันบ้านคนตายชัดๆ บนกำแพงมีรูปของเมิ่งฉีและหน้าหนังสือพิมพ์ที่ตัดไว้ มีข่าวั้แ่สมัยเมิ่งฉีเปิดตัวจนกระทั่งถึง่ที่เป็ข่าวอื้อฉาว เขานี่แฟนพันธุ์แท้ของเมิ่งฉีชัดๆ
ที่น่าสยดสยองก็คือ ที่กำแพงด้านหนึ่งถูกเขียนไว้ด้วยเืสีแดงสดว่า “เมิ่งฉี ผมอยากตายไปพร้อมกับคุณ”
“ฮัลโหล ยังอยู่ไหม” เซี่ยวอี๋กระซิบถาม
“อยู่ ว่ามา”
“ไอ้นี่มันโรคจิต ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเป็คนส่งจดหมายขู่ก็ได้ จะให้แจ้งความไหม ฉันจะได้ให้เพื่อนออกหมายจับ”
“ไม่ต้อง บอดี้การ์ดแจ้งความก็น่าขันเหมือนกับเกย์ที่ตามจีบผู้หญิงนั่นแหละ คุณทำดีแล้ว กลับเถอะ ผมอาจจะถึงช้ากว่าคุณนิดหน่อย” ในขณะที่เสิ่นิกำลังพูดอยู่นั้น เขาก็มองไปยังกระจกมองหลัง ในนั้นปรากฏสีหน้าของคนขับซึ่งกำลังตื่นตระหนก
และเมื่อเห็นว่าเสิ่นิกำลังจ้องตนอยู่ คนขับรถก็รีบหดคอลงและเบนสายตาออกจากกระจกมองหลัง
“ไม่มั้ง เห็นๆ อยู่ว่านายน่าจะถึงเร็วกว่าฉัน” เซี่ยวอี๋หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูพิกัดตำแหน่ง และยังไม่ทันได้พูดจบเสิ่นิก็ตัดสายไป “ทำตัวน่าลึกลับ...ไม่ได้การแล้วล่ะ...หรือว่าไอ้บ้านี่จะพาโลลิไปเปิดห้อง!”
สถานการณ์ไม่ได้เป็ไปตามที่เซี่ยวอี๋ทำนายทายทัก คนขับแท็กซี่เลาะไปตามถนนเลียบชายฝั่ง ไม่นานหลังจากที่เสิ่นิวางสายก็มีเสียงคำรามดังขึ้น
“ศิษย์พี่ เครื่องยนต์มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ” เสิ่นิถามด้วยรอยยิ้ม
“อ้อ น่าจะใช่นะ ปัญหาเดิมๆ นั่นแหละ พังแบบนี้ตลอด เดี๋ยวผมซ่อมก็น่าจะหาย” ว่าแล้วคนขับก็เบี่ยงรถเข้าไปจอดที่บริเวณเนินข้างทาง “รบกวนพวกคุณรอหน่อย ขอโทษด้วยครับ”
คนขับรถเปิดฝากระโปรงรถด้วยความชำนาญ แต่เขากลับไม่ได้ซ่อม สายตาจับจ้องไปที่สว่านเหล็กที่อยู่ข้างๆ เครื่องยนต์
“ถ้านายคิดจะฆ่าคน นายก็น่าจะเตรียมของเล่นให้มันสมเกียรติหน่อยนะ สว่านเหล็กทื่อๆ แบบนี้ ใช้การไม่ได้หรอก ไหนจะต้องจัดการาแให้ดีอีก ผมรู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะหาปืน แต่ว่าในหุบเขาอย่างนี้ มีดฟันปลาก็น่าจะหาง่ายอยู่นะ ว่าไหม” เสิ่นิยืนพิงอยู่ข้างรถเหมือนกับผี “ผมพูดถูกหรือเปล่า จ้าวเฉียน”
“คุณ...คุณรู้ได้ยังไงว่าเป็ผม” จ้าวเฉียนรีบดึงสว่านออกมากอดไว้แนบอก
“กระโปรงรถเพิ่งจะเปลี่ยนใหม่ รอยขีดข่วนบนกระจกด้านหน้าก็เหมือนกับเมื่อเช้า ที่เก็บข้าวของที่เกี่ยวกับเมิ่งฉีในรถนี่นับว่าคุณละเอียดรอบคอบ แต่รบกวนคุณช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อยได้ไหม อยากช่วยให้ผมจับได้หรือยังไง...” เสิ่นิถอนหายใจพลางบิดคออยู่สองครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปหาจ้าวเฉียนซึ่งถืออาวุธสังหารอยู่
“คุณจะทำอะไร! อย่าเข้ามานะ!” จ้าวเฉียนลนจนเหงื่อแตกพลั่ก เขาถือสว่านหันหน้าเข้าหาเสิ่นิ ถึงเขาจะสูง 180 เิเ น้ำหนัก 90 กิโลกรัม แต่ก็ดูอวบอ้วน นอกจากประสบการณ์ในการขับรถแล้ว เขาก็ไม่เคยมีเื่ทะเลาะวิวาทกับใคร นับประสาอะไรกับการฆ่าคน
“คุณคิดว่าตัวเองขอมากเกินไปหรือเปล่า เห็นๆ อยู่ว่าคุณคอยสะกดรอยตามเราั้แ่เช้า ตกเย็นก็ยังคิดจะลักพาตัวเราไปอีก แล้วยังจะมีหน้ามาบอกผมว่าอย่าเข้ามา” เสิ่นิถอดสูทในขณะที่ก้าวเดิน เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต เพราะไม่อยากให้เสื้อเปื้อนเื “คุณโชคดีมาก ตอนนี้ผมฆ่าคนไม่ได้ แต่เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่เป็ภัยต่อนายจ้างของผม คุณอยากถูกตัดมือหรือว่าเอ็นร้อยหวายดี ส่วนไตผมจะไม่ยุ่ง เผื่อคุณจะเอาไปปล่อยขายแลกไอโฟน!”
“ไอ้โรคจิต! ทำไมคนอย่างแกถึงได้รับความรักจากเมิ่งฉี! เห็นๆ อยู่ว่าแกไม่ได้เข้าใจเธอเลย! แกไม่ได้เข้าใจเพลงของเมิ่งฉีเลย! เธอเป็ผู้หญิงที่บริสุทธิ์และตรงไปตรงมา แกปกป้องเธอไม่ได้! แกมีแต่จะเป็เหมือนเศษเดนที่รังแต่จะทำร้ายเธอ! แก ตายซะเถอะ!” เสิ่นิอึ้งไป เห็นได้ชัดว่าเขาคิดผิดซะแล้ว จ้าวเฉียนแค่มีอคติกับเขา
“ตายซะเถอะ!” จ้าวเฉียนะโเพื่อรวบรวมความกล้า เขากำสว่านแน่นและพุ่งเข้าใส่เสิ่นิ แต่สว่านนั่นกลับถูกเสิ่นิกระชากออกมาด้วยนิ้วแค่สองนิ้ว ก่อนจะถีบใส่หน้าอกจ้าวเฉียน ชายอ้วนกลิ้งไปตามทางลาดจนถึงชายหาดซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสิบเมตร เืกำเดาไหลออกจากจมูก
“ในเมื่อคุณพยายามทำร้ายผมอย่างไม่ลดละ คุณก็ควรจะเคารพคู่ต่อสู้บ้าง” เสิ่นิขยับแขน สว่านในมือลากไปตามพื้นยางมะตอย จนยางมะตอยกระเด็นขึ้นมา
แต่พอเสิ่นิจะเริ่ม “ทำงาน” เมิ่งฉีกลับรีบคว้าแขนของเขาไว้
“ตื่นแล้วเหรอ ขั้นตอนต่อไปเืจะสาด คุณอย่าดูเลย” เสิ่นิสะบัดมือเมิ่งฉีทิ้งแต่พอจะก้าวขาออกไปด้านหน้า เขาก็ถูกรั้งไว้ “คุณจะทำอะไรน่ะ”
“อย่าทำอะไรเขาเลย เขาเป็เพื่อนฉัน” เมิ่งฉีกล่าวอย่างหนักแน่น
“คุณรู้จักเขาเหรอ” เสิ่นิประหลาดใจ
เมิ่งฉีถอดหน้ากากที่ใส่อยู่ออก ก่อนจะวิ่งไปตรงหน้าจ้าวเฉียน เธอนั่งยองๆ และยื่นผ้าเช็ดหน้าให้กับคนที่กำลังเืกำเดาไหล
“ขอโทษด้วย บอดี้การ์ดของฉันมันซื่อบื้อ ทำให้คุณใกลัว เมื่อครู่นี้ฉันเพลียมาก ก็เลยจำคุณไม่ได้ คุณน่าจะเป็แฟนคลับที่ขึ้นมามอบดอกไม้ให้ฉันเมื่อตอนที่ฉันเล่นคอนเสิร์ตครั้งแรกใช่ไหมคะ” เมิ่งฉีพูดพร้อมอมยิ้ม
“คุณ...คุณจำผมได้เหรอ!” จ้าวเฉียนตื้นตันใจจนกระทั่งร้องไห้ออกมา เขาลืมความเ็ปที่หน้าอกไปเสียสนิท
“ไม่เอาน่า ฉันมีคอนเสิร์ตมากมายซะที่ไหนกัน ตอนนั้นคุณถือบัตร VIP ก็เลยได้ขึ้นมามอบดอกไม้บนเวที แค่เห็นเครื่องแต่งกายของคุณก็รู้แล้วว่าคุณไม่ได้ร่ำรวยอะไร น่าจะใช้เงินไปไม่น้อยใช่ไหมคะ” เมิ่งฉีขอโทษที่ต้องพูดออกมา
“เมิ่งฉี ผมรักคุณ! ผมรักคุณมาก! ทุกเพลงของคุณผมฟังรอบแล้วรอบเล่า! เื่อื้อฉาวเ่าั้ พวกที่ทำร้ายคุณมันคือสัตว์นรก ควรต้องถูกฝัง...” ยิ่งจ้าวฉียนพูด เขาก็ยิ่งตื่นเต้น แต่พูดยังไม่ทันจบดีเขาก็ถูกเมิ่งฉีเขกกะโหลกเข้าอย่างแรง
“อย่าไปแช่งคนอื่นลวกๆ แบบนั้น มันไม่มีมารยาท ถ้าคุณชอบเพลงของฉันฉันก็ขอบคุณ รักฉันก็ไม่เป็ไร แต่ว่ามีสองอย่างที่คุณทำไม่ได้” เมิ่งฉีชูนิ้วขึ้นอย่างจริงจัง “หนึ่ง คุณห้ามช่วยตัวเองกับรูปของฉัน สอง ห้ามตัดสินใจแทนฉันว่าฉันควรชอบใคร ควรเกลียดใคร เห็นบอดี้การ์ดหน้าจืดที่ยืนอยู่ข้างหลังฉันไหม ฉันชอบเขา ไม่ใช่เพราะเขามีเงิน หรือว่าโรแมนติก แต่เขาทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัย หลายปีแล้วที่ฉันไม่เคยรู้สึกได้รับการปกป้องเช่นนี้ ดังนั้น ถ้าคุณกล้าทำร้ายเขา ฉันก็จะไม่มีวันปล่อยคุณไปแน่ ได้ยินชัดหรือยัง!”
เมิ่งฉีแผดเสียงจนจ้าวเฉียนกลัว เขาเอาแต่พยักหน้าหงึกๆ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เข้าใจเมิ่งฉีตามที่ตนได้แอบอ้างเอาไว้
“งั้นก็เยี่ยมเลย ใช้ชีวิตให้ดี ฟังเพลงของฉันต่อไป แล้วถ้ายังพอมีเงินเก็บอยู่ ก็ไปดูรอบชิงชนะเลิศนะ ฉันจะต้องคว้าแชมป์ได้แน่ๆ” เมิ่งฉีตบไหล่จ้าวเฉียน ก่อนจะลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหาเสิ่นิ
“นี่มันอะไรกัน” เสิ่นิรู้สึกหมดแรงเมื่อถูกปล้นงานไป
“เื่น่าปวดหัวที่แก้ไขได้ด้วยปากไม่ต้องใช้กำปั้น เมื่อวานคุณเองก็ใช้ปากปลอบฉันเหมือนกันไม่ใช่หรือไง” เมิ่งฉีกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“คุณชนะแล้ว ถ้างั้น กลับบ้านกันเถอะ วันนี้ทรหดมากพอแล้ว” เสิ่นิเหนื่อยจนสุดใจ