ค่ายกลลวงตาที่เทียนเซียงหลินสร้างลึกลับเป็อย่างมาก ผู้คนที่อยู่ในค่ายกลต่างเผชิญหน้ากับการต่อสู้
สิ่งที่สำคัญคือ แม้ที่นี่จะเป็เพียงภาพลวงตา แต่หากผู้ใดถูกคนอื่นฆ่าตายหรือเจออันตรายที่ถึงแก่ชีวิต นั่นเท่ากับตายจริง ๆ
เย่เฟิงเดินไปยังอีกฟากของป่าไผ่อย่างราบรื่นไร้อุปสรรคใด ๆ นั่นเพราะความสามารถด้านวิถีแห่งลวดลายเทวะของเย่เฟิง เขาจึงแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง
ส่วนคนอื่น ๆ ที่อยู่ในค่ายกลลวงตากลับไม่ราบรื่นอย่างเย่เฟิง พวกเขาอาจเจอกับอันตรายที่ร้ายแรงได้ตลอดเวลา บางครั้งก็มีผู้ฝึกยุทธ์ตกตายด้วยความโเี้
หากด่านทั้งสามของเทียนเซียงหลินไม่ยากมากเกินไป เช่นนั้นผู้ใดที่มีศักยภาพเพียงเล็กน้อยก็สามารถผ่านได้อย่างง่ายดาย และพาเทพธิดาแห่งเทียนเซียงหลินที่ตนชื่นชอบไปได้
อย่างไรก็ตามเย่เฟิงจงใจไม่เร่งฝีเท้า ความรู้ที่เขามีต่อวิถีแห่งลวดลายเทวะก็ช่วยเขาแก้ไขปัญหาในค่ายกลลวงตาได้ทุกอย่าง
ทุกครั้งที่อุปสรรคปรากฏ เขามักจะใช้ลวดลายเทวะแก้ไขกฎนั้นเพื่อขจัดอุปสรรคตรงหน้า
อุปสรรคที่ผู้อื่นพบเจอกลับกลายเป็เครื่องมือเรียนรู้ของเย่เฟิง นี่ก็คือความห่างชั้น
ผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถต่างให้หลิวหยางนำหน้า ตอนนี้พวกเขาทุกคนเต็มไปด้วยาแ เพราะเมื่อครู่เจอศึกใหญ่มา พวกเขาถูกสัตว์อสูรหลายสิบตนล้อมกรอบ กว่าจะกำจัดพวกมันได้นั้นก็ไม่ง่ายดาย กระทั่งพวกเขาสูญเสียผู้ฝึกยุทธ์ไปสองคน
“ศิษย์พี่หลิว ด่านทั้งสามนี้ของเทียนเซียงหลินดูเหมือนจะยากกว่าที่คิดไว้มาก นี่แค่ด่านแรกก็คร่าพวกเราไปสองคนแล้ว ต่อไปไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไรดี?”
คนผู้หนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ หลิวหยางกล่าวขึ้นเช่นนั้น พร้อมแววตาสั่นไหวเล็กน้อย
“ข้าอยู่ที่นี่ ทุกคนวางใจเถิด พวกเราต้องผ่านด่าน และพาเทพธิดาเทียนเซียงหลินกลับสำนักได้แน่นอน”
หลิวหยางได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม พร้อมตบหน้าอกของตน
คำพูดของหลิวหยางทำให้ทุกคนคลายความกังวลลงเล็กน้อย ทว่าตอนที่พวกเขาเดินไปข้างหน้า ก็ได้มีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวในสายตาของพวกเขา
เงาร่างนี้อยู่ตัวคนเดียว ร่างกายสะอาดสะอ้านราวกับอยู่นอกมิตินี้โดยที่ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ
แน่นอนว่าเย่เฟิงสังเกตเห็นพวกหลิวหยางแล้วเช่นกัน ซึ่งเขากลับไม่สนใจอีกฝ่าย แต่เมื่อเย่เฟิงจะเดินออกไปจากที่นี่ เขาก็ได้ยินเสียงเ็าของหลิวหยางดังขึ้นที่ข้างหลัง
“หยุดนะ!”
ระหว่างที่กล่าวเช่นนั้น หลิวหยางก็ส่งสัญญาณให้ผู้คนที่อยู่รอบตัวเขา ซึ่งคนเ่าั้เข้าใจในทันที ก่อนจะเดินไปทางเย่เฟิงพร้อมกัน
“เจอข้าแล้ว คิดว่าจะออกไปจากที่นี่ได้หรือ?” หลิวหยางกล่าวเสียงเย็นขณะมองเย่เฟิง
ก่อนหน้านี้เขาไม่ชอบหน้าเย่เฟิง บัดนี้อยู่ในค่ายกลลวงตา เขาย่อมทำให้เย่เฟิงต้องเจอกับความลำบาก
“เ้าคิดจะทำอะไร?” เย่เฟิงเอ่ยถามหลิวหยางพลางเหยียดยิ้มเย้ยหยัน สายตาที่เขามองอีกฝ่ายนั้นราวกับมองตัวตลกก็ไม่ปาน
“เทพธิดาหลันเซียงคือผู้หญิงที่ศิษย์พี่หลิวข้าชื่นชอบ ทางที่ดีเ้าอยู่ให้ห่าง ๆ จากนางซะ ตอนนี้เ้าต้องคุกเข่าขอโทษศิษย์พี่หลิว แล้วพวกข้าจะปล่อยเ้าไป จำไว้ เ้ามีแค่โอกาสเดียวเท่านั้น”
คนผู้หนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ หลิวหยางกล่าวเสียงเย็นพร้อมมองเย่เฟิงด้วยสายตาดูแคลน
พวกเขามีหลายสิบคน ตบะของทุกคนก็ล้วนอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ถึง 6 หากเย่เฟิงกล้าต่อต้าน พวกเขาก็สามารถบดขยี้เย่เฟิงให้แหลกคามือ
“ข้าไม่อยากเสียเวลากับพวกเ้า ไสหัวไปซะ หาไม่แล้วก็รับผลที่ตามมาเอง!”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียงหัวเราะเ็าซึ่งเป็การหัวเราะเยาะเย้ยดูแคลน
“ข้าว่าเ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ดูท่าเ้าคงอยากหาที่ตายมาก เ้าคงไม่รู้ถึงความร้ายกาจของพวกข้าสินะ”
ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นมองเย่เฟิงด้วยสายตาดูถูก ทันใดนั้นพลังปราณปะทุออกจากร่างเขา ก่อนจะเหวี่ยงหมัดโจมตีเย่เฟิง แม้เขารู้ว่าพลังของเย่เฟิงไม่ธรรมดา แต่พวกเขามีคนเยอะกว่า และทุกคนต่าง้ากำจัดเย่เฟิง
เย่เฟิงเห็นฉากนี้ก็ไม่ได้ลงมือทันที ทว่ากลับหลบการโจมตีของอีกฝ่าย จากนั้นมีแสงจ้าปะทุออกจากดวงตาของเขา ในนั้นแฝงด้วยการโคจรของอักษรโบราณแห่งลวดลายเทวะ ก่อนจะเข้าปกคลุมร่างคนนั้นในพริบตา
อักษรโบราณแห่งลวดลายเทวะแปรเปลี่ยนกฎอย่างฉับพลัน ทำให้คนนั้นตกอยู่ในมิติมายาใหม่ทันที จู่ ๆ พวกหลิวหยางที่อยู่ตรงหน้าเขากลับกลายเป็หญิงงามเปลือยครึ่งท่อน ร่างอ้อนแอ้นอรชรบิดไปมา พร้อมส่งเสียงยั่วยวนราวกับร้องหาอะไรบางอย่าง นี่ทำให้สายตาของคนนั้นลุกวาวและรู้สึกร่างกายร้อนระอุ ก่อนจะสูญเสียการควบคุมตัวเอง
“สาวสวย ข้ามาแล้ว!”
ดวงตาของคนนั้นพร่ามัวขณะกระโจนเข้าหาพวกหลิวหยาง ก่อนจะคว้าจับร่างคนคนหนึ่งพร้อมจู่โจมโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบสนอง ซึ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกคลื่นไส้และดิ้นรนอย่างแรง
พวกหลิวหยางเห็นฉากนี้ต่างก็ตกตะลึงและรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที จากนั้นได้ยินหลิวหยางพูดกับเย่เฟิงว่า “เ้าทำอะไรเขาน่ะ? รีบปลุกเขาซะ หาไม่แล้วข้าจะทำลายตบะของเ้าเสีย!”
“ดื้อรั้น!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น ครั้งนี้ไม่สั่งสอนพวกเขาเกรงว่าจะไม่ได้แล้ว
จู่ ๆ ดวงตาของเย่เฟิงส่องแสงจ้า ก่อนจะมีลำแสงหลายสายพุ่งออกมาเข้าปกคลุมร่างทุกคนรวมทั้งหลิวหยาง พลันอักษรโบราณแห่งลวดลายเทวะปรากฏ เพื่อเปลี่ยนแปลงกฎในที่แห่งนี้ ทันทีที่พวกเขาเข้าสู่อีกมิติมายาหนึ่งก็มีร่างงดงามเปลือยครึ่งท่อนปรากฏตัวที่เบื้องหน้า สิ่งยั่วยวนนั้นมิอาจต้านทาน แล้วมีหรือพวกเขาจะควบคุมตัวเองได้
พวกเขากอดกันและกัน ทำเื่ที่น่าสะอิดสะเอียน ทุกคนต่างดูมึนเมาราวเพลิดเพลินไปกับความสุข
เย่เฟิงฉากนี้ก็อดคลื่นไส้อาเจียนไม่ได้ จากนั้นเขาก็ออกไปจากที่นี่โดยไม่คิดรั้งอยู่ต่อ
เมื่อเย่เฟิงออกไปได้ไม่นาน พวกหลิวหยางจึงค่อย ๆ ตื่นจากความฝัน และพบว่าสาวสวยกลายเป็ชายร่างสูงใหญ่ จึงผลักอีกฝ่ายออกไปอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะวิ่งออกไปอาเจียน ซึ่งมีหลายคนัักับอีกฝ่ายถึงขั้นลึกซึ้ง ทั้งยังรู้สึกร้อนตามบางส่วนบนร่างกายตน ยากที่จะจินตนาการได้ว่าพวกเขาทำอะไรไปบ้างเมื่อครู่นี้
เมื่อคิดถึงฉากนั้นก็ต้องอาเจียนอีกครั้งจนเกือบอาเจียนเอาอวัยวะภายในออกมา
“สวะ อย่าให้ข้าได้เจอเ้าอีกเชียว!”
หลิวหยางแผดเสียงะโด้วยความโกรธเกรี้ยว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงเป็ที่สนใจอย่างมากในภาพลวงตาเมื่อครู่นี้ ถึงกับเจอสามคนรุม และทำให้เดินยากลำบากไปสักพัก
เมื่อหลิวหยางนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก็ต้องอาเจียนอีกครั้ง และความเกลียดชังที่มีต่อเย่เฟิงก็พุ่งสูงขึ้นจนถึงขีดสูงสุด
ด้านเย่เฟิง เขาเดินอยู่ในค่ายกลลวงตาไปเรื่อย ๆ ซึ่งป่าไผ่แห่งนี้กว้างขวางถึงพันลี้ แม้พวกเขาเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ แต่ก็ไม่สามารถใช้ยานพาหนะทางอากาศรวมถึงเหาะเหินกลางอากาศ
หาก้าผ่านป่าไผ่ไปอีกฟากก็จำต้องใช้เวลาหลายวัน ดังนั้นแม้ฝีเท้าของเย่เฟิงจะไม่เร็ว แต่ก็ถือว่าเร็วกว่าคนอื่น ๆ หลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้นยังผ่อนคลายกว่าใคร เพราะวิถีแห่งลวดลายเทวะของเย่เฟิงสามารถแก้ไขอุปสรรคภายในค่ายกลได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเย่เฟิงเดินหน้าอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค มันก็ยิ่งมีประโยชน์ต่อการเรียนรู้วิถีแห่งลวดลายเทวะของเขา
แต่ขณะนั้นมีสัตว์อสูรปรากฏตัวที่ข้างหน้า ซึ่งเป็ปีศาจหมีสามตน ทั้งยังมีพลังอสูรที่น่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่ จากนั้นพวกมันกระโจนเข้าหาเย่เฟิง หมายเขมือบร่างเขา
