ไป๋หยุนเฟยไม่ได้จู่โจมหมัดด้วยวิชาระลอกคลื่น แต่ถึงอย่างนั้นก็เกินกว่าผู้บรรลุด่านปัจเจกิญญาระดับปลายเช่นหลงเทา(พี่ชาย)จะทานทนได้ หลังจากกระเด็นถอยหลังไปห้าหกก้าวติดต่อกันค่อยตั้งหลักยั้งกายไม่ให้ล้มลงได้
“วีรชนิญญา!” หลงเทากุมหน้าท้องมองดูไป๋หยุนเฟยด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“กลัวแล้วกระมัง? สายไปแล้ว!” ไป๋หยุนเฟยแค่นเสียงแ่เบาก่อนจะพุ่งกายไปด้านหน้าอีกครา
แม้ในใจหลงเทาจะตื่นตระหนก แต่คู่ต่อสู้ก็มาถึงตรงหน้าแล้วมันไม่มีทางเลือกได้แต่ต้องสู้เท่านั้น กล้ามเนื้อทั่วร่างมันเบ่งพองขึ้นส่งผลให้บุรุษร่างกำยำเช่นมันถึงกับสูงใหญ่ยิ่งขึ้นอีก จากนั้นหลงเทาจึงชกหมัดใส่ไป๋หยุนเฟยอย่างดุดัน
เมื่อพุ่งกายมาถึงเบื้องหน้าหลงเทา ไป๋หยุนเฟยพลันฟุบกายไปด้านข้าง หมัดที่หลงเทาชกสุดกำลังจึงกระทบถูกเพียงอากาศธาตุ จากนั้นไป๋หยุนเฟยขยับร่างคราหนึ่งก็ไปปรากฏอยู่ที่ด้านซ้าย หลังจากส่งสายตาแฝงความหมายมองดูก็ยกมือขวาขึ้นตบหน้าหลงเทาเสียงดังสดใส
จากนั้น ภายใต้สายตาตื่นตะลึงของผู้ชมรอบข้าง ไป๋หยุนเฟยราวกับเย้าแหย่สัตว์ร้าย มันใช้ท่าเท้าเหยียบคลื่นสร้างเงาร่างล้อมรอบกายจนหลงเทาไม่อาจจู่โจมได้ถูก จึงได้แต่ร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวและจู่โจมอย่างคลุ้มคลั่ง ตรงข้ามกับไป๋หยุนเฟยที่ทุบตีคู่ต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมกับ‘ก่นด่า’ด้วยท่าทีพลุ่งพล่าน
“นี่สำหรับที่เ้าวางตัวราวผู้ยิ่งใหญ่!”
“นี่สำหรับที่เ้าไม่โกนหนวดเครา!”
“นี่สำหรับที่เ้าใช้อำนาจของตระกูลข่มเหงผู้อื่น!”
“นี่สำหรับที่เ้าเป็ตัวประกอบ!”
“……”
เพียงไม่นานใบหน้าหลงเทาก็กลายเป็บวมพองราวกับสุกร ถึงกับเป็สุกรที่หนวดเครารกครึ้มเช่นนี้...
เมื่อเล่นสนุกจนสาแก่ใจ ไป๋หยุนเฟยจึงสะบัดมือตบอย่างดุดันส่งคู่ต่อสู้ปลิวกระเด็นออกไปอีกครา ขณะเดียวกันก็ร้องะโเสียงดัง
“ข้าจะบอกเ้าเป็ครั้งสุดท้าย หมดคิวเ้าแล้ว เก็บของกลับบ้านไปซะ!!”
หลงเทาร่างหมุนคว้างลอยออกไปวาเศษก่อนจะร่วงลงสู่พื้นในที่สุด เมื่อตั้งหลักได้ก็ถ่มโลหิตพร้อมกับฟันสองซี่ออกจากปาก ดวงตาหลงเทาเปี่ยมด้วยความหวาดกลัวและอัปยศอดสู --- แม้จะเป็ถึงปัจเจกิญญาระดับปลายแต่ก็ยังถูกหยอกเย้าเช่นนี้ นับว่าศัตรูเหยียดหยามมันนัก
หลังจากส่งพี่ชายลอยกระเด็นออกไป ไป๋หยุนเฟยก็ตบมือเบาๆพลางหันไปมองหลงเทาผู้น้องที่แตกตื่นตะลึงลาน ไม่ทราบเพราะเหตุใดยามไป๋หยุนเฟยนึกถึงว่าเมื่อวานคนผู้นี้คุกคามหลิวเมิ่งอย่างไรก็รู้สึกขุ่นเคืองใจนัก มันแค่นเสียงเ็าก้าวเท้าเข้าหาฝ่ายตรงข้าอย่างเชื่องช้า
เสียงแค่นของไป๋หยุนเฟยปลุกหลงเทาสะดุ้งรู้สึกตัว ขณะมองไป๋หยุนเฟยที่เดินเข้าหาใบหน้ามันก็ถูกฉาบย้อมด้วยความหวาดกลัวสุดขีด หลงเทาถอยหลังโดยไม่รู้สึกตัวแต่เพราะความลนลานจึงเสียหลักล้มลงนั่งกับพื้น ขณะใช้แขนขาตะเกียกตะกายล่าถอยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน “เ้า เ้าจะทำอะไร?! อย่า อย่าเข้ามา! พี่ พี่ชายข้าคือ... ” กล่าวถึงกลางคันค่อยนึกออกว่าศัตรูเพิ่งทุบตีพี่ชายมันอย่างดุดัน จึงรีบเปลี่ยนคำพูด “บิดาข้าคือหลงกัง! ตระกูลหลงของข้ามียอดฝีมือมากมาย! เ้าไม่อาจทำร้ายข้า!”
ดวงตาไป๋หยุนเฟยฉายแววเหยียดหยาม แต่ก็ยังหยุดเท้า‘อย่างที่ฝ่ายตรงข้ามบอก’ ชั่วขณะที่ศัตรูถอนหายใจโล่งอก ไป๋หยุนเฟยพลันสะบัดมือขวาซัดประกายเย็นเยียบสามจุดเข้าใส่อย่างฉับพลัน!
หลงเทาเพียงได้ยินเสียงแ่เบาสามเสียง ยามที่ก้มหน้าลงมองอย่างงุนงง ในหน้ามันพลันกลับกลายเป็ซีดขาวราวคนตายพร้อมกับหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ --- มันเห็นมีดสองเล่มส่งประกายเย็นเยียบปักตรึงกับพื้นระหว่างง่ามนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้หากคลาดเคลื่อนเพียงนิดก็จะปักตรึงมือของมันไว้กับพื้นแล้ว! แต่ที่สร้างความหวาดหวั่นแก่มันที่สุดคือมีดอีกเล่มที่ปักอยู่ตรงระหว่างขา! มีดนี้พุ่งตัดกางเกงหลงเทาเป็รูโหว่ตรึงแน่นอยู่กับพื้น มันถึงกับรู้สึกว่าลมเย็นะเืโชยพัดผ่านมีดสั้นเข้าสู่รูที่เป้ากางเกง!
เห็นหลงเทาตื่นตระหนกแทบปัสสาวะรดกางเกง ไป๋หยุนเฟยก็พลันรู้สึกว่าน่าเบื่อหน่ายและหมดความสนใจ จึงโบกมือราวขับไล่แมลงวันพลางกล่าวว่า “พวกเ้าทุกคนไสหัวไป!”
………
หลังจากมองดูกลุ่มบุรุษตรงหน้าตะเกียกตะกายหนีหายลับตาไป ไป๋หยุนเฟยก็สั่นศีรษะอย่างคับข้องใจ พลางถอนหายใจแ่เบา “โธ่ ช่างซ้ำซากนัก”
“ท่านเป็ไรหรือไม่หยุนเฟย?” หลิวเมิ่งเอ่ยปากถามหลังจากเดินเข้าหาไป๋หยุนเฟยที่ดึงมีดสั้นขึ้นจากพื้นดิน
“โอ ข้าย่อมไม่เป็ไร หรือพวกมันจะทำร้ายข้าได้?” ไป๋หยุนเฟยส่งยิ้มให้พลางกล่าวอย่างเบิกบาน
“หยุนเฟย ท่านไม่สมควรหยอกล้อพวกมันเช่นนั้น... ตระกูลหลงนับว่ามีอิทธิพลในเมองนี้ไม่น้อย ข้าเกรงว่า...” หลิวเมิ่งขมวดคิ้วกล่าววาจาขณะมองตามทิศทางที่คนตระกูลหลงหายลับไป
“เอ่อ... เมิ่งเอ๋อร์ท่านพูดถูก ข้าวู่วามไปบ้าง ทันทีที่ข้าคิดถึงว่าพวกมันทั้งคู่เป็หลงเทาก็อดไม่ได้ต้องเหยียบย่ำอย่างดุดัน...” ไป๋หยุนเฟยเกาศีรษะขณะเดียวกันก็สำนึกได้ว่าเมื่อครู่ตนเองกระทำเกินเลยไป “แต่สมควรไม่เป็ปัญหาอันใด นี่ถือเป็เพียงการต่อยตีของเหล่าผู้เยาว์เท่านั้น อีกอย่างพวกมันทราบฝีมือข้าแล้วคงไม่มารบกวนข้าอีก...”
“โธ่ ข้าก็หวังเช่นนั้น” หลิวเมิ่งถอนหายใจแ่เบา “แล้วกันไปเถอะ อย่าได้กล่าวถึงเื่นี้อีก หยุนเฟยพวกเราไปหาร้านรับประทานอาหารเย็นเถอะ...”
…………
แสงจันทร์ส่องสว่างขณะที่ดวงดาวปรากฏประปราย นี่เป็ยามค่ำคืนแล้ว ไป๋หยุนเฟยเดินอย่างเงียบงันอยู่ในตรอกมุ่งหน้ากลับโรงเตี๊ยม
“โธ่... ไฉนข้ารับปากนางอีกครา? ข้าต้องไปจากที่นี่พรุ่งนี้แท้ๆ...” ไป๋หยุนเฟยถอนหายใจขณะเดินก้มศีรษะ “พรุ่งนี้ข้าต้องไปไหว้พระที่อารามชุ่ยฮัวทางตะวันออกของเมือง ไฉนยามนั้นข้ากลับรับปากโดยยั้งคิด...?”
แม้จะลอบสำนึกเสียใจที่รับปากรั้งอยู่ที่เมืองชุ่ยหลิว แต่ก้นบึ้งจิตใจไป๋หยุนเฟยกลับตั้งหน้ารอจะไปท่องเที่ยวในวันพรุ่งนี้ จิตใจมันยามนี้ว้าวุ่นสับสนถึงกับไม่ทราบจะทำอย่างไรกับตนเองดี...
“อยู่ต่ออีกวันเถอะ เพียงวันเดียว สมควรไม่เกิดปัญหาใด” ไป๋หยุนเฟยปลอบขวัญตนเองในใจ ขณะจะเร่งฝีเท้าขึ้น สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนไป มันหยุดเท้าเขม้นมองในตรอกทางขวามือพร้อมกับกล่าวอย่างเคร่งเครียด “ผู้ใด?! ออกมา!”
“ฮ่า ฮ่า เ้ากลับตื่นตัวนัก น้องชาย” เสียงหัวร่อแ่เบาดังขึ้น ตามด้วยเงาร่างคนผู้หนึ่งเดินออกมาอย่างเชื่องช้า ฟังจากน้ำเสียงสมควรเป็บุรุษสูงอายุ คนผู้นี้รูปร่างไม่สูงเท่าใดทั้งสองก็มือว่างเปล่า แม้จะเดินออกมาจากตรอกแต่ยังคงซ่อนร่างในเงามืดจึงไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน
“ท่านเป็ใคร? ้าอะไร?” ไป๋หยุนเฟยขมวดคิ้วถาม มันซ่อนมือขวาไว้ด้านหลังขณะเดียวกันก็เค้นสมองครุ่นคิด หรือจะเป็ศัตรูจากตระกูลหลง? หรือคนผู้นี้จะมาจากสำนักธารน้ำแข็ง?
ชายชราราวกับพิจารณาไป๋หยุนเฟยอย่างละเอียดก่อนจะกล่าวอย่างยิ้มแย้มเช่นเดิม “เ้าไม่ทราบว่าข้าเป็ผู้ใด ข้าก็ไม่แน่ใจตัวตนของเ้าเช่นกัน ถ้าเช่นนั้นแลกเปลี่ยนกระบวนท่าเพื่อหาคำตอบเถอะ!”
ทันทีที่กล่าวจบ มิคาดว่ามันจะออกกระบวนท่าจู่โจมโดยไม่บอกกล่าว!
“รวดเร็วยิ่งนัก!” ได้เห็นคู่ต่อสู้ที่พุ่งเข้าหา ไป๋หยุนเฟยต้องลอบตื่นตระหนก แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจมองเห็นใบหน้าอีกฝ่ายได้ชัด ไป๋หยุนเฟยขยับเท้าเคลื่อนร่างถอยอย่างว่องไว ขณะเดียวกันก็สะบัดมือขวาซัดมีดสั้นสองเล่มเข้าใส่ศัตรู
ฝ่ายตรงข้ามราวกับทราบแต่แรกว่าไป๋หยุนเฟยต้องเคลื่อนไหวเช่นนี้จึงเอนกายไปด้านข้างเล็กน้อยหลบมีดทั้งสองเล่ม ก่อนจะพุ่งเข้าหาไป๋หยุนเฟยต่อไปโดยไม่ชะงักแม้แต่น้อย
ด้วยแสงจันทร์ที่ส่องกระทบ ในที่สุดไป๋หยุนเฟยก็มองเห็นอีกฝ่ายชัดตา คนผู้นี้มีผมสีดอกเลาแต่ใบหน้ากลับไม่แก่ชราแม้แต่น้อย แต่เพราะรอยยิ้มเมื่อครู่จึงปรากฏริ้วรอยยับย่นทั่วใบหน้า ชายชราหรี่ตามองดูไป๋หยุนเฟยขณะยื่นมือขวาคว้าใส่ลำคอชายหนุ่มอย่างอำมหิต!
ขณะที่เกือบคว้าจับได้สำเร็จไป๋หยุนเฟยพลันล้มไปด้านหลังอย่างกะทันหัน ก่อนจะพลิกกายดัดโค้งหลบรอดไปด้านข้างได้อย่างพิสดาร
แต่ก่อนจะทันได้เคลื่อนไหวต่อไป ไป๋หยุนเฟยก็พลันรู้สึกถึงพลังหนักหน่วงพุ่งใส่เอวด้านซ้าย ที่แท้ชายชราพลันเปลี่ยนกระบวนท่าแปรกรงเล็บเป็ฝ่ามือฟาดใส่ระหว่างเอวไป๋หยุนเฟยด้วยท่าทีแ่พลิ้ว
พลังอันหนักหน่วงที่กระทบถูกส่งไป๋หยุนเฟยเซไปด้านข้างสองก้าวโดยไม่อาจต้านทาน มันเห็นชายชราฟาดฝ่ามือที่สองเข้ามาก็แค่นเสียงเ็า ด้วยเท้าที่เคลื่อนสลับก็ปรากฏร่างลวงที่ข้างกายขึ้นสองร่าง แต่แทนที่จะหลบฉากออกมาไป๋หยุนเฟยกลับหันกายอย่างกะทันหันชกหมัดใส่หัวใจศัตรูโดยฉับพลัน
ศัตรูกลับประหลาดใจและพลันรั้งฝ่ามือที่จู่โจมใส่ไป๋หยุนเฟยกลับอย่างกะทันหัน หลังจากชักมือกลับอย่างฉับไวก็ซ้อนฝ่ามือไว้ที่ทรวงอกราวกับ้ารับหมัดไป๋หยุนเฟยซึ่งหน้า!
ดวงตาไป๋หยุนเฟยสาดประกาย พร้อมกับกล้ามเนื้อมือขวาเบ่งพองขึ้น ชายหนุ่มพลันเร่งความเร็วหมัดขึ้นกลางคัน
วิชาระลอกคลื่น พลังหมัดเก้าทบ!
ปัง!
ได้ยินเสียงหนักทึบ ดวงตาของชายชราฉายแววประหลาดใจ ร่างมันล่าถอยไม่หยุดยั้ง ทุกก้าวที่ล่าถอยล้วนปรากฏเสียงแตกร้าวดังจากใต้ฝ่าเท้า ที่แท้ชายชราเหยียบย่ำแผ่นหินที่ใช้ปูพื้นแตกเป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อยไป
หลังจากชายชราถอยกายไปร่วมห้าวาก็ยั้งร่างสะบัดมือสลายพลังจากหมัดเก้าทบได้หมดสิ้น คิดไม่ถึงว่าชายชราผู้นี้จะไม่าเ็แม้แต่น้อย!
