เมื่อทุกคนเห็นคนสกุลลู่มาถึงแล้วก็พากันหลีกทางให้ เดิมทีบ้านที่สร้างขึ้นหน้าประตูทางเข้านั้นกว้างใหญ่ เพียงพอสำหรับรับแขกและให้พวกพรานหนุ่มได้นอนพักกัน แต่ยามนี้เมื่อคนสามสิบกว่าคนมารวมตัวกัน ลานบ้านที่ว่าใหญ่จะอย่างไรก็รองรับได้ไม่หมด
ท่านลุงกัวเป็คนนำเสี่ยวหมี่ไปหาเด็กๆ ที่ถูกมัดไว้และถูฟกล้อมเอาไว้กลางลาน
นางขมวดคิ้วถามว่า “นี่มันเื่อะไรกัน?”
พรานหนุ่มสองคนที่รับหน้าที่เฝ้ายามรีบออกมายอมรับผิดด้วยใบหน้าแดงก่ำ “เสี่ยวหมี่ เป็พวกเราที่หลับเพลิน ไม่ได้ยินเสียงโจรพวกนี้ปีนข้ามประตูเข้ามา หากไม่ใช่เพราะเ้าเด็กนั่นคิดจะเปิดประตูเพื่อขโมยของละก็ เกรงว่า...”
พรานหนุ่มคนนั้นพูดพลางเตะโจรตัวน้อยที่นั่งอยู่ด้านนอกสุด เด็กคนนั้นเจ็บจนเงยหน้าร้องไห้จ้า ใบหน้าอ่อนเยาว์เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและใ
เสี่ยวหมี่ใจอ่อน ตอนที่คิดจะเอ่ยปากพูดอะไรนั่นเอง เฝิงเจี่ยนกลับดึงแขนเสื้อนางให้นั่งลงบนเก้าอี้ ถามเสียงขรึมว่า “พูดมาเถอะ ใครใช้ให้พวกเ้ามา? ตกลงมันเื่อะไรกันแน่”
ทีแรกพวกเด็กๆ พากันร้องห่มร้องไห้ แต่พอได้ยินเสียงนี้ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงหยุดร้องทันที ราวกับว่าเสียงร้องจ้าเมื่อกี้เป็เพียงจินตนาการของทุกคนก็ไม่ปาน
เฝิงเจี่ยนยิ้มเย็น โบกมือให้เกาเหรินลงมือ
เกาเหรินเบ้ปาก แต่ก็ยังขึ้นหน้าไปดึงโจรเด็กที่คิดจะขโมยเสื้อคนนั้น แล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ตัดมือหรือว่าตัดขา?”
โจรน้อยคนนั้นอายุแค่สิบขวบ เห็นว่าเกาเหรินปฏิบัติกับเขาราวกับเป็ไก่ป่าตัวหนึ่งก็แหกปากร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงหล่นลงมา เป็คราบน้ำตาชัดเจนบนใบหน้ามอมแมมแลดูน่าเวทนานัก
ชาวบ้านบางคนเห็นแล้วสงสาร คิดจะเอ่ยปากขอร้องแทน กลับถูกสายตาของเสี่ยวหมี่ที่ทอดมองมาหยุดไว้
ถึงแม้นางเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจเช่นกัน แต่นางเชื่อใจเฝิงเจี่ยน เขาไม่ใช่คนโหดร้าย ที่เขาทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผลแน่นอน
แล้วก็ไม่ผิดคาด โจรเด็กที่อายุมากที่สุดหนิวเซิ่งในที่สุดก็ทนต่อไปไม่ไหว เขาะโว่า “ข้าเอง เป็ความคิดของข้าเอง เป็ข้าที่คิดจะขโมยเฟิ่นเถียวพวกนั้นไปแลกเงิน เื่นี้ไม่เกี่ยวกับพวกเอ้อโก่ว หากคิดจะฆ่าก็ฆ่าข้าเถอะ”
“หึ”
เฝิงเจี่ยนแค่นเสียงเ็า แต่ก็ไม่ออกคำสั่งให้เกาเหรินลงมือ เกาเหรินยักไหล่ เขาหิ้วเด็กที่ชื่อเอ้อโก่วคนนั้นแล้วเดินออกไป
หนิวเซิ่งร้อนใจเป็อย่างมาก เขาคิดจะคลานตามไปก็ถูกขวางไว้ เด็กคนอื่นก็ราวกับคนบ้าตะเกียกตะกายจะไปแย่งเอ้อโก่วกลับมา แต่เพราะถูกมัดไว้แ่าเกินไป ทำได้เพียงดิ้นไปมาบนพื้นราวกับหนอน
เฝิงเจี่ยนไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย เสริมเข้าไปอีกประโยคว่า “พวกเ้าไม่พูดก็ไม่เป็ไร เข้าเมืองไปสืบดูก็รู้แล้ว แต่หากสืบได้ความว่าที่รังพวกเ้ายังมีคนอื่นอีก คนพวกนั้นจะได้รับโทษเท่ากันกับพวกเ้า”
“ไม่นะ”
ประโยคนี้ทำลายความอดทนของหนิวเซิ่งลงไปในที่สุด จะอย่างไรเขาก็เพิ่งอายุสิบกว่าขวบเท่านั้น
“ข้ายอมบอกแล้ว”
โจรเด็กคนอื่นๆ ใมาก พากันคลานกลับมาที่ข้างกายหนิวเซิ่ง เอ่ยโหวกเหวกว่า “พี่หนิวเซิ่ง เ้าห้าหลิวจะส่งพวกเด็กๆ ไปขายในที่สกปรกนะ”
หนิวเซิ่งตะเกียกตะกายไปตรงหน้าเสี่ยวหมี่และเฝิงเจี่ยน มองคนทั้งสองด้วยสายตาดุร้ายเหมือนสัตว์ป่าตัวน้อยๆ ไม่รู้ในใจเขาคิดอะไรอยู่ จู่ๆ ก็กัดฟันเอ่ยว่า “หากว่าข้าพูดแล้ว พวกเ้ารับปากได้หรือไม่ว่าจะไม่ฆ่าพวกเรา?”
เฝิงเจี่ยนยังมีท่าทีไม่อ่อนข้อแม้แต่น้อย เหมือนจะสั่งฆ่าเอ้อโก่วได้ทันทีทันใด ในที่สุดหนิวเซิ่งจึงะโออกมาว่า “ข้ายอมพูดแล้ว เ้าห้าหลิวที่อยู่ในเมืองจับน้องสาวสองคนของเราไป บอกพวกเราว่าขอแค่ไปขโมยเฟิ่นเถียวพวกนั้นแล้วจะปล่อยพวกนาง และหากเอาสูตรอาหารมาได้จะมอบเสบียงสำหรับประทังชีวิตหนึ่งปีให้เรา”
เฝิงเจี่ยนเลิกคิ้ว หนิวเซิ่งเสริมขึ้นมาอีกประโยคว่า “มีแค่นี้แหละ ข้าไม่กล้าโกหกหรอก”
เฝิงเจี่ยนถึงได้พยักหน้าเบาๆ แต่ก็ยังออกคำสั่งว่า “ไปเถอะ”
หนิวเซิ่งดวงตาแดงก่ำ คิดจะเอาชีวิตเข้าแลกเอาศีรษะโขกเฝิงเจี่ยนให้ตายกันไปข้าง น่าเสียดาย เขาาเ็ที่ขาอยู่จึงลุกขึ้นมาไม่ได้ ยังไม่ทันลุกขึ้นมาก็ล้มลงไปอีก
เขายังไม่ยอมจำนน ยังคงตะเกียกตะกาย กลับได้ยินเสียงเอ้อโก่วดังขึ้น “ฮือๆ พี่หนิวเซิ่ง”
หนิวเซิ่งหันไปมองก็เห็นว่าที่แท้เอ้อโก่วยังคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างมีชีวิต ส่วนเกาเหรินนั้นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
ไม่รอให้เขาทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เสี่ยวหมี่ก็เอ่ยปากว่า “แก้มัดให้เด็กๆ พวกนี้ จับอาบน้ำอาบท่าเสียหน่อย บ้านใครมีลูกเล็กก็ขอยืมเสื้อผ้าเก่าๆ มาก่อนเถอะเ้าค่ะ แล้วก็เตรียมอาหารรองท้องให้พวกเด็กๆ ด้วยนะเ้าคะ”
“ได้สิ ชุดเก่าของต้าจวงบ้านข้ายังดีอยู่ ข้าจะไปเอามาเดี๋ยวนี้”
“เช่นนั้นข้าจะไปจุดไฟเตรียมต้มโจ๊ก”
พวกผู้หญิงที่เดิมทียังเฝ้าคุ้มครองลูกๆ อยู่ที่บ้านเมื่อได้ยินข่าวว่าโจรที่มาเป็แค่เด็กกลุ่มหนึ่งจึงพากันลงมาดูด้วยเช่นกัน
เมื่อครู่เข้าใจผิดว่าเฝิงเจี่ยนจะตัดแขนเอ้อโก่ว ก็พากันหวาดกลัวเป็อย่างยิ่ง ยามนี้ได้ยินเสี่ยวหมี่ออกคำสั่ง แต่ละคนซึ่งเดิมจิตใจก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของมารดาก็แยกย้ายไปช่วยกันคนละไม้ละมือ
พวกหนิวเซิ่งยังคงใทำอะไรไม่ถูก จนพี่ใหญ่ลู่เข้าไปแก้มัดให้พวกเขา เอ้อโก่วก็ะโออกมา “ข้ารู้จักพี่ชายคนนี้ เขาเคยให้หมั่นโถวข้า ลูกใหญ่สีขาวเลยนะ”
พี่ใหญ่ลู่ช่วยแก้มัดให้เด็กๆ เขามีสีหน้ารู้สึกผิดและทำตัวไม่ถูก รู้สึกผิดที่เมื่อครู่ไม่ได้ช่วยพูดให้เด็กพวกนี้ แต่ก็ไม่อาจขัดน้องหญิงของตนได้ ทั้งยังไม่อยากให้ใครเข้าใจนางผิด เขาอธิบายเสียงเบาว่า “พวกเ้าไม่ต้องกลัว น้องหญิงของข้าใจดีมาก เมื่อครู่...ก็แค่ อืม วันหน้าพวกเ้าก็จะรู้เอง”
เอ้อโก่วไม่สนใจเื่พวกนี้แล้ว ซาลาเปาลูกนั้นเรียกได้ว่าช่วยชีวิตของเขาเอาไว้ไม่ให้อดตาย เขาย่อมเชื่อใจผู้มีพระคุณเต็มที่ เขาเข้าไปกอดแขนพี่ใหญ่ลู่ทันที “ผู้มีพระคุณ ขอร้องท่านอย่าฆ่าพวกเราเลย พวกเรายังไม่ได้ขโมยอะไรไปเลยขอรับ”
ไม่รอให้เขาพูดอะไรต่อ หนิวเซิ่งก็ตบหลังศีรษะเขาไปทีหนึ่ง
เมื่อครู่เขาใเกินไปเอง ตอนนี้เขาได้สติกลับมาแล้ว หากจะสังหารพวกเขาจริงๆ เหตุใดพวกป้าๆ จะต้องแยกย้ายกันไปหาเสื้อผ้า ต้มน้ำอาบ ต้มโจ๊กด้วยเล่า
บางทีครั้งนี้พวกเขาอาจจะโชคดีได้เจอคนใจดีเข้าก็เป็ได้
พวกผู้หญิงมือไม้คล่องแคล่ว เพียงไม่นานพวกเด็กๆ ก็ได้เช็ดหน้าเช็ดตาเช็ดมือจนสะอาดเอี่ยมและสวมอาภรณ์ชุดใหม่ซึ่งเป็ชุดเก่าของเด็กๆ ในหมู่บ้าน ถึงแม้จะใหญ่ไปบ้างแต่ก็ดูดีกว่าตอนแรกมากนัก
โจ๊กข้าวโพดสีเหลืองยั่วน้ำลายเจ็ดถ้วยถูกยกเข้ามา ตามด้วยหมั่นโถวและผัดผักดองวางลงบนโต๊ะ เด็กๆ ทั้งเจ็ดคนมองอย่างอึ้งๆ คิดไม่ถึงว่าอาหารเหล่านี้จะเป็ของพวกเขา
ท่านป้าหลิวลูบศีรษะเอ้อโก่วที่อายุน้อยที่สุด นางเอ่ยด้วยความปวดใจนักว่า “ก่อนหน้านี้พวกเ้าอาศัยอยู่ที่เพิงคนจรในเมืองกระมัง? น่าสงสารจริงๆ ข้ายังคิดว่าครึ่งปีมานี้พวกเ้าลงใต้ไปแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะยังอยู่ที่อันโจว กินข้าวก่อนเถอะ ให้ท้องอิ่มเสียก่อน มีอะไรก็ค่อยคุยกันหลังจากนี้”
หนิวเซิ่งแอบมองทุกคนไปทีหนึ่ง เห็นว่าพวกผู้หญิงผู้ชายที่รุมล้อมอยู่นี้ถึงจะดูดุร้ายน่ากลัวไปบ้าง แต่สายตาที่มองมากลับไม่มีจิตสังหารแต่อย่างใด จึงเอ่ยเสียงเบาบอกพวกน้องๆ ว่า “กิน...กินกันเถอะ”
เด็กกลุ่มนั้นวิ่งเข้าตะครุบจานชามตรงหน้าราวกับคนเสียสติ กินโจ๊กร้อนๆ จนเลอะปากไปหมด
“แหม เด็กพวกนี้นี่ เดี๋ยวก็ลวกปากหรอก”
พวกผู้หญิงเข้าไปแย่งชามเปล่าๆ มาตักโจ๊กเติมให้ แต่ครั้งนี้รอจนโจ๊กเย็นลงบ้างแล้วถึงยกไปวางให้ที่เดิม เมื่อเห็นพวกเขากินโจ๊กและหมั่นโถวอย่างมูมมามก็อดกลอกตาไม่ได้ ส่วนพวกเด็กๆ ในหมู่บ้านบางคนที่ลงมาชมเื่สนุกเห็นแบบนั้นก็พากันหัวเราะออกมา จึงถูกบิดาลากคอมาหลบอยู่ข้างหลังไม่ให้เสนอหน้าเข้าไป
เมื่อเห็นภาพตรงหน้าแล้วก็ให้สะทกสะท้อนใจ หากไม่ใช่เพราะสกุลลู่ให้ความช่วยเหลือดูแล สภาพเด็กตรงหน้าพวกนี้ก็คงเป็สภาพของเด็กๆ ในหมู่บ้านเขาหมีเช่นกัน ยิ่งหากว่าปีนั้นธรรมชาติลงโทษล่าสัตว์ไม่ได้ ลูกๆ ของพวกเขาก็อาจจะตกอยู่ในสภาพเร่ร่อนไม่ต่างจากเด็กตรงหน้าในตอนนี้เลยก็เป็ได้
พี่ใหญ่ลู่เข้าไปช่วยประคบยาให้ขาที่บวมเป่งของหนิวเซิ่ง พลางเอ่ยว่า “ค่อยๆ กิน บ้านเราไม่ขาดแคลนเสบียงอาหาร พวกเ้ากินรองท้องไปก่อน วันพรุ่งนี้ยังมีของให้กินมากกว่านี้อีก”
หนิวเซิ่งในปากคาบหมั่นโถว ในมือถือถ้วยโจ๊กหันหน้าไปมองพี่ใหญ่ลู่ที่ดวงตาเปี่ยมเมตตา ไม่มีความดูถูกเหยียดหยามแฝงอยู่แม้แต่น้อย ขอบตาพลันแดงก่ำ จากนั้นก็กัดฟันพลิกตัวลงจากเก้าอี้คุกเข่าโขกศีรษะกับพื้น “ท่านผู้มีเมตตา พวกเราไม่ควรมาขโมยของของพวกท่านเลย แต่พวกเราไร้หนทางแล้วจริงๆ ขอท่านโปรดรับพวกเราเอาไว้ด้วยเถอะ พวกเรายินดีเป็วัวเป็ม้า ยินดีทำงานหนัก ยินดี...ไม่ว่าอะไรก็ยินดี ขอแค่มีข้าวให้เรากิน มีหญ้าให้เราซุกหัวนอนก็พอ”
“ช่วยรับพวกเราเอาไว้ด้วยเถอะขอรับ”
พวกเด็กๆ ที่เหลือก็เอาอย่างพากันคุกเข่าขอร้องเช่นกัน อาจเพราะยามปกติแทบไม่เคยมีอะไรตกถึงท้องเลย กระทั่งตอนนี้ในมือเอ้อโก่วก็ยังไม่ยอมปล่อยหมั่นโถว โขกศีรษะไปแต่มือก็ยังกำหมั่นโถวแน่น ท่าทางเช่นนี้ยิ่งทำให้คนอดทอดถอนใจไม่ได้
ในใจพี่ใหญ่ลู่นั้นยอมหมดสิ้นแล้ว แต่จะอย่างไรบ้านเขาก็ต้องฟังการตัดสินใจจากน้องหญิง จึงมองไปที่นางด้วยสีหน้าคาดหวัง
ยามนี้สกุลลู่กำลังเจริญก้าวหน้า แน่นอนว่าเสี่ยวหมี่ย่อมไม่ใจแคบกับเด็กเหล่านี้ แต่คืนนี้ที่พวกเขาบุกมาที่นี่นางรู้สึกไม่ชอบมาพากล จะอย่างไรก็ต้องระวังเอาไว้ก่อน
อีกอย่าง ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่เฝิงเล่นละครเป็คนใจดำ จู่ๆ จะให้นางะโออกมาเล่นเป็คนใจดี แล้วเขาจะวางตัวอย่างไร...
“พี่ใหญ่ อย่าเพิ่งรีบร้อน ให้เด็กๆ กินให้อิ่มก่อน เกาเหรินออกไปแล้ว รอเขากลับมาค่อยว่ากัน”
พี่ใหญ่ลู่คิดตามก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงเข้าไปประคองหนิวเซิ่ง และเข้าไปช่วยประคองคนอื่นๆ กล่อมเด็กๆ ให้กลับไปนั่งรอบโต๊ะให้เรียบร้อยได้สำเร็จ
ถึงแม้พวกเด็กๆ จะยังกินดื่มไม่หยุดแต่ก็ช้าลงกว่าเมื่อครู่มาก ถึงขนาดว่าไม่ค่อยกล้าอ้าปากกินคำใหญ่นัก คล้ายว่ากลัวคนที่นี่จะรังเกียจท่ากินอันไม่งามของพวกเขาแล้วไม่รับพวกเขาเอาไว้
พวกผู้หญิงพากันแลกเปลี่ยนสายตา หากไม่ใช่เพราะวาจาประกาศิตของเสี่ยวหมี่ พวกนางแต่ละคนคงแบ่งกันอุ้มเด็กๆ กลับบ้านไปเลี้ยงเสียแล้ว
ตอนนั้นเอง ในที่สุดเกาเหรินก็กลับมา
เดิมทีเขาก็ไม่ได้ตัวสูงใหญ่ สูงพอๆ กับเด็กพวกนี้ด้วยซ้ำ แต่ในมือเขากลับหิ้วเด็กผู้หญิงสองคนอายุเจ็ดแปดขวบกลับมาด้วย จึงเป็ภาพที่แปลกประหลาดยิ่งนัก
เด็กผู้หญิงสองคนนั้นสลบไปแล้ว ชัดเจนว่าได้รับความใอย่างยิ่ง เกาเหรินโยนพวกนางไปบนพื้นอย่างรังเกียจ ะโว่า “ยัยเด็กบ้าสองคนนี้ ข้าบอกอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อ ทำได้แค่ตีให้สลบแล้วพาตัวมา”
พวกหนิวเซิ่งทิ้งของกินในมือไปแล้วั้แ่เห็นเกาเหรินกลับมา รีบเข้าไปหา “ยาโถ่ว เสี่ยวฮัว พวกเ้ารีบตื่นเร็วเข้า”
เกาเหรินพูดจาร้ายกาจ ที่จริงแล้วไม่ได้ลงมือโเี้กับเด็กผู้หญิงทั้งสอง แค่สกัดจุดตอนหิ้วมาเท่านั้น
เด็กสองคนเหมือนจะได้ยินเสียงที่คุ้นเคย พวกท่านป้าหลิวเองก็เข้ามาหยดน้ำอุ่นๆ ใส่ปาก ไม่นานพวกนางก็ลืมตา