“พวกเ้าไม่ต้องคิดเพ้อฝันแล้ว ผลึกเทวะนั่นข้าไม่มี!” เย่รั่วสุ่ยปรายตามองไปครั้งหนึ่งอย่างราบเรียบ รู้ได้ว่าพวกเขาทั้งสามคนกำลังคิดอะไรอยู่แล้วพูดขึ้นต่อ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เพียงเฉพาะข้าที่ไม่มี ตาแก่ตายยากจ้าวเกาะเร้นลับ พวกตาแก่ตายยากของทั้งสามเขตปกครองต่างก็ล้วนไม่มีด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นพวกเ้าคิดที่จะใช้ผลึกเทวะเพื่อกลายเป็เทพละก็ เลิกคิดจินตนาการได้เลย!”
“จ้าวเกาะแห่งเกาะเร้นลับก็ไม่มี? แล้วผลึกเทวะที่อยู่ในร่างของเย่ชิงอวี่...” เย่เทียนหลงเริ่มมึนงงขึ้นมาในทันทีรีบถามขึ้น
“นั่นไม่ใช่ของๆ เขา ตัวเขาเองก็ไม่มีของสิ่งนี้นอกเสียจากว่าเขาตายเท่านั้น” เย่รั่วสุ่ยยิ้มเยาะออกมาแล้วพูดขึ้นต่อ “ผลึกเทวะของวิเศษล้ำค่าระดับฟ้าดินถึงเพียงนี้ทั่วทั้งทวีปัเพลิงมีบุคคลเพียงสองคนที่มีอยู่ คนหนึ่งคือจ้าวเทวะของนครแห่งเทพ อีกคนคือนายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่าาผู้ปกครองแห่งป่าดำมืด! ซึ่งผลึกเทวะเม็ดที่เ้าได้มานี้นายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่บอกให้จ้าวเกาะแห่งเกาะเร้นลับนำมามอบให้กับเ้า!”
“นายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่?”
พวกเย่เทียนหลงทั้งสามอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงพรึงเพริดพูดอะไรไม่ออก
เย่เทียนหลงเริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าทำไมแรกเริ่มเมื่อตอนที่ตนเองไปขอแลกจ้าวเกาะเร้นลับถึงได้บอกกับตนเองว่าไม่มียาิญญาเทวะ จากนั้นค่อยมาโผล่อยู่ต่อหน้าตนเองและขอแลกอย่างกระตือรือร้น ที่แท้ก็เป็ผลึกเทวะที่นายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่ส่งมอบผ่านมาทางเขานั่นเอง
เพียงแต่ว่านายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ทำตัวลึกลับและไม่โดดเด่นเป็ที่สนใจมาตลอด น้อยมากที่จะปรากฏตัวออกมาให้ผู้คนในทวีปได้เห็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีความเกี่ยวพันอันใดกับตระกูลเย่ แล้วทำไมเขาต้องมอบผลึกเทวะที่เป็ของวิเศษล้ำค่าระดับฟ้าดินเช่นนี้ให้แก่ตนเองด้วย?โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังส่งมอบผ่านคนอื่นมาให้อีกด้วย?
เย่รั่วสุ่ยเห็นทั้งสามมองมาที่ตนด้วยสีหน้าสงสัยจึงส่ายหัวพร้อมกับพูดขึ้น “ไม่ต้องถามข้าเพราะข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าไปเกาะเร้นลับและถามจ้าวเกาะเร้นลับเกี่ยวกับเื่นี้อยู่นานเขาถึงได้บอกข้าว่าผลึกเทวะเม็ดนี้เป็นายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่มอบให้แก่เขา ดังนั้นข้าจึงไปยังป่าดำมืดทางทิศเหนือต่อเพื่อจะถามดูให้แน่ชัด แต่คิดไม่ถึงว่าแม้แต่หน้าของนายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่ข้าก็ไม่ได้พบ เขาทำเพียงส่งกระแสเสียงมาหาข้าด้วยประโยคคำพูดที่แปลกประหลาดเพียงหนึ่งประโยคเท่านั้น!”
“ประโยคคำพูดที่แปลกประหลาด?” เย่ชิงหนิวรู้สึกประหลาดใจอยากรู้อยากเห็นรีบพูดรับคำขึ้นในทันที
ดวงตาของเย่รั่วสุ่ยปรากฏแสงแหลมคมวาบผ่านแล้วพูดขึ้น “ปฏิบัติต่อ...เย่ชิงหานให้ดีๆ ด้วย!”
“…”
พวกเย่เทียนหลงทั้งสามมองหน้ากันไปมามองตากันเลิ่กลั่กพร้อมกับขนที่ลุกขึ้นทั่วทั้งสรรพางค์กาย นี่มันเื่บ้าอะไรกันอีกล่ะนี่?
แล้วเย่ชิงหานไปรู้จักมักจี่กับนายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำตัวลึกลับมากที่สุดผู้นั้นได้อย่างไรและตอนไหน? ผู้ที่แม้แต่เย่รั่วสุ่ยยังไม่สามารถพบหน้าได้แต่ดันไปรู้จักกับเด็กน้อยที่อายุเพียงแค่ไม่กี่สิบปีและพลังฝีมือต่ำต้อยถึงเพียงนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟังจากลักษณะคำพูดแล้วมีความสนิทสนมกันไม่น้อยเลยทีเดียว
“ข้าเคยถามเย่ชิงหานแล้วเขาบอกไม่เคยรู้จักนายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่แม้แต่น้อย! ดังนั้นเื่นี้คงต้องรอให้เย่ชิงหานไปทำความเข้าใจเอาเอง” เกี่ยวกับเื่นี้เย่รั่วสุ่ยก็มืดแปดด้านเช่นเดียวกัน ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นต่อ “แน่นอนว่าเื่เช่นนี้ถือเป็เื่ที่ดี เป็เื่ที่ดีมากๆ ด้วย ดังนั้นข้าจึงได้พูดว่าเย่ชิงหานมีโอกาสกลับออกมาจากูเาสุสานทวยเทพได้เจ็ดถึงแปดส่วนก็เพราะการแสดงออกของนายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ อืม...ถ้าหากเขายอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือละก็โอกาสที่เย่ชิงหานจะกลับออกมาได้จะกลายเป็ร้อยส่วนขึ้นมาในทันที!”
ฮะ...! ถ้าหากนายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่ยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือเย่ชิงหานจะสามารถกลับออกมาได้อย่างแน่นอน?
ทั้งสามทั้งตกตะลึงและงุนงง เย่เทียนหลงจึงเอ่ยถามขึ้น “ไม่ใช่ว่าท่านปรมาจารย์เคยบอกว่าไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพคนใดสามารถเข้าไปในูเาสุสานทวยเทพได้มิใช่รึ? แล้วทำไมนายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่ถึงจะช่วยเย่ชิงหานได้? เขาแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเชียวรึ?”
“แน่นอนว่านายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง! เขาไม่เพียงแค่เป็าาผู้ปกครองแห่งป่าดำมืด โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็าาผู้ไร้เทียมทานของทวีปัเพลิงอีกด้วย!”
เย่รั่วสุ่ยดวงตาทอประกายเร่าร้อนและเลื่อมใสศรัทธาออกมา พูดขึ้นด้วยสีหน้าอาการตื่นเต้นฮึกเหิม
“ม่านพลังป้องกันของูเาสุสานทวยเทพทรงอานุภาพเป็อย่างมาก ข้าเข้าไปไม่ได้รวมไปถึงผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพทั่วทั้งปวีปัเพลิงก็เข้าไปไม่ได้ แต่นายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่สามารถเข้าไปได้ เพียงแต่...เขาวางตัวเฉยๆ มาตลอดไม่ชอบสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเื่ราวใดๆ ในปีนั้นที่ทั้งสามเผ่าพันธุ์เปิดศึกใหญ่ต่อสู้เข่นฆ่ากันจนผู้คนล้มตายไปเป็จำนวนมากมายมหาศาลในแต่ละปี แต่เขาก็ไม่ได้ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวเช่นเดิม จนจ้าวเทวะของนครแห่งเทพออกมาสังหารยอดฝีมือของทั้งสามเขตปกครองเขาก็ยังนิ่งเฉยอยู่เช่นเดิม ข้าคิดว่าต่อให้ทั้งสามเผ่าพันธุ์ฆ่ากันตายจนหมดเขาก็คงไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวใดๆ ด้วยอย่างแน่นอน ส่วนในครั้งนี้ทำไมเขาถึงได้ทำตัวผิดแปลกจากที่เคยเป็มาโดยทำการมอบผลึกเทวะให้เย่ชิงหาน เื่นี้ข้าก็สุดที่จะคาดเดาออกมาได้เหมือนกัน!”
“หืม? แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเลย? แม้แต่จ้าวเทวะผู้ครองนครแห่งเทพก็ยังไม่ใช่คู่มือรึ?” เย่ชิงหนิวขยับริมฝีปากเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“ฮึ! จ้าวเทวะ? นายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่เพียงแค่ฝ่ามือเดียวก็สามารถฟาดเขาให้ตายได้!” เย่รั่วสุ่ยกระแทกเสียงออกมาอย่างดูถูกเย้ยหยันแล้วพูดขึ้นอย่างไม่ยี่หระ
เอ่ออ...
ทั้งสามอึ้งไปในทันที วันนี้เย่รั่วสุ่ยทำให้พวกเขาตกตะลึงหลายเื่จนเกินไป จนตอนนี้ความรู้สึกเริ่มด้านชาขึ้นมาบ้างแล้ว
จ้าวเทวะเก่งกาจถึงเพียงนั้น นครแห่งเทพที่อยู่สูงส่งน่าเกรงขามเหนือสิ่งอื่นใดสามารถออกคำสั่งต่อทั้งสามเขตปกครองได้โดยที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ อำนาจความน่าเกรงขามของนครแห่งเทพเกิดขึ้นมาจากตัวบุคคลๆ หนึ่งที่เป็ผู้ปกครองของนครแห่งเทพชื่อว่า “ถู” ตอนนี้เย่รั่วสุ่ยกลับบอกว่านายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่เพียงแค่ฝ่ามือเดียวก็สามารถฟาดเขาให้ตายได้ เื่เช่นนี้...จะให้พวกเขาเชื่อได้อย่างไร?
“ท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษ นายท่านซื่อผู้ยิ่งใหญ่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นทำไมถึงยังปล่อยให้จ้าวเทวะใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่ภายในทวีปัเพลิงอยู่อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังสังหารยอดฝีมือของทั้งสามเขตปกครองไปเป็จำนวนมาก? ทำไมเขาไม่จัดการทำลายนครแห่งเทพไปเลยล่ะ?” เย่ไป๋หู่พูดถามขึ้นเป็ครั้งแรก และเป็คำถามที่เป็จุดสำคัญของเื่ราวทั้งหมด
“เื่ราวเหล่านี้สำหรับระดับพลังฝีมือของพวกเ้าในตอนนี้รู้มากไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด รอเมื่อไหร่ที่พวกเ้าบรรลุถึงระดับขอบเขตเทพ์ข้าจะบอกพวกเ้าเอง และยังมีเื่ผลึกเทวะที่พวกเ้ายังไม่จำเป็ต้องรู้ในตอนนี้ รู้ไปจะมีแต่ผลเสียมากกว่าผลดีต่อการฝึกฝนกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินของพวกเ้า” เย่รั่วสุ่ยได้แต่ส่ายหน้าไม่อยากที่จะพูดถึงเื่ราวเ่าั้อีก
“ระดับเทพ?” ดวงตาเย่ชิงหนิวปูดโปนขึ้นพร้อมกับปรากฏแววของความปรารถนาวาบผ่าน จากนั้นใช้น้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อยถามขึ้น “ท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษ ท่านว่าพวกข้ามีโอกาสที่จะเหยียบย่างเข้าสู่ระดับเทพบ้างไหม? ต้องใช้เวลานานเท่าไรถึงจะฝึกฝนถึงได้?”
“พวกเ้า?” เย่รั่วสุ่ยปรายตามองอย่างราบเรียบแล้วพูดขึ้น “พวกเ้าทั้งสามล้วนมีโอกาสบรรลุถึงระดับเทพ บันทึกประสบการณ์การฝึกฝนสู่ความเป็เทพที่ข้าทิ้งไว้ให้ก็บอกชัดอยู่แล้วว่า สำหรับผู้ที่ฝึกฝนจนบรรลุขึ้นมาถึงระดับขอบเขตปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นล้วนมีโอกาสกลายเป็เทพด้วยกันทั้งหมด แต่จะสามารถกลายเป็เทพจริงๆ ได้หรือไม่นั้นต้องดูที่ระดับการฝึกฝนกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินของแต่ละบุคคล อย่างเร็วก็ไม่กี่ปีหรือสิบปี อย่างช้าร้อยปี และแน่นอนว่าบางทีต่อให้พวกเ้าฝึกจนสิ้นอายุขัยไปก็ไม่สามารถจะกลายเป็เทพก็อาจเป็ได้ เื่นี้ต้องอาศัยทั้งโชคชะตาวาสนาและสติปัญญาในการรับรู้และเข้าใจสรรพสิ่งของแต่ละบุคคลประกอบด้วย ไม่สามารถที่จะเร่งรัดหรือบังคับฝืนเอามาได้...”
“อืม...ท่านปรมาจารย์บรรพบุรุษ แล้วตอนนี้เขตปกครองเทพาที่มีโอกาสเหยียบย่างเข้าสู่ระดับเทพมีใครบ้าง? ตระกูลใหญ่ทั้งห้ามีหรือไม่?” เย่เทียนหลงถามขึ้นอีกคำถาม วันนี้ถือโอกาสที่เย่รั่วสุ่ยอยู่และดูจะอารมณ์ดีมากด้วย ดังนั้นเขาจึงอยากจะถามดูข้อมูลเื่ต่างๆ สักหน่อยเพราะล้วนเกี่ยวพันถึงทิศทางการดำเนินกิจการของตระกูลในภายภาคหน้า
“ที่มีโอกาสมากที่สุด? อืม...มีสองคน หากไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้ละก็ ทั้งสองคนนี้ภายในสามสิบปีจะต้องกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเทพอย่างแน่นอน!” เย่รั่วสุ่ยนิ่งครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆ “เ้าคนตัวเล็กที่อยู่เมืองั พลังแห่งไม้ฝึกฝนได้ไม่เลว อีกคนคือ...หญิงสาวของตระกูลเยว่ พลังแห่งน้ำก็ฝึกฝนได้ไม่เลวมีโอกาสมากเช่นเดียวกัน!”
หลงผี่ฟู! คนของตระกูลเยว่?
สำหรับหลงผี่ฟูนั้นทั้งสามคนไม่ค่อยแปลกใจมากนัก แต่ยอดฝีมือของตระกูลเยว่พวกเขาล้วนรู้จักดี ดูจากกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินที่ใช้ออกมาก็ไม่ค่อยจะเก่งกาจกันสักเท่าไร ทั้งสามเริ่มรู้สึกสงสัยขึ้น จึงเหลือเพียงแค่หัวหน้าตระกูลเยว่คนปัจจุบัน...เยว่สีสุ่ย
เย่เทียนหลงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง “ใช่หัวหน้าตระกูลเยว่คนปัจจุบันเยว่สีสุ่ยหรือไม่?”
“ไม่รู้เหมือนกัน ข้าไม่รู้จัก แต่หญิงสาวนางนี้พักอยู่ที่หอสราญรมย์!” เย่รั่วสุ่ยส่ายหัวพร้อมกับพูดขึ้น
“หอสราญรมย์! เป็นางจริงๆ!” ดวงตาเย่เทียนหลงปรากฏความประหลาดใจวาบผ่าน หอสราญรมย์เป็หอที่พักของเยว่สุ่ยสีมาโดยตลอด หัวหน้าตระกูลเยว่ผู้นี้หลีกเร้นกายไม่ปรากฏตัวมาโดยตลอด ทำตัวเงียบๆ ไม่โดดเด่น ไม่คาดคิดว่าการฝึกฝนกฎเกณฑ์พลังฟ้าดินของนางจะรวดเร็วปานนี้ อีกไม่นานจะกลายเป็เทพแล้ว...
ดูท่าคงต้องผูกสัมพันธ์กับเยว่สีสุ่ยให้มากขึ้นกว่านี้สักหน่อย หลงผี่ฟูไม่มีปัญหาเพราะมีสัมพันธ์อันดีด้วยกันมาโดยตลอด ส่วนเยว่สุ่ยสีในครั้งนี้ออกคำสั่งเลือกเย่ชิงหานเป็ผู้พิทักษ์ธิดาศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเอง ขอเพียงเย่ชิงหานรอดกลับออกมาก็จะสามารถแต่งงานกับเยว่ชิงเฉิงได้ทันที ความสัมพันธ์กับตระกูลเยว่ก็จะพัฒนาเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น
เพียงแต่เย่ชิงหาน เฮ้อ...เย่ชิงหาน!
เย่เทียนหลงเมื่อนึกถึงเย่ชิงหานจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมาอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง ไม่รู้ว่าหลานที่ตนเองปล่อยปละละเลยให้มีชีวิตตกระกำลำบากมาเป็เวลาสิบกว่าปีผู้นี้ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ กำลังเชิญกับอันตรายอันใดอยู่บ้างในตอนนี้...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้