คลื่นสัตว์อสูรหายไปอย่างรวดเร็ว ที่เชิงเขาเฮยเฟิงเหลือสัตว์อสูรระดับต่ำแค่บางส่วน และบริเวณนี้ก็ยังเต็มไปด้วยซากศพ
แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแค่ซากศพของสัตว์อสูรปีศาจเท่านั้น แต่ยังมีซากศพของมนุษย์อีกด้วย เืที่ไหลเจิ่งนองอยู่ในสมรภูมิรบแห่งนี้ แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของคลื่นสัตว์อสูร
นี่เป็เพียงคลื่นสัตว์อสูรขนาดเล็ก ถ้าหากเป็คลื่นสัตว์อสูรขนาดใหญ่ล่ะก็ ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะจบลงเช่นไร?
ที่ชายขอบของหุบเขาเฮยเฟิงยังคงมีศิษย์จากนิกายหยุนไห่อีกเป็จำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็ศิษย์สายนอก ที่เข้าต่อสู้กับสัตว์อสูรปีศาจทั่วไป พวกเขาพยายามที่จะสังหารพวกมันเพื่อขัดเกลาฝีมือของตัวเอง และในขณะเดียวกันก็เก็บรวบรวมแกนอสูร
“ฮ่าๆๆ นั่นมันสัตว์อสูรระดับจิติญญานี่ พั่วจวิน พยายามขวางมันไว้ ข้าจะไปฆ่ามัน”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะสดใสร่าเริงก็ดังขึ้น
บางส่วนในสมรภูมิแห่งนี้ มีศิษย์สายนอกของนิกายหยุนไห่อยู่ 2 คน กำลังเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับจิติญญาตัวหนึ่ง ซึ่งก็คือแรดคลั่ง
ตรงกลางระหว่างพวกเขากับแรดคลั่งเต็มไปด้วยซากศพของสัตว์อสูร กลิ่นโลหิตลอยฟุ้งไปในอากาศ แต่ดูเหมือนทั้ง 2 คนจะไม่สนใจมัน
“แรดคลั่งตัวนี้มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งมาก บางทีเ้าอาจจะสังหารมันไม่ได้” ชายหนุ่มร่างผอมบางเ้าของนาม ‘พั่วจวิน’ กล่าวออกมาด้วยท่าทางสุขุมและสงบนิ่ง เขาจ้องมองไปยังแรดคลั่งด้วยสายตาเ็า
“วางใจได้เลยน่า พั่วจวิน หรือเ้าไม่เชื่อใจข้า?”
ชายร่างผอมยกยิ้มที่มุมปากเล็กๆ ด้วยท่าทางมั่นใจ
“ข้าเชื่อมั่นแค่ตัวเองเท่านั้น” พั่วจวินกล่าวอย่างเฉยเมย ทันใดนั้นเถาวัลย์ 2 เส้นก็พุ่งออกมาจากร่างของเขาอย่างรวดเร็ว เพื่อรัดร่างของแรดคลั่งให้อยู่กับที่
“โฮก…” แรดคลั่งเกรี้ยวกราดมากขึ้น มันสะบัดร่างอย่างลนลานเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ ทำให้ร่างของพั่วจวินส่ายไปมา แต่ดวงตาของเขาก็ยังคงฉายแววเยือกเย็นเหมือนเดิม เถาวัลย์อีกเส้นได้งอกออกมาเพื่อจับร่างของมันให้ผูกติดกับหินั์ ยิ่งแรดคลั่งดิ้นมากเท่าไรเถาวัลย์ก็ยิ่งรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น
“ตอนนี้แหละ เอาเลย!” พั่วจวินะโ โดยไม่ต้องรอนาน ร่างกำยำของชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ก็เคลื่อนไหวทันที
แรดคลั่งกระทืบเท้าลงบนพื้นอย่างรุนแรง จนฝุ่นควันลอยโขมงขึ้นมาราวกับเกิดแผ่นดินไหว
สหายของพั่วจวินโจมตีไปที่แรดคลั่งด้วยสองฝ่ามือ ความแข็งแกร่งที่รุนแรงนี้ทำให้แรดคลั่งต้องแผดเสียงร้องโหยหวนออกมา ก่อนจะขาดใจตายทันที
“เป็อย่างไรล่ะพั่วจวิน? ร่วมมือกับข้าก็ไม่เลวใช่ไหม?” ชายหนุ่มร่างกำยำถามขึ้น พั่วจวินเดินนำไปข้างหน้า และเริ่มลงมือชำแหละซากศพเพื่อนำแกนอสูรออก
“ถึงขอบเขตแห่งจิติญญาจะอยู่คนละขั้น แต่วิธีการใช้จิติญญาแห่งนักรบก็คล้ายๆ กัน” เมื่อหลินเฟิงเห็นพั่วจวินใช้เถาวัลย์ ก็รู้ได้เลยว่าจิติญญาของเขากับม่อเสียเป็ประเภทเดียวกัน เพียงแค่ความแข็งแกร่งของม่อเสียกับความแข็งแกร่งของพั่วจวินไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
“แต่ก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า หมอนี่จะเลื่อนระดับได้เร็วขนาดนี้”
หลินเฟิงเผยรอยยิ้มมีความสุขขึ้นมา ก่อนจะเดินไปหาชายหนุ่มทั้งสองคนที่กำลังเก็บแกนอสูรอยู่
“ใครน่ะ?”
ทันใดนั้นพั่วจวินก็รีบหมุนตัวกลับมา พร้อมะเิลมปราณที่แข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันก็เรียกเถาวัลย์ทั้งสองเส้นให้พุ่งเข้าไปหาหลินเฟิง
“หืม???”
หลินเฟิงคิ้วกระตุกเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าพั่วจวินจะระแวงขนาดนี้ และจะเริ่มโจมตีทุกคนที่เข้ามาใกล้
หลินเฟิงก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง พลางปลดปล่อยคลื่นดาบอันแข็งแกร่งออกมา เพื่อบดขยี้ลมปราณของพั่วจวินและกดทับร่างของเขา จนทำให้พั่วจวินหายใจไม่ทั่วท้อง
“พั่วจวินหยุดมือ!!! เขาเป็สหายของข้า!”
ชายหนุ่มอีกคนที่เพิ่งหันหน้ามาก็รีบะโบอก
พั่วจวินเรียกเถาวัลย์กลับมา ขณะที่ลมปราณอันแข็งแกร่งที่กดทับร่างของเขาก็ค่อยๆ สลายหายไป แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงตื่นกลัวอยู่ดี และก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว พลางจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิง
“ชายคนนี้... แข็งแกร่ง!!!” พั่วจวินคิด
“ฮ่าๆ หลินเฟิงในที่สุดเ้าก็กลับมา!!! ข้าออกตามหาเ้าตั้ง 10 ครั้ง แต่ก็ไม่พบ!!! จนข้ายังนึกว่า... เ้าอาจจะไม่กลับมาที่นิกายอีกแล้ว”
ที่แท้ชายหนุ่มร่างกำยำคนนี้ก็คือสหายของหลินเฟิง หานหมาน
“ข้าเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นาน” หลินเฟิงตอบ “หานหมาน ตอนนี้เ้าสามารถสังหารสัตว์อสูรระดับจิติญญาได้แล้ว แสดงว่าความแข็งแกร่งของเ้าคงพัฒนาขึ้นมากสินะ!”
ตอนที่หลินเฟิงกลับไปยังเมืองหยางโจว ในตอนนั้นหานหมานยังอยู่แค่ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 แต่ในเวลาสั้นๆ หานหมานก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตแห่งจิติญญาได้ เื่นี้ได้สร้างความประหลาดใจให้กับหลินเฟิงเป็อย่างมาก แน่นอนว่าเขารู้สึกมีความสุขกับความก้าวหน้าของหานหมาน
“ฮ่าๆ ข้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้น ที่ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตแห่งจิติญญาได้” หานหมานกล่าวขณะส่ายหัว “แล้วเ้าล่ะหลินเฟิง? ข้าว่าเ้าดูแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนมาก ตอนนี้เ้าอยู่ขั้นที่เท่าไรแล้วล่ะ?”
“ก็ธรรมดาๆ” หลินเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเ้าเล่ห์ พลางหันไปมองพั่วจวินที่ยืนอยู่ข้างๆ หานหมาน คนคนนี้มีท่าทางที่สุขุมเ็าและปฏิกิริยาตอบสนองที่ว่องไว ทั้งยังให้ความรู้สึกเป็ตัวอันตรายที่ไม่ควรจะเข้าใกล้ นอกจากนี้ยังเป็คนที่คาดเดาได้ยากอีกด้วย หากเขาคิดวางอุบายล่ะก็ หานหมานจะต้องลำบากแน่ๆ
“โอ้ จริงสิ!!! ข้าลืมแนะนำพวกเ้าทั้งสองคนให้รู้จักกันนี่ หลินเฟิงนี่คือพั่วจวิน ความแข็งแกร่งของเขาไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เป็คนที่สุดยอดมากๆ เพียงแต่ว่าเขาเป็คนพูดน้อย นอกจากนี้เขายังแข็งแกร่งกว่าพวกศิษย์สายนอกที่ถูกจัดอันดับหลายๆ คนอีกด้วย”
หานหมานยิ้มขณะที่แนะนำพวกเขาให้รู้จักกัน
“พั่วจวิน นี่คือหลินเฟิง เขาเปรียบเสมือนพี่น้องของข้า ข้าหวังว่าเ้าจะเป็สหายที่ดีกับเขา”
“ข้าจะเลือกแกนอสูรที่พวกเราหามา เป็คนแรกนะ”
พั่วจวินกล่าวอย่างไม่แยแส จากนั้นเขาก็หันหลังเดินกลับไปชำแหละศพแรดคลั่งต่อ เพื่อนำแกนอสูรไปแลกของที่นิกาย
“หลินเฟิง เ้าไม่ต้องคิดมากไปนะ พั่วจวินก็เป็คนเ็าแบบนี้แหละ แต่เขาเป็คนดี”
หลินเฟิงยิ้มน้อยๆ อย่างไม่สนใจ เพราะถึงอย่างไรเขากับพั่วจวินก็ไม่คุ้นเคยกัน ดังนั้นการที่พั่วจวินจะมีท่าทางหรือทัศนคติเช่นไร มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา
“หานหมาน ทุกคนหายไปไหนกันหมด?! แล้วทำไมถึงเหลือแค่พวกเ้าที่ยังอยู่ที่นี่?”
“พวกเขาพากันไปดูการทดสอบของศิษย์ในนิกายน่ะสิ แต่พวกเรายังอยากเก็บแกนอสูรต่อก็เลยอยู่ที่นี่ ยิ่งคนน้อยก็ยิ่งรวบรวมแกนอสูรได้เยอะ อีกอย่างนอกจากข้ากับพั่วจวินแล้ว คนที่เหลือก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตนักรบลมปราณ ซึ่งพวกเขาก็แยกย้ายกันไปรวบรวมแกนอสูรที่อื่น”
“เ้าไม่คิดที่จะเข้าร่วมการทดสอบเป็ศิษย์สายในเหรอ?”
หลินเฟิงรู้สึกมึนงง ก่อนจะถามอย่างสงสัย
“ข้าเข้าร่วมอยู่แล้ว แต่คิดว่ายังพอมีเวลาเหลือเฟือสำหรับการเก็บเกี่ยวความมั่งคั่ง ฮ่าๆๆ” หานหมานหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้หลินเฟิงพูดไม่ออก คนคนนี้ช่างคิดในแง่ดีจริงๆ แน่นอนว่าคนแบบหานหมานมักจะมีความคิดที่เรียบง่ายและไม่ทรยศใคร นี่เป็ข้อดีของเขา
“พั่วจวิน ข้าคิดว่าแถวนี้คงไม่มีอะไรแล้วล่ะ พวกเราไปที่การทดสอบของนิกายกันเถอะ ไม่อย่างนั้นพวกเราอาจจะพลาดการทดสอบไปก็ได้”
หานหมานหันไปมองพั่วจวิน
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
พั่วจวินพยักหน้า เขาหยิบแกนอสูรขึ้นมาเก็บใส่ถุง
“หลินเฟิง เ้าก็มากับพวกเราเถอะ” หานหมานดึงแขนของหลินเฟิงไว้ แล้วก้มหน้ากระซิบถาม “หลินเฟิง ตอนนี้เ้าแข็งแกร่งแค่ไหนแล้ว?”
หลินเฟิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่ายหัว เขาไม่สามารถระบุความแข็งแกร่งของตัวเองอย่างชัดเจน บางทีเขาอาจจะต้องประลองกับคนที่บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 ดู เพื่อที่จะได้รู้ขอบเขตความแข็งแกร่งของตัวเอง...
“เ้าชอบทำตัวลึกลับตลอดเลย เอาแบบนี้ ด้วยพลังของเ้าทั้งหมด เ้าสามารถรับมือกับแรดคลั่งด้วยตัวคนเดียวได้ไหม?” หานหมานถามอย่างกระตือรือร้น
“รับมือกับแรดคลั่งด้วยตัวคนเดียว?” พั่วจวินที่เดินอยู่ข้างๆ หานหมานลอบส่ายหน้าเบาๆ เมื่อได้ยินประโยคนี้ ความแข็งแกร่งของหลินเฟิงอยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาเองนะ เขาไม่สามารถทำมันได้หรอก ถึงแม้ว่าคลื่นดาบเมื่อครู่จะทรงพลังมาก จนทำให้เขารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องก็ตาม แต่ถ้าประลองกันจริงๆ ล่ะก็ เขาเชื่อว่าตัวเองคงไม่แพ้อีกฝ่ายแน่ๆ แน่นอนว่าเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ เขายังไม่ได้ใช้ไพ่ตายออกมา
ความจริงแล้วถึงแม้ว่าแรดคลั่งจะมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่ง แต่ถ้าเจอคลื่นดาบของหลินเฟิงที่ปลดปล่อยออกมาก็มีสิทธิ์ตายคาที่ โดยไม่ทันได้ร้องออกมาแม้เพียงครึ่งเสียง
“ได้สิ ง่ายจะตายไป” หลินเฟิงกล่าวขณะใช้นิ้วถูจมูกของตัวเอง จัดการกับแรดคลั่ง? แค่กระบวนท่าเดียวมันก็ตายแล้ว ไม่จำเป็ต้องงัดพลังออกมาทั้งหมดหรอก
“ฮ่าๆ เ้าก็บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาแล้วนี่ คราวนี้เราสามคนจะต้องผ่านการทดสอบและกลายเป็ศิษย์สายในแน่ๆ หลังจากนี้พวกเราก็มาต่อสู้ฟันฝ่าไปด้วยกันเถอะ” หานหมานหัวเราะอย่างพอใจ
“ต่อสู้ฟันฝ่าไปด้วยกัน? ใครเป็คนตัดสิน?” พั่วจวินถามอย่างไม่เกรงใจ สำหรับเขาแล้ว ความคิดของหานหมานนั้นไร้เดียงสาเกินไป
“ก็ต้องเป็หลินเฟิงน่ะสิ พร์ของเขาแข็งแกร่งกว่าข้ามาก ถึงตอนนี้อาจจะอ่อนแอกว่าข้านิดหน่อย แต่เขาจะต้องก้าวข้ามข้าได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้หลินเฟิงยังเป็คนที่มีคุณธรรม เขาเคยช่วยชีวิตข้าไว้ ไม่ว่าเขาพูดอะไร ข้าก็เชื่ออย่างนั้น” หานหมานกล่าวด้วยความเชื่อมั่น
“แล้วข้าล่ะ?” พั่วจวินถาม
“ถึงแม้เ้ากับข้าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา แต่ข้าก็จะฟังหลินเฟิงมากกว่าเ้าอยู่ดี และเ้าก็ควรทำเช่นเดียวกัน” หานหมานกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและไร้ซึ่งเหตุผล หลินเฟิงถึงกับพูดไม่ออก ชายคนนี้ช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว แต่ความคิดของพั่วจวินจะเรียบง่ายแบบเขาหรือ?
