สองวันต่อมา พวกเซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่ได้ออกไปไหนทั้งสิ้น
ยามเช้า เซวียเสี่ยวเหล่ยกับอูหลันฮวาตามพวกฟางขุยไปฝึกยุทธ์ ส่วนเซวียเสี่ยวหรั่นก็ต้องมาจัดการผ้าหนึ่งกองที่หงกูซื้อกลับมา
ไม่ผิด เป็หนึ่งกองจริงๆ
เนื้อผ้าแข็งแรง สีสว่าง เส้นไหมใหญ่หนา ลายเส้นเข้ม ผิวเรียบเสมอกันปลายไม่กระดกม้วน ทุกอย่างกองรวมกันอยู่ด้วยกันอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย
เซวียเสี่ยวหรั่นมองแพรพรรณกองโต ก็เหลือบมองหงกูด้วยสีหน้ายกย่องเลื่อมใส แต่กลับบ่นอุบอยู่ในใจ เพราะเธอจงใจหาเหตุผลมาสร้างความลำบากให้หงกู ดังนั้นนางก็เลยจงใจซื้อผ้ากลับมามากมาย
ของซื้อกลับมาแล้ว เธอย่อมจะไม่รังเกียจ อย่างไรเสียก็ใช้ได้ทั้งหมด
เซวียเสี่ยวหรั่นใช้แท่งถ่านจากกิ่งหลิววาดแบบกระเป๋าบนกระดาษเซวียนจื่อ สีขาว ภาพแบบร่างของเธอพอใช้แก้ขัด วาดลวดลายเพียงคร่าวๆ ก็ใช้ได้
หลังจากวาดแบบเสร็จ เลือกสี แล้วก็เริ่มลงมือตัดผ้า
เวลาหมุนไปพร้อมกับเสียงตัดผ้าดังแกรกๆ
จนกระทั่งอูหลันฮวาเข้ามา ทั้งสองฝึกเขียนอักษรก่อน แล้วค่อยมาตัดเย็บกระเป๋าต่อ
หลังจากนั้นสองวัน ในห้องของเซวียเสี่ยวหรั่นก็มีกระเป๋าใหม่รูปแบบสวยงามสีสันสดใสเพิ่มขึ้นมาอีกหลายใบ
หงกูมองด้วยความประหลาดใจ แรกๆ ก็เข้ามาก่อน ต่อมาอาจเป็เพราะเห็นฝีมือของพวกนางสองคนค่อนข้างขาดความประณีต เลยอดไม่ได้เข้ามาช่วยอีกแรง
แต่ผลก็คือเมื่อนำของตัวอย่างจากสองฝ่ายมาเปรียบเทียบกัน ก็เห็นความต่างอย่างชัดเจน
เห็นชัดว่าฝีมือของหงกูไม่ใช่แค่สูงกว่าเพียงระดับเดียว
เซวียเสี่ยวหรั่นกับอูหลันฮวาต้องถอนใจ เข้าไปขอคำชี้แนะจากนาง หงกูก็ยินดีสอนให้โดยไม่ลังเล
เพราะเื่นี้ ทั้งสามจึงเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้น หลังใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ในที่สุดเซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่เกิดความกลัวหรือหวาดระแวงหงกูอีก
เหลียนเซวียนกำลังแช่น้ำพุร้อนอยู่ไกลถึงเขาอวี่เหลียนซาน หลังอ่านจดหมายที่หงกูส่งมา สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเท่าไร
สถานที่ที่เขาอยู่คือน้ำพุร้อนในถ้ำธรรมชาติ ซึ่งผ่านการปรับแต่งภายใน บนผนังศิลาโดยรอบมีตะเกียงแก้วหลิวหลีลายเทพกระเรียนเหินเมฆาจุดสว่างไสว
รอบกายของเหลียนเซวียนปกคลุมไปด้วยม่านไอน้ำเบาบาง เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดพรายออกมาทางไรผม แทรกผ่านหนวดเคราลงมา ก่อนจะหยดลงในน้ำพุร้อนอยู่เป็ระยะ
"ซ่งจิ่งซี? ซื่อจื่อหย่วนอันโหว [1] แห่งซีฉี? เขามาอยู่เมืองเฉียนเฟิงได้อย่างไร"
"วันคล้ายวันพระประสูติของหวงกุ้ยเฟยใกล้มาถึง น่าจะเป็ผู้ได้รับเลือกที่ซีฉีส่งมาถวายพระพร" เหลยลี่ยืนอยู่ไม่ไกลจากบ่อน้ำร้อน เขาเองก็เหงื่อไหลท่วมแผ่นหลังเช่นกัน
"มาถวายพระพรไม่ไปเมืองหลวง กลับแล่นมาเมืองเฉียนเฟิง จมูกของซ่งจิ่งซีผู้นี้ช่างไวยิ่งนัก" เหลียนเซวียนแค่นเสียงเยาะ นึกไม่ถึงว่าจะตามมาถึงเมืองเฉียนเฟิง
หย่วนอันโหวซ่งป๋อเหลียง ขณะเดียวกันก็รั้งตำแหน่งแม่ทัพหู่เวย (แม่ทัพพยัคฆ์เกรียงไกร) แห่งซีฉี ยามสองแคว้นทำา ก็เคยประมือกันมาไม่น้อย
ซ่งจิ่งซีเป็บุตรชายของเขา แม้ไม่เคยรับมือกันมาก่อน แต่เหลียนเซวียนก็ยังจำชื่อของเขาได้อย่างล้ำลึก
ไม่นึกว่าหลังสงบศึก ซีฉีจะถึงกับส่งหย่วนอันโหวซื่อจื่อมาถวายพระพรสตรีผู้นั้น
"ให้ฟางขุยไปตรวจสอบว่าเขามาจากเมืองหลวง หรือมาจากซีฉีโดยตรง"
ใบหน้าของเหลียนเซวียนมองดูรางเลือนภายใต้ม่านไอน้ำ ดวงตาคู่นั้นคมกริบดังคมมีด
"พ่ะย่ะค่ะ" เหลยลี่ปาดเหงื่อพลางรับคำ
"กำชับหงกู..." เหลียนเซวียนพูดมาได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดชะงัก
เดิมทีเขาอยากพูดว่า ให้พวกเซวียเสี่ยวหรั่นพยายามอย่าออกจากจวน แต่พอนึกดูอีกทีก็เปลี่ยนความคิด ไยต้องให้พวกนางหมดสนุกเพียงเพราะตัวตลกในคณะปาหี่ไม่กี่คน "ให้พวกฟางขุยระวังตัว พาคนออกไปเพิ่มยามออกจากจวน"
"พ่ะย่ะค่ะ"
วันนี้วันที่สิบแปดเดือนห้า เซวียเสี่ยวหรั่นซึ่งเก็บตัวอยู่ในคฤหาสน์มาหลายวันในที่สุดก็ออกมาข้างนอก ทั้งสามนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังประตูตะวันออกของเมืองเฉียนเฟิง
"สองวันก่อนฝนตก อากาศเย็นสบาย วันนี้พวกเราไปกินเจที่วัดต้าฝออินแล้วค่อยกลับ"
เซวียเสี่ยวหรั่นกับเซวียเสี่ยวเหล่ยนั่งรถม้าคันเดียวกัน ส่วนอูหลันฮวากับหงกูนั่งรถม้าคันหลัง
หลังจากอยู่ร่วมกันมาระยะหนึ่ง เซวียเสี่ยวหรั่นมิได้ออกกฎห้ามหงกูติดตามเช่นเดิมอีก ดังนั้นออกจากจวนครานี้ จึงพามาด้วย
"ขากลับต้องเอาอาหารเจกลับไปให้อาเหลยสักสองสามอย่าง"
เซวียเสี่ยวเหล่ยยังนึกถึงอาเหลยซึ่งอยู่ในจวน
่นี้อาเหลยเริ่มคุ้นเคยกับองครักษ์เ่าั้ มันอยู่ในจวนก็พอฝากฝังพวกเขาให้ช่วยดูแลได้
"อื้ม เอาไปเยอะหน่อย เผื่อพวกอินจิ่วด้วยชุดหนึ่ง
เซวียเสี่ยวหรั่นพยักหน้า อินจิ่วคือหนึ่งในองครักษ์สองสามคนที่ช่วยดูแลอาเหลยในคฤหาสน์
รถม้าออกจากประตูเมืองตะวันออกมาไม่ไกล ก็ได้ยินเสียงระฆังกังวานจากวัดมาแต่ไกล
"พี่สาว ข้างนอกคึกคักมากเลยขอรับ" เซวียเสี่ยวเหล่ยมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้า
มีคนและรถม้ามาจากทั่วสารทิศ ริมทางตั้งแผงขายของหลากชนิด มีของขายพร้อมสรรพ ทั้งธูปเทียน ของกินเล่น แป้งชาดและเครื่องประดับ
"ไม่เสียแรงที่เป็วัดใหญ่ที่สุดของเมืองเฉียนเฟิง เสี่ยวเหล่ยเ้าดูสิ ว่าวัดกว้างใหญ่แค่ไหน" เซวียเสี่ยวหรั่นมองขึ้นไปบนที่สูง สีหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม
วัดต้าฝออินสร้างขึ้นบนูเาแลดูยิ่งใหญ่ งดงามตระการตา แผ่นกระเบื้องสีทองอร่ามทอประกายระยิบระยับภายใต้แสงตะวัน กระเื้ัคาสีทองตัดกับผนังสีแดงให้ความรู้สึกเคร่งขรึมและบริสุทธิ์สงบ
บนบันไดสูง เหล่าสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาต่างหลั่งไหลขึ้นไปไม่หยุด ดูจากควันธูปมากมายก็รู้ได้
"โอ้โห" เซวียเสี่ยวเหล่ยเงยหน้าขึ้นมองพลางเปล่งเสียงอุทาน
รถม้าหยุดอยู่ข้างวัด อูหลันฮวาวิ่งมาประคองเซวียเสี่ยวหรั่นลงจากรถม้า ดวงหน้าฉายแววตื่นเต้นเช่นเดียวกัน
"พี่สาว วัดโบราณแห่งนี้ใหญ่มากเลยขอรับ"
หงกูยิ้มน้อยๆ รักษาความสงบเดินตามมาไม่ไกล
"หงกู ท่านเคยมาวัดต้าฝออินหรือไม่" เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นสีหน้านางสงบนิ่งจึงลองถามดู
หงกูผงกศีรษะ "เคยตามนายท่านมาสองสามครั้งเ้าค่ะ"
"เหลียนเซวียนมาที่นี่ั้แ่เมื่อไร" เซวียเสี่ยวหรั่นนึกอยากรู้ขึ้นมา
"ตอนนายท่านยังเด็ก ร่ำเรียนศิลปะวิชาร่วมกับคุณชายผูหยาง ติดตามผู้าุโเผยท่องไปทั่วสารทิศ เคยมาเมืองเฉียนเฟิงอยู่สองสามครั้งเ้าค่ะ" หงกูไม่ปิดบัง
"ผู้าุโเผยคืออาจารย์ของพวกเขาหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นเคยได้ยินเหลียนเซวียนเอ่ยถึงอาจารย์ของเขา แต่ไม่ได้แนะนำอย่างละเอียด เธอรู้แค่ว่าอาจารย์ของเขาจากไปเมื่อหลายปีก่อน
"ใช่เ้าค่ะ" หงกูยิ้มบางๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นพยักหน้า ในใจคิดว่าจะทำความรู้จักเหลียนเซวียนจากปากของนาง แต่ทั้งซ้ายขวามีผู้คนมากมาย และเป็ที่แจ้ง ที่นี่ไม่เหมาะจะเป็สถานที่พูดคุยกัน
พวกนางเดินขึ้นบันไดไหลตามกระแสคนไปอย่างช้าๆ ยิ่งขึ้นสูงเท่าไร กลิ่นธูปอันเป็เอกลักษณ์ประจำวัดก็ยิ่งเข้มขึ้นเรื่อยๆ
ภายในอารามใหญ่ ผู้คนคับคั่ง คนต่อแถวจุดธูปไม่ขาดสาย
เซวียเสี่ยวหรั่นเห็นแล้ว ก็หันมาปรึกษาหงกูว่าจะไปอุโบสถด้านข้างแทน คนเยอะขนาดนี้ ต้องต่อถึงปีวอกเดือนมะเมียกระมังจึงจะมาถึงตาพวกนาง
อย่างไรเสียพวกนางแค่มาเที่ยวชมบรรยากาศไม่ได้มาเพื่อจุดธูปไหว้พระโดยเฉพาะ
หงกูยิ้มพลางพยักหน้า ครั้นแล้ว พวกเขาก็เดินไปยังอุโบสถด้านข้างอย่างไม่รีบร้อน ฟางขุยกับองครักษ์อีกจำนวนหนึ่งกระจายกำลังคุ้มกันพวกเขาทั้งหน้าหลัง
สองด้านของอุโบสถข้างพฤกษาเขียวขจี
ขณะเดินอยู่บนถนนในป่า ความรู้สึกอบอ้าวเหนียวตัวก็ถูกลมเย็นจากป่าพัดพาไป
กลิ่นควันธูปจางๆ ให้ความรู้สึกเงียบสงบ
หลังผ่านประตูโค้งเข้ามา พระอุโบสถด้านข้างเงียบสงัดก็เข้ามาสู่สายตา ด้านในมีผู้มีจิตศรัทธาเพียงไม่กี่คน
"ที่นี่เงียบสงบ พวกเราเข้าไปจุดธูปกันเถอะ"
ไม่ว่าจะเป็พระพุทธรูปองค์ไหน การจุดธูปกราบไหว้มีจุดประสงค์เพียงแค่พิธีการช่วยให้จิตใจสงบสุข
เซวียเสี่ยวหรั่นเดินนำเข้าไปอย่างตื่นเต้น แต่ผลก็คือเกือบชนถูกคนผู้หนึ่ง
พอช้อนตาขึ้นมอง มารดาเถอะ เป็จิ้งจอกจอมเสแสร้งอีกแล้วหรือ เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
...
[1] ซื่อจื่อหมายถึงทายาทผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ ซื่อจื่อหย่วนอันโหว จึงหมายถึงผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งหย่วนอันโหวคนต่อไป
