ใน่ปลายปีของเมืองหยางโจวยังคงคึกคักเป็พิเศษ บนถนนใหญ่มีผู้คนเดินพลุกพล่านเป็พิเศษ
ตอนนี้ทหารยามที่อยู่บนหอประตูเมืองได้หายไป และถูกแทนที่ด้วยทหารในชุดเกราะสีแดงที่น่าเกรงขาม
ไม่ใช่แค่นั้น ในเมืองหยางโจวยังมีทหารที่นั่งอยู่บนม้าศึกสีแดงคอยตรวจตรารอบเมือง ซึ่งผู้คนเองต่างก็มองไปที่พวกเขาอย่างเงียบเชียบ
“ทหารม้าโลหิต ช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก ว่ากันว่ากองทัพนี้เป็กองทัพที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ วันนี้พวกเขากลับอยู่ในเมืองหยางโจวของพวกเรา”
ทหารม้าโลหิตกำลังวิ่งเหยาะๆ อยู่บนถนน ฝูงชนบางกลุ่มกำลังมองม้าของพวกเขา และบางคนก็กำลังพูดถึงพวกเขาอยู่
“นี่ถือเป็เกียรติสำหรับเมืองหยางโจว ในตอนนี้ทหารม้าโลหิตอยู่ที่นี่ ทำให้เมืองของพวกเรามีชื่อเสียง และไม่มีใครกล้ายั่วยุพวกเราอีกต่อไป”
“ใช่แล้ว เมื่อปีที่แล้วข้าได้มีโอกาสเห็นผู้บัญชาการทหารม้าโลหิตด้วยตาข้าเอง ตอนนั้นเขามีอายุแค่ 16 ปีเท่านั้น แต่เมื่อเขาได้แสดงความสามารถของตัวเองบนเวทีในงานประลองของเมืองหยางโจวแล้ว เขานั้นช่างร้ายกาจจนน่าหลันเฟิงและหลินเชียนก็เทียบไม่ติด ไม่มีใครต้านทานการโจมตีของเขาได้แม้แต่ครั้งเดียว ตอนนั้นฉันถึงตระหนักได้ว่าเด็กคนนี้ต้องมีอนาคตอันเจิดจรัสรอคอยเขาอยู่เป็แน่ แต่ไม่คิดเลยว่าใน่เวลาสั้นๆ เช่นนี้เขากลับพัฒนาตัวเองจนมาถึงขั้นนี้ได้ นี่มันน่าทึ่งเหลือเกิน”
ชายผู้หนึ่งที่ไว้หนวดยาวกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ จนทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกอึดอัด
เมืองหยางโจวในตอนนี้ ผู้คนต่างพูดถึงหลินเฟิงกันอย่างไม่ขาดปาก
เมื่อหนึ่งปีก่อน มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้าร่วมงานประลองของเมืองหยางโจว ทว่ากลับถูกตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองโจมตีเขา และบังคับให้เขาต้องหลบหนี
หนึ่งปีต่อมาชายหนุ่มคนนั้นเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความมุ่งมั่นและความแข็งแกร่งที่มากขึ้น เขาดูน่าเกรงขามและสง่างามขณะที่กำลังบัญชาการทหารหลายพันคนบนหลังม้าศึก ในยามนี้เขาได้กลับมาที่เมืองหยางโจวในฐานะวีรบุรุษรุ่นเยาว์ผู้น่ายกย่อง
ตอนนี้ทั้งสี่ตระกูลใหญ่ของเมืองหยางโจวล้วนจมลงสู่จุดต่ำสุด เนื่องจากหลินเฟิงเพิ่งได้รับศักดินาเป็เมืองหยางโจว ทำให้เขาต้องปกครองเมืองแทนเ้าเมืองคนเก่า
แต่คนทั่วไปล้วนตื่นเต้นและดีใจเมื่อพวกเขาได้ยินว่า หลินเฟิง้าสร้างป้อมปราการโลหิต และใช้มาตรการเพื่อให้เมืองหยางโจวมีอิทธิพลมากขึ้น แน่นอนว่ามันย่อมทำให้ชาวเมืองหยางโจวรู้สึกมีความสุข เพราะพวกเขาจะได้รับผลประโยชน์มากขึ้น รวมไปถึงผลประโยชน์ในการบ่มเพาะของพวกเขา
ในตอนนี้โครงสร้างพื้นฐานของเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง กองทหารม้าโลหิตกำลังยุ่งอยู่กับการขยายขอบเขตตำหนักเ้าเมือง
ภายในหนึ่งวัน กำแพงที่ล้อมรอบตำหนักเ้าเมืองได้ถูกทำลายลง
ส่วนหลินเฟิงในตอนนี้กำลังยืนอยู่ทางเดินใต้ดิน ขณะกำลังมองไปที่อุโมงค์ด้วยแววตาเคร่งขรึม
นี่คือทางเดินอันมืดสนิทที่ทอดยาวไปสู่อุโมงค์ เส้นทางสายนี้เพิ่งขุดขึ้นมาโดยเหล่าทหารม้าโลหิตผู้แข็งแกร่ง ใต้ตำหนักเ้าเมืองในตอนนี้กลายเป็ที่ว่างเปล่าไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ั้แ่ที่หลินเฟิงได้เป็ผู้บัญชาการกองทัพที่ทรงพลังเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาควรทำอะไรบางอย่าง
ร่างของเขาพลันวูบไหวเล็กน้อยก่อนจะหายไปอย่างเงียบงัน จากนั้นไม่นานเขาก็มาปรากฏตัวขึ้นในห้องหนึ่ง ที่มีโต๊ะทรายซึ่งแสดงแผนผังจำลองขนาดใหญ่ตั้งอยู่เบื้องหน้า
ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาของโต๊ะทราย ได้มีร่างเงาสามร่างยืนอยู่ด้วยดวงตาที่นิ่งเฉย
ทั้งสามคนนี้ต่างเป็อดีตผู้บัญชาการ คนที่อยู่ตรงกลางคือเริ่นชิงขวัง ทางซ้ายคือเฟิงยวี่ห่านและทางขวาคือเหล่ยฉิงเทียน พวกเขาทุกคนเคยมีกองทัพเป็ของตัวเอง แต่ตอนนี้พวกเขากำลังช่วยสนับสนุนหลินเฟิงและอยู่เคียงข้างเขา
“เสี่ยวเฟิง ที่แห่งนี้พวกเราสามารถขุดแม่น้ำได้ จากนั้นพวกเราก็สามารถสร้างหอคอยทั้งแปดแห่งในที่ตั้งเชิงกลยุทธ์เหล่านี้ได้ ส่วนตำหนักเ้าเมืองจะอยู่ในหุบเขาดังนั้นแม้จะมีผู้คนที่อยู่ขอบเขตลี้ลับบุกเข้ามา พวกเราก็จะสามารถเอาชนะพวกเขาได้”
น้ำเสียงของเฟิงยวี่ห่านเต็มไปด้วยความมั่นใจ ทหารม้าโลหิตเป็ทหารระดับหัวกะทิ เริ่นชิงขวังเป็ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนและการป้องกัน ผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายเฟิงยวี่ห่านเป็ผู้เชี่ยวชาญการด้านการจัดกระบวนทัพและกลยุทธ์การต่อสู้ และผู้บัญชาการฝ่ายขวาเหล่ยฉิงเทียนเป็ผู้เชี่ยวชาญในวางแผนกลยุทธ์ทางภูมิศาสตร์และปรับเปลี่ยนภูมิประเทศ
กองทัพขนาดใหญ่เช่นนี้ แน่นอนว่าต้องมีการแบ่งหน้าที่ ผู้บัญชาการทั้งสามล้วนมีภารกิจของตัวเอง
หลินเฟิงกำลังพิจารณาแผนผังตรงหน้าอย่างรอบคอบ เขาพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “อาเฟิง ท่านสามารถจัดระเบียบเมืองได้ตามที่ท่าน้า ข้าเพียงแค่้าให้ท่านช่วยสร้างเมืองลับใต้ดิน”
“การสร้างเมืองใต้ดินไม่ได้เป็เื่ยากแต่อย่างใด เพราะเหล่าทหารต่างมีความสุขมากที่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน อย่างไรก็ตามเมืองหลวงจะไม่ช่วยเหลือพวกเราอีกแล้ว พวกเราจำเป็ต้องพึ่งพาตัวเอง ถ้าพวกเราใช้เวลาและเงินกับเื่นี้มากเกินไป มันอาจทำให้ควบคุมได้ยาก นอกจากนี้เหล่าทหารอาจสูญเสียความกระตือรือร้นหากต้องใช้เวลานานเกินไป”
หลินเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย นั่นนับว่าเป็อีกหนึ่งปัญหา ตอนนี้กองกำลังทหารยังมีสภาพจิตใจที่สมบูรณ์ แม้ว่าพวกเขาตกลงที่จะช่วยและออกเงินของตัวเองจำนวนหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาในระยะยาว
กองทัพที่มีความแข็งแกร่งก็จำเป็ต้องใช้สิ่งต่างๆ มากมาย พวกเขา้าเม็ดยา หินหยวน อาวุธ ชุดเกราะและม้าศึก นอกจากนี้การก่อสร้างตามแบบแผนในเมืองหยางโจวแห่งนี้ มันต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล
“ข้าเข้าใจ ข้าจะหาทางแก้ปัญหาทั้งหมดนี้เอง” หลินเฟิงกล่าว จากนั้นเขาก็มองไปทางเริ่นชิงขวังและเหล่ยฉิงเทียนก่อนพูดต่อ “อาเริ่น ข้าให้ท่านเป็คนจัดการเื่อาวุธและการก่อสร้าง ส่วนอาเหล่ยข้าอยากให้ท่านปกป้องเมืองหยางโจว ข้าต้องรบกวนพวกท่านแล้ว”
“ตกลง”
“วางใจเถิด ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
ผู้บัญชาการทั้งสองตอบกลับเป็มั่นเหมาะ วันนี้เมืองหยางโจวเป็ศักดินาของหลินเฟิงแล้ว เขาย่อมไม่อาจปล่อยให้กองทัพของเขาต้องทุกข์ยากได้ เขาต้องทำให้กองทัพของเขาแข็งแกร่งและขยายอำนาจของเขาให้มากยิ่งขึ้น ด้วยความทรงจำที่บรรพบุรุษตระกูลจื่อผู้ยิ่งใหญ่ได้มอบให้กับเขา ซึ่งความทรงจำเ่าั้ล้วนเป็สิ่งที่มีคุณค่าอย่างมาก
ไม่ช้าก็เร็วเมืองหยางโจวจะยิ่งใหญ่กว่าเสวี่ยเยว่ และได้รับความสนใจจากทุกๆ คน
ภายในไม่กี่เดือนนี้ หลินเฟิงไม่กำหนดว่าจะกลับเมืองหลวงเมื่อไร แต่มุ่งเน้นความสนใจมาที่เมืองหยางโจวเท่านั้น
“ท่านอาทั้งสาม ต้องรบกวนพวกท่านแล้ว”
หลินเฟิงกล่าวขอบคุณ แม้ทั้งสามคนจะเคยเป็ถึงผู้บัญชาการ แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นแววตาที่แฝงความกตัญญูของหลินเฟิงแล้ว พวกเขาก็ไม่ปฏิเสธที่จะติดตามและเต็มใจช่วยเหลือหลินเฟิงอย่างไม่มีข้อแม้
“เสี่ยวเฟิง พวกเราทั้งสามคนรวมไปถึงจิวชื่อเซวี่ยต่างร่วมทุกข์ร่วมสุขมาเนิ่นนาน แต่ตอนนี้จิวชื่อเซวี่ยได้ตายไปแล้ว อย่างไรก็ตามพวกข้าทั้งสามมีบางอย่างที่ต้องทำ และท่านแม่ทัพก็เชื่อมั่นในตัวเ้า พวกเราเองก็เชื่อมั่นเช่นกัน”
เริ่นชิงขวังมองหลินเฟิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง หลินเฟิง เขาเป็ชายหนุ่มผู้กล้าหาญ ซึ่งกล้าดูแคลนราชวงศ์เพื่อหลิ่วชั่งหลัน สังหารต้วนหานต่อหน้าต้วนเทียนหลาง หากไม่ได้หลินเฟิงล่ะก็ พวกเขาก็คงต้องยอมรับในโชคชะตา พวกเขาต่างรู้ดีว่าตอนนี้หัวใจของหลิ่วชั่งหลันได้ตายด้านไปแล้ว ไม่หลงเหลือความทะเยอทะยานเหมือนแต่ก่อน ถ้าหากพวกเขายังอยู่เคียงข้างหลิ่วชั่งหลัน ก็คงไม่มีอะไรให้พวกเขาทำมากนัก
ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อฟังหลิ่วชั่งหลันและตัดสินใจติดตามหลินเฟิงต่อไป เพื่อช่วยเหลือเขาและทำให้เป้าหมายของเขาลุล่วงไปด้วยดี
หลินเฟิงก็เข้าใจพวกเขาเช่นกัน ซึ่งเป็เหตุผลว่าทำไมเขาถึงยิ่งต้องทะเยอทะยานมาก
…
ภายในห้องที่สะอาดและเป็ระเบียบ เครื่องเรือนที่ตกแต่งห้องทุกชิ้นล้วนเป็ของใหม่ หลินเฟิงผลักประตูเข้าไปภายในห้อง ที่ปลายสายตาปรากฏร่างอันงดงามที่นอนอยู่บนเตียงและกำลังมองเพดาน โดยไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนี้คิดอะไรอยู่
เมื่อเห็นหลินเฟิงแล้ว เมิ่งฉิงก็หันกลับไปด้วยสายตาเ็าตามปกติ
หลินเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น ทำไมเขาถึงไม่สามารถละลายน้ำแข็งภายในหัวใจของนางได้สักที?
ถึงอย่างไรหลินเฟิงก็รู้ดีว่า ทุกวันนี้เขาสามารถเข้าออกห้องเมิ่งฉิงได้อย่างอิสระ นี่ถือเป็เื่ดีสำหรับเขา ถ้าเป็คนอื่นล่ะก็ เกรงว่าคนผู้นั้นอาจถูกเมิ่งฉิงแช่แข็งไปแล้ว
ห้องของนางมีเพียงหลินเฟิงเท่านั้นที่เข้าไปได้
“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”
หลินเฟิงเดินไปหาเมิ่งฉิงพลางกล่าวอย่างแ่เบา
เมิ่งฉิงส่ายหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “ไม่ได้คิดอะไร”
หลินเฟิงเดินไปข้างเตียงก่อนจะค่อยๆ นั่งลง ขณะที่เมิ่งฉิงขยับขาออกเพื่อเว้นที่ให้หลินเฟิงนั่ง
“เ้ากำลังคิดถึงเื่ของข้า?”
หลินเฟิงเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
แต่เมิ่งฉิงกลับแค่มองเขาอย่างเ็า ซึ่งทำให้หลินเฟิงถึงกับตัวแข็งทื่อ หญิงสาวคนนี้ช่างเป็คนที่เข้าใจยากเหลือเกิน…
เมิ่งฉิงยังคงนอนอยู่บนเตียงและเหม่อมองเพดานโดยไม่พูดอะไร นางไม่แม้แต่จะเหลียวมองหลินเฟิงเสียด้วยซ้ำ
หลินเฟิงค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้เมิ่งฉิง แล้วนางก็ขยับหนีเล็กน้อย
นางจ้องเขม็งมาที่หลินเฟิงด้วยสายตาราวกับกำลังมองศัตรู
หลินเฟิงเกาหัวและขยับเข้าไปใกล้เมิ่งฉิงอีกครั้ง จนในที่สุดนางก็มีปฏิกิริยาตอบกลับ เป็การกะพริบตาอย่างสงสัยปนประหม่าเล็กน้อย
“ข้าขอกอดเ้าได้ไหม?” หลินเฟิงกล่าวเสียงเบาขณะมองเมิ่งฉิง
“หากเ้าไม่ตอบ งั้นข้าจะถือว่าเ้าตกลงแล้วนะ” เมื่อเมิ่งฉิงขยับปากเล็กน้อย ตอนนี้เองที่หลินเฟิงได้พูดแทรกขึ้นมาก่อน จากนั้นเขาก็กอดเมิ่งฉิงทันที จนกระทั่งร่างของนางล้มลงไปบนเตียงขณะอยู่ในอ้อมกอดของเขา