แสงจันทร์กระจ่างสาดส่อง พาให้ทุกสรรพสิ่งพลันชัดเจน
ในมือของเสี่ยวอู่ถืออาวุธจากแคว้นจิงที่เรียกว่าตะบองเหล็กอยู่ เขารู้สึกชอบมันยิ่งนัก
หากว่าลูกเหล็กของเขาได้ใช้วัสดุเช่นนี้หลอมสร้างขึ้นมา ย่อมต้องมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง
“พี่ลู่ หากว่าข้าทุบจนมีดของท่านพังจะทำอย่างไรเล่า” เสี่ยวอู่ยังคงถือตะบองนั้นไว้ในมือ แม้จะกระตือรือร้นอยากจะลองทุบสักครั้งนัก ทว่าก็อดกังวลใจขึ้นมาไม่ได้
อาลู่ชอบมีดเล่มนี้มาก แม้ปกติเขาจะใช้มีดอีกเล่มหนึ่ง แต่มีดเล่มนี้เขาจะพกติดกายไว้เสมอ ทว่าเขาก็ไม่เคยนำมันออกมาใช้งานง่ายๆ ทุกครั้งที่ใช้จะต้องได้มีเืตกยางออกให้เห็น
“ไม่เป็ไร” อาลู่ชอบมีดเล่มนี้เพราะเขาเจอมันพร้อมกับน้องสาว ทั้งมีดเล่มนี้ยังช่วยชีวิตเขาไว้อีกนับครั้งไม่ถ้วน แต่หากมันพ่ายให้กับอาวุธแคว้นจิง ก็ย่อมหมายความว่าเขาคงต้องเปลี่ยนใหม่เสียแล้ว ถึงอย่างไรชีวิตก็ย่อมสำคัญที่สุด เขาจำเป็ต้องมีชีวิตอยู่จึงจะสามารถดูแลน้องสาวได้
นายท่านสามรู้ว่าอาลู่นั้นมีมีดที่เป็ดั่งสมบัติล้ำค่าอยู่เล่มหนึ่ง เขาเคยโน้มน้าวอาลู่อยู่เสียหลายครั้งว่าให้แลกมีดเล่มนั้นกับมีดเล่มอื่นของตน ทว่าก็ไม่เคยสำเร็จสักครั้ง
แม่นางหลัวนั้นไม่สนใจเื่ตรงหน้า กังวลเพียงแต่ว่าเด็กหญิงจะได้รับาเ็
ทว่านางก็ยังสังเกตเห็นท่าทีที่ผิดแปลกของท่านราชครู เหมือนว่าจะเริ่มั้แ่ที่อาลู่นำมีดเล่มนั้นออกมา สีหน้าของชายชราก็แปรเปลี่ยนไป
ใต้แสงจันทร์ ใบหน้านั้นซีดขาวจนน่าเวทนา
อาสวินที่ถูกเสี่ยวอู่ลากมาเป็ผู้ตัดสิน บัดนี้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่รอดูเื่สนุกที่กำลังจะเกิดขึ้น
เฉินโย่วนั่งพิงอาสวิน เบิกตาโตรอชมเื่สนุกอยู่เช่นกัน
ใต้แสงจันทร์ทั้งสองมือของเสี่ยวอู่นั้นทุ่มแรงทั้งหมดที่มีจนกล้ามเนื้อบนมือพลันปูดโปน ตะบองเหล็กในมือราวกับจะหลอมรวมกลายเป็เนื้อเดียวกันกับเด็กหนุ่ม จากนั้นก็ออกแรงทุบลงไปบนมีดที่วางอยู่บนพื้น
“แกร๊ง” สะเก็ดไฟพลันปะทุไปรอบด้าน ครั้งนี้สะเก็ดไฟปะทุแรงกว่าครั้งก่อน
เฉินโย่วพลันเบิกตาโต อ้าปากค้าง ท่าทางของเด็กหญิงทำให้นางดูน่ารักไม่เบา
หลัวอู๋เลี่ยงเมื่อเห็นว่านางไม่เป็อะไรก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้ ในใจคิดว่าเด็กคนนี้ช่างไม่เกรงกลัวอันใดเสียเลย
เสี่ยวอู่ที่ยังคงถือตะบองเหล็กไว้พลันรู้สึกมือชาขึ้นมา ทว่าเสี่ยวอู่แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็คนใจกล้า จึงขยับมือเล็กน้อยแล้วยื่นหน้าออกไปดูว่าเกิดอันใดขึ้น เห็นเพียงอาลู่กำลังก้มลงไปเก็บมีดขึ้นมา พบว่ามีดเล่มนั้นไม่เป็อะไรแม้แต่น้อย
แม้เมื่อครู่จะมีประกายไฟที่ปะทุขึ้นมา ทว่ามีดเล่มนั้นกลับไม่มีกระทั่งรอยขีดข่วน
“นับว่าเป็มีดดีจริงๆ หรือมีดเล่มนี้ก็เป็อาวุธจากแคว้นจิงเช่นกัน” เสี่ยวอู่ที่ยื่นหน้ามามองนั้นถามขึ้นด้วยความสงสัย
อาสวินกล่าวแย้งขึ้น “ไม่ใช่อาวุธแคว้นจิงทั่วไป มีดเล่มนี้ดีกว่ามากนัก”
เสี่ยวอู่ก็เห็นด้วยเช่นกัน เมื่ออาสวินกล่าวก็ย่อมต้องเป็เช่นนั้นอย่างแน่นอน อีกทั้งตะบองเหล็กในมือเขาก็เนื้อหนา หากว่าเป็วัสดุชนิดเดียวกัน มีดเล่มนี้ยามโดนแรงกระแทกจะต้องบิ่นอย่างแน่นอน ด้วยเพราะเขาเองก็ออกแรงอย่างไม่ออมมือ
นายท่านสามเห็นเช่นนั้นก็รีบล้อมเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“เ้าเด็กร้ายกาจ เ้าไปเก็บมีดเล่มนี้มาจากที่ใดกัน ช่างเป็สมบัติล้ำค่าโดยแท้”
ราชครูที่นั่งมองอยู่ทำหน้าราวกับเพิ่งประสบเื่กระทบกระเทือนจิตใจมา ทว่าความจริงแล้วก็นับว่าเขาเพิ่งจะพบเจอเื่ะเืขวัญมาจริงๆ
เขามองนายท่านสามหยิบมีดเล่มนั้นขึ้นมา มันมิได้มีอันใดโดดเด่นแม้แต่น้อย
มือทั้งสองของราชครูพลันสั่นเทา เขาพยายามฝืนทนความว้าวุ่นในใจและกล่าวขึ้นว่า “ขอข้าดูที”
นายท่านสามได้ยินเช่นนั้นก็ส่งมีดให้ชายชรา ราชครูที่ยังตื่นใพลันตื่นเต้น จากนั้นจึงรับมีดนั้นมา ในใจรู้สึกหนักอึ้ง
มีดสองคมไร้ซึ่งลวดลาย มีดเล่มนี้ไม่ได้ใช้ในการสังหารมนุษย์ แต่ใช้ในการบูชายัญเพื่อสังหาริญญา เขาเป็คนใส่มันลงไปในหีบด้วยตนเอง จากนั้นจึงปล่อยให้หีบนั้นดำดิ่งสู่ก้นแม่น้ำ
ไม่มีทางผิดพลาดแน่
มีดเล่มนี้ก็เป็เขาเองที่ทำมันขึ้นมา ด้วยบนใบมีดนั้นยังมีสัญลักษณ์เล็กๆ ปรากฏอยู่ สัญลักษณ์นี้มีเพียงตระกูลจ้งของเขาเท่านั้นที่ใช้ อีกทั้งมีเล่มนี้ยังถูกแช่ด้วยเืมนุษย์นานแรมปี กลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายจึงอบอวล
ความรู้สึกของเขาย่อมไม่มีทางผิดพลาด
ยามที่มีดอยู่ในมือ เขาก็ไม่อาจระงับมือที่สั่นเทาของตนได้
ใต้หล้านี้จะหามีดที่หน้าตาเหมือนกันถึงเพียงนี้ได้จากที่ใดอีก
มิมีทางเป็ไปได้
มีดเล่มนี้ย่อมเป็มีดเล่มเดียวกันอย่างแน่นอน
อาวุธจากแคว้นจิงนั้นไม่สามารถเทียบความล้ำค่าของมันได้ บรรพบุรุษของเขาสร้างมันขึ้นมาจากหินที่มาจากนอกโลก
เื่นี้คือเื่ที่เขาละอายใจที่สุดในชีวิต
เขาเอาแต่ปลอบใจตัวเองมาตลอดว่าไม่เสียใจที่ได้ทำเพื่อแว่นแคว้น ในฐานะราชครูสิ่งแรกที่เขาต้องทำคือทำเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของแคว้น
ทว่าในใจลึกๆ เขากลับรู้สึกผิดนัก
ทุกวันนี้ที่เขาต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้เศร้าโศกอันใด รู้สึกเพียงว่ามันคือกรรมที่เขาต้องชดใช้
ทว่ามีดเล่มนี้ที่เดิมทีควรจะจมอยู่ใต้แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ บัดนี้กลับมาอยู่ตรงหน้าเขาได้
“มีดเล่มนี้เ้าได้มาจากที่ใด” ใบหน้าของราชครูบัดนี้ช่างซีดเซียว น้ำเสียงที่เอ่ยถามออกมาก็แสนจะแหบแห้งราวกับพยายามเค้นมันออกมาอย่างสุดความสามารถ
อาลู่ไม่เคยเห็นท่านอาจารย์มีโทสะมาก่อน
ปกติไม่ว่าน้องสาวจะทรมานเขาอย่างไร เขาก็ไม่เคยมีทีท่าว่าจะโกรธเคืองเลยสักครา
ทว่าท่านอาจารย์บัดนี้กลับมีโทสะราวกับเพลิงที่ลุกโหม ทั้งยังดูกระวนกระวายนัก
“ข้าเก็บมันมา” อาลู่กล่าวตอบอย่างมั่นใจ
ราชครูเมื่อเห็นท่าทางประหลาดใจของทุกคน จึงเพิ่งได้สติว่าตนนั้นดูจะเสียอาการไปสักหน่อย
เขาจึงกระแอมขึ้นสองสามครั้งเพื่อกลบเกลื่อนท่าทีของตน ทว่าว่ายิ่งกระแอมก็ยิ่งเสียงดังขึ้น
“แค่กๆๆ...”
ทันใดชายชราพลันยกมือขึ้นกุมหน้าอกของตนไว้ แล้วกระอักเืออกมา
แสงจันทร์สาดลงบนเืสดๆ ที่ไหลออกมาจากปากชายชรา
“เ้าเก็บมันมาจากที่ใด นอกจากมีดแล้วเ้ายังเก็บสิ่งใดได้อีก” ราชครูนั้นไม่ใส่ใจเื่ที่ตนเพิ่งจะกระอักเืแม้แต่น้อย ดวงตาเปลี่ยนเป็แดงก่ำ ก่อนจะยื่นมือออกไปจับมืออาลู่ไว้แน่นแล้วเอ่ยถาม
“ข้าเก็บมาจากทุ่งหญ้า เก็บมาได้เพียงแต่มีด” ใบหน้าที่ไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีของอาลู่มองดวงตาแดงก่ำของชายชรา ก่อนจะตอบคำถามนั้น
ราชครูยังคงจ้องหน้าอาลู่ เขารู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังโป้ปดตน ทว่าแสงจันทร์นั้นไม่อาจโกหกได้
เขาเป็คนตระกูลจ้ง เื่การจับพิรุธยามโกหกนับว่ามีความสามารถติดตัวมาโดยกำเนิด
เช่นเดียวกันกับในอดีตที่เขามองแค่คราเดียวก็เห็นคำลวงขององค์หญิง และคำลวงของฮองเฮาจ้าว
ราชครูกวาดสายตามองอาลู่ เสี่ยวอู่ และอาสวิน ข้างกายของอาสวินก็มีเ้าเด็กปีศาจยืนอยู่
เ้าเด็กปีศาจเงยหน้าขึ้นมองตนราวกับกำลังนึกสงสัย บนศีรษะมีจุกผมชี้ๆ ราวกับดอกไม้สะพรั่ง ยามอยู่ใต้แสงจันทร์จึงเห็นเงาจุกผมของนางทอดยาว
เ้าเด็กปีศาจนั้นหน้าตางดงามนัก บนูเาลูกนี้แม่นางหลัวก็งดงามเกินบรรยาย เด็กหนุ่มอาสวินก็หน้าตาหมดจด ส่วนอาลู่ก็รูปงามบาดตา กระทั่งเสี่ยวอู่ก็นับว่าหน้าตาไม่เลว คิ้วหนาตาโต ทว่าทั้งหมดนี้ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับเ้าเด็กปีศาจ
รูปลักษณ์ของนางช่างน่ามองนัก
แม้ใบหน้าที่ยังเป็เด็กของนาง และแววตาไร้เดียงสา ช่างทำให้คนยากจะลืมเลือน ทั้งนิสัยยังแสนอันธพาล ด้วยลักษณะเช่นนี้นางจะเป็บุตรของทาสได้อย่างไร
ั้แ่ยามที่เขาเห็นเปลวเพลิงทำนายชีวิตว่าร่างกายนางอ่อนแอนัก เดิมทีก็น่าจะพอให้เขาคาดเดาได้แล้วว่านางคือองค์หญิงใหญ่
องค์หญิงที่เขาปล่อยให้จมลงสู่ก้นแม่น้ำด้วยตนเอง
นางไม่ได้มีนามว่าลู่เฉินโย่ว แต่เป็หลี่เฉินโย่ว องค์หญิงองค์แรกของแคว้นเชิน
เพียงพริบตาเรี่ยวแรงในร่างกายของราชครูก็พลันเหือดหายไปจนหมด มีดในมือก็พลันร่วงหล่นลง ทว่าอาลู่ยื่นมือมารับไว้ทัน จากนั้นจึงเสียบกลับเข้าไปในฝัก
ราชครูเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่ยังคงใสกระจ่าง
แสงจันทร์นั้นราวกับจะส่องทะลุไปถึงดวงใจของเขา
องค์หญิงใหญ่ยังมีชีวิต ทั้งอาศัยอยู่ในดินแดนที่ทวยเทพทอดทิ้ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เคยสังเกตเห็นเลยสักครั้ง ทว่าสุดท้ายนางก็คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน เว้นเสียแต่ว่านางจะกลับไปอยู่ในวังหลวง กลับไปอยู่ในสถานที่ที่มีเหล่าทวยเทพคุ้มครอง แย่งชิงชีวิตของตนเองกลับมา
ราชครูมองเด็กหญิงพร้อมน้ำตาที่ไหลนอง
ในปีนั้นเขาเคยลงมือทำร้ายร่างเล็กๆ ของนาง
ต่อหน้าสายตาของคนทั้งห้องที่จับจ้องมา เฉินโย่วน้อยนั้นไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น เหตุใดท่านอาจารย์อยู่ดีๆ ก็ร้องไห้ออกมา ทั้งยังดูปวดใจนัก
สายตาที่มองนางก็เต็มไปด้วยความเ็ป
เด็กหญิงจึงเดินไปหาท่านอาจารย์ของตนแล้วจับมือเขาไว้ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นมาอย่างอบอุ่น “ท่านอาจารย์ ท่านชอบมีดของพี่ชายมากเลยหรือ ให้ข้ายืมมีดจากพี่ชายมาให้ท่านเล่นสักครู่ดีหรือไม่ เพียงแต่คงไม่อาจยกให้ท่านได้ มีดเล่มนั้นปกป้องชีวิตของพี่ชายไว้หลายครั้ง เช่นนั้นจึงสำคัญกับพวกเรานัก”
เ้าของมือคู่ใหญ่ที่ถูกมือคู่น้อยกุมไว้ได้แต่ร้องไห้อย่างเงียบงัน จากนั้นจึงออกแรงส่ายหน้าเบาๆ
เขามิได้ร้องไห้เพราะมีดเล่มนั้น
น้ำตาของเขาไม่เกี่ยวอันใดกับมีดเลยสักนิด