อยากอยู่ในเมืองหรือ?
หลิวหย่งไม่รู้สึกแปลกใจ หากเคยพบว่าการมีชีวิตที่ดีเป็อย่างไรใครก็ไม่ยินดีที่จะทนอาศัยอยู่ในชนบทโดยไม่ย้ายถิ่นฐานมิเช่นนั้นเขาจะอยากหางานอยู่เป็นิจไปทำไม
“ทิ้งนาที่บ้านอย่างนั้นหรือ? เมื่อก่อนเธอมักกังวลว่าหากไม่ทำไร่ทำนาจะอดตายเอา”
ใช่แล้ว ไร่นาที่บ้านจะทำอย่างไร?
ไม่ว่าจะเพาะปลูกหรือไม่ ผลผลิตและค่าบำรุงต่างๆ ก็ต้องส่งให้รัฐทุกปีอยู่ดีนี่คือข้อกำหนดที่สถานะของคนชนบทได้รับมา แม้การขุดหาอาหารจากดินจะลำบากแต่ถ้าขยันขันแข็งก็สามารถเติมท้องจนเต็ม เพียงแต่เมื่อใช้เงินที่มีอยู่ในมือจะรู้สึกว่าถูกจำกัดอิ่มท้องได้ ทว่ากลับไม่มีชีวิตที่ดีขึ้น คนชนบทล้วนใช้ชีวิตแบบนั้นต่อให้เป็พนักงานหรือคนงานในเมือง ก็ไม่ได้รับประทานเนื้อสัตว์ทุกวันทุกคนใช้จ่ายเงินทองอย่างประหยัดแล้วประหยัดอีก!
เปรียบเทียบกับชีวิตที่ผ่านมา หลี่เฟิ่งเหมยควรพอใจกับชีวิตในตอนนี้ หลังการแบ่งสรรที่ดินสู่ครัวเรือนยิ่งเวลาผ่านไปชีวิตของเกษตรกรยิ่งดีขึ้น
แต่พอได้เจอบางสิ่งบางอย่าง ใจของหลี่เฟิ่งเหมยก็ไม่้าอุดอู้อยู่แต่ในชนบท
ไม่ใช่เพื่อตัวเธอเอง เป็พ่อแม่ต้องไตร่ตรองแทนลูกใช่ไหม?
“ใครบอกว่าฉันจะทิ้งไร่นาของครอบครัวกัน ฉันจะจ้างคนปลูกตกลงไหม เกิดการค้าขายขาดทุนขึ้นมาก็ยังมีที่นาหลายหมู่คอยประทังชีวิตอยู่ ไม่ว่าอย่างไรครอบครัวพวกเราก็ไม่อดตายหรอก!”
หลี่เฟิ่งเหมยกล่าวเสียงดัง
เธอไม่้าเก่งกาจเท่าหลานสาว ขอเพียงยังสามารถหาเงินสำหรับส่งผลผลิตและค่าบำรุงให้รัฐได้บ้างคงดีมากสินะ?
“ได้ๆ เธออย่าเพิ่งโมโห เธอว่าทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น”
หลิวหย่งแค่้าหยอกเย้าภรรยา แต่กลับบีบคั้นจิตใจที่ไม่ยอมอ่อนข้อของหลี่เฟิ่งเหมยออกมาเสียได้เดิมทีเขาตั้งใจย้ายจากชนบทไปปักหลักยังตัวเมือง ทว่าเมื่อคิดจนถี่ถ้วนแล้วสถานที่เล็กๆ อย่างเขตอันชิ่งนั้นก็ไม่มีงานการอะไรมากมายนัก ประชากรเยอะขนาดนั้น ทำธุรกิจเล็กน้อยเลี้ยงปากท้องยังพอทำได้แต่หากอยากจะมีการพัฒนาที่ก้าวหน้าควรไปเมืองใหญ่ดีกว่า
หลิวหย่งไม่เข้าใจด้านเศรษฐกิจเมือง เขารู้เพียงมีคนซื้อของจำนวนมาก และในกระเป๋าของผู้คนนั้นมีเงินดังนั้นธุรกิจอิสระถึงได้สามารถทำเงินได้
ซางตูคือเมืองหลักประจำมณฑลอวี้หนาน แม้จะเทียบกับเซี่ยงไฮ้หรือหยางเฉิงไม่ได้แต่ในมณฑลอวี้หนานเป็เมืองใหญ่ที่ดีที่สุดแล้ว ซางตูอยู่ห่างจากหมู่บ้านชีจิ่งไม่ไกลนักดังนั้นเขาสามารถดูแลบ้านเก่าในชนบท และทำธุรกิจได้เช่นกันหลิวหย่งถึงกับรู้สึกว่าเมื่อก่อนสมองของตนเองมีปัญหา เอาแต่อยากย้ายไปเขตอันชิ่ง มิสู้ย้ายเข้าเมืองซางตูให้รู้แล้วรู้รอดไม่ดีกว่าหรือ
“รอฉันถอนเงินทุนออกมาก่อน ค่อยวางแผนดีๆ แล้วกัน”
หลี่เฟิ่งเหมยเล่าข้อเสนอก่อนหน้านี้ของเซี่ยเสี่ยวหลานให้ฟังหลิวหย่งส่ายศีรษะปฏิเสธในทันที “เธอควรไปเอาเปรียบเสี่ยวหลานหรือ? เด็กคนนี้แบ่งเงินให้เธอใช้แน่นอน เธอสามารถเลือกเสื้อผ้าหรือเดินทางไปหยางเฉิงเพื่อซื้อสินค้าด้วยตัวเองได้หรือเธอจะช่วยอะไรในธุรกิจของเสี่ยวหลานได้!”
การร่วมเป็หุ้นส่วนต้องสามารถช่วยเหลือและมีบทบาทในการทำงาน
เสื้อผ้าที่เซี่ยเสี่ยวหลานรับซื้อกลับมาจากหยางเฉิงโดนคนแย่งชิงจนหมดเกลี้ยงในเวลาสั้นๆเพราะแววตาในการเลือกสินค้าของเธอมีเอกลักษณ์
หากให้หลี่เฟิ่งเหมยไปรับซื้อสินค้าหลี่เฟิ่งเหมยจะเลือกรูปแบบที่ได้รับความนิยมได้หรือ?
ทั้งเธอมิใช่คนที่ฝีปากคล่องแคล่ว เซี่ยเสี่ยวหลานจ้างเด็กสาวสักคนในเมืองยังขายของเก่งกว่าหลี่เฟิ่งเหมยเสียอีก หลิวหย่งจึงไม่เห็นด้วยกับการร่วมหุ้นนั่นคือการเอาเปรียบหลานสาว!
หลี่เฟิ่งเหมยถูกตำหนิจนรู้สึกผิด
นั่นสินะ ในเมื่อเธอช่วยงานไม่ได้ การร่วมหุ้นจะไม่เป็การเอาเปรียบหรือ?
“อีกอย่างเทาเทาจะทำอย่างไร? เื่หาเงินมีฉันแล้วเธอต้องดูแลลูกดีๆ”
บ้านหลิวไร้ผู้หลักผู้ใหญ่ช่วยเหลือ บิดามารดาหลิวหย่งจากไปก่อนวัยอันควรมารดาหลี่เฟิ่งเหมยต้องเลี้ยงหลานและทำงานบ้านให้แก่ลูกชายทั้งหลายหาคนดูแลเด็กไม่ได้จริงๆ หลิวจื่อเทาไม่ใช่อายุ 16 ปี เขาเพิ่ง 6 ขวบเท่านั้น!
ที่จริงแล้วความคิดของสองสามีภรรยาไม่เหมือนกับคนส่วนใหญ่ในยุคนี้ พวกเขาไม่มีความรู้อะไรนักทว่ากำลังปฏิบัติตามระบบ ‘พ่อแม่เติบโตพร้อมลูก’ ซึ่งสนับสนุนกันโดยคนรุ่นหลัง ปัจจุบันมีครอบครัวที่สามีภรรยาต่างคนต่างทำงานอยู่มากมายและไม่ใช่ว่าทุกครอบครัวที่จะมีผู้ใหญ่ช่วยดูแลบุตรหลาน ก่อนเข้างานพาลูกไปไว้ที่โรงเรียนเด็กน้อยอายุไม่กี่ขวบก็สามารถกลับบ้านเองได้ ทุกคนเลี้ยงดูลูกตามมีตามเกิด คอยอยู่เป็เพื่อนและฝึกสอนหลังเลิกเรียนอะไรกันผู้ปกครองยุ่งกับการทำงานหาเงินจุนเจือครอบครัว ไม่มีเื่พิถีพิถันแบบนั้นหรอก!
แม้ไม่ได้วางแผนที่จะมีบุตร แต่เทาเทาคือบุตรชายคนเดียวของทั้งสองคนหลิวหย่งแต่งงานช้า ส่วนหลี่เฟิ่งเหมยนั้นแต่งงานเป็ครั้งที่สองทั้งสามีภรรยาอายุอานามก็ไม่น้อยแล้ว
--------------------------------
หลิวเฟินมายังบ้านพักรับรองั้แ่เช้าตรู่
เธอไม่รู้ว่าโจวเฉิงและคังเหว่ยชอบรับประทานอะไร จึงไม่นำอาหารเช้ามาให้เมืองซางตูไม่ขาดแคลนร้านอาหารเช้า เซี่ยเสี่ยวหลานและโจวเฉิงก็คุ้นเคยกับถนนอาหารมากทีเดียวทั้งคู่พากลุ่มคนไปรับประทานอาหารเช้าด้วยความชำนาญทางในใจของเซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกมีบางอย่างที่แปลกไปเล็กน้อย
ทุกคนล้วนไม่รู้ว่าเธอกับโจวเฉิงเคยมาถนนอาหารกันมาก่อน
อีกทั้งไม่รู้ว่าโจวเฉิงกับเธอเคยขายปลาไหลและไข่ไก่ด้วยกัน ไม่รู้ว่าโจวเฉิงเคยส่งโทรเลขฉบับหนาเท่าจดหมายให้เธอเคยมอบเครื่องช็อตไฟฟ้าสำหรับป้องกันตัวให้เธอ รวมไปถึงการจูงมือกันของทั้งสองที่สถานีรถไฟอ้อมกอดนั้นของโจวเฉิงก่อนรถไฟจะเคลื่อนตัว ระหว่างพวกเขาสองคนมีความลับที่คนอื่นไม่รู้ราวกับก่อตัวเป็ความสัมพันธ์รูปแบบหนึ่ง
โจวเฉิงหน้าไม่อายคนนี้ ยังจะแสร้งทำเป็ไม่รู้อะไรอยู่ได้
“เสี่ยวหลานเธออยากกินอะไร?”
เซี่ยเสี่ยวหลานข่มกลั้นความ้ามองค้อนเขาเอาไว้ “ซุปเนื้อลาชามหนึ่ง”
มุมปากของโจวเฉิงยกสูง “น้อยไปแล้ว เธอผอมมากเหลือเกินควรกินให้เยอะขึ้นหน่อยเพิ่มก้วนทังเปา [1] อีกเข่งเถอะ!”
ซุปเนื้อลาหนึ่งชาม ก้วนทังเปาหนึ่งเข่ง ตอนเธอและโจวเฉิงมาซางตูครั้งแรก ก็รับประทานอาหารที่เหมือนกับตอนนี้
ทั้งที่อากาศเดือนพฤศจิกายนเริ่มเย็นลงแล้วแท้ๆ ซุปเนื้อลายังไม่ทันลงท้องเซี่ยเสี่ยวหลานก็รู้สึกว่าหูแดงนิดหน่อยแล้ว
โจวเฉิงกระตือรือร้นช่วยทุกคนสั่งอาหาร กิริยาเหมาะสมและอัธยาศัยดีหลิวหย่งยังคงไม่เชื่อในอาชีพของโจวเฉิง เขามีอุปนิสัยอดทนต่อความยากลำบากเสียที่ไหน? ไม่เหมือนคนใช้ชีวิตอย่างดิ้นรนขนขวาย แต่เป็คุณชายผู้เจนจัดในการหาความสำราญ!
หลิวหย่งรู้สึกไม่สบอารมณ์ กลุ่มพวกเขาสั่งอาหารกันไม่ยั้งเถ้าแก่ได้ทักทายกระเซ้าเย้าแหย่สองสามประโยคเพื่อเพิ่มความครื้นเครง
“น้องชาย นี่คือเขยบ้านคุณสินะ? กตัญญูแถมใจกว้างอีกทั้วหน้าตาก็หล่อเหลา พี่ชายอิจฉาเสียจริง!”
หลิวหย่งแทบกระอักเื ลูกเขยบ้านใครกันนะ ถ้าอิจฉาคุณพาเขากลับบ้านไปดีไหมเล่า?
มีใครดูไม่ออกบ้างว่าโจวเฉิงชอบเซี่ยเสี่ยวหลาน หลี่เฟิ่งเหมยรู้แล้วหลิวเฟินก็ดูออก หญิงสองนางนี้ประทับใจในตัวโจวเฉิงมากทีเดียว โจวเฉิงไม่คิดปิดบังเจตนารมณ์ของตนเองประจบประแจงทุกคนอย่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาถามด้วยความตรงไปตรงมามากกว่าเดิม
“เสี่ยวหลาน ฉันได้ยินคุณน้าบอกว่าวันนี้เธอจะไปหยางเฉิงคนเดียวหรือ? เธอเดินทางไปคนเดียวฉันค่อนข้างกังวล ให้ฉันไปเป็เพื่อนเธอได้หรือไม่?”
หืม?
อนุญาตให้คุณไปด้วยต่างหากถึงอันตรายยิ่งกว่า เข้าใจไหม!
หลิวหย่งรู้สึกว่าเจ็บแผลบริเวณหลังมากยิ่งขึ้น
คังเหว่ยชินชากับนิสัยพบยอดดวงใจลืมมิตรสหายโดยพลันของโจวเฉิงจากความตกตะลึงที่โดนทอดทิ้งในครั้งแรกจวบจนกระทั่งความสงบในครั้งนี้ ์รับรู้ดีว่าคังเหว่ยผ่านประสบการณ์อย่างไรมาบ้าง
หลี่เฟิ่งเหมยเมียงมองดูหลานสาว เด็กหนุ่มโจวเฉิงคนนี่รูปหล่อเซี่ยเสี่ยวหลานชมชอบเข้าแล้วหรือไม่?
หลิวเฟินกลับรู้สึกสับสน เธอประทับใจในตัวโจวเฉิงอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มคนนี้แสนดีต่อลูกสาวของเธอเหลือเกินคอยดูแลอยู่ไม่หยุดหย่อน ทั้งยังจะไปหยางเฉิงเป็เพื่อนเสี่ยวหลานหลิวเฟินไม่ได้กังวลเื่ความประพฤติของโจวเฉิง ทว่าเธอเป็ห่วงเื่สอบเข้ามหาวิทยาลัยของเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ไม่น้อย
ทำธุรกิจก็วุ่นวานมากพออยู่แล้ว จะมีความรักได้หรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่คาดคิดเลยว่าโจวเฉิงจะอาจหาญได้ถึงเพียงนี้
เขากล่าวออกมาต่อหน้าทุกคน ถึงแม้เธอปฏิเสธ โจวเฉิงก็มีวิธีไปเองได้แต่เซี่ยเสี่ยวหลานพบว่าตัวเธอไม่้าปฏิเสธนัก เธอบอกกับตนเองว่าอย่างน้อยโจวเฉิงก็ช่วยเธอขนกระเป๋าสินค้าได้
“ได้สิ ถ้าหากไม่เป็รบกวนเวลาของเธอเกินไปนะ”
เชิงอรรถ
[1] 灌汤包 ก้วนทังเปา คือ ติ่มซำชนิดหนึ่ง คล้ายเสี่ยวหลงเปาแต่ลูกใหญ่กว่าเน้นน้ำซุปข้างในเป็หลัก