เล่มที่ 7 บทที่ 205 ไปพร้อมกัน
หลายวันก่อนถึงกับได้ยินว่ามีคนได้เกราะหยินหยางที่มีมนต์สะกดสามสิบหกสายเลยทีเดียว หากบำเพ็ญเพิ่มอีกนิด มนต์สะกดทั้งสามสิบหกสายก็จะรวมกันจนเกิดเป็มนต์สะกดเทียนกัง เช่นนั้นก็เปรียบเสมือนได้ศาสตราวุธมาเลยทีเดียว…
เมื่อได้ยินเื่นี้เข้า สามสำนักใหญ่ก็ถึงกับนั่งไม่ติดพื้น รีบส่งศิษย์ในสำนักออกไปจำนวนมาก แม้แต่หวังจิ่งที่มักจะเฝ้าอยู่แต่ในสำนัก ยังมิวายถูกส่งออกมาด้วย ดูท่าจงหยางจากสำนักโยวิและหวงซีจากสำนักกระบี่หลีซานก็น่าจะถูกส่งมาเช่นกัน
แน่นอนว่าโชคลาภมักมาคู่กับอันตราย ในขณะที่สามารถพบเจอสมบัติล้ำค่าได้ทุกที่ แต่มันก็มีอันตรายอยู่รอบด้านทุกเวลาเช่นกัน ที่นี่มีมารปีศาจออกอาละวาดมากมาย แม้จะเพิ่งมายังเกาะแห่งนี้ได้เพียงสามวัน ก็ถึงกับสังหารปีศาจขั้นเยาเจี้ยงไปถึงห้าตนแล้ว จึงเดาได้ไม่ยากว่าที่นี่อันตรายเพียงใด…
“ไม่รู้เหมือนกันว่าบรรดาศิษย์น้องจะเป็อย่างไรกันบ้าง…” ยังมีเหล่าศิษย์สายตรงของสำนักเชียนซานอีกสี่คนที่มาพร้อมกับหวังจิ่งในครั้งนี้อีกด้วย ทว่าพวกเขากลับพลัดหลงกันหลังจากมาถึงได้ไม่นาน เมื่อคิดถึงเื่นี้ หวังจิ่งก็อดเป็กังวลไม่ได้…
สำนักเชียนซานอยู่ในสภาพอ่อนแอมานาน จึงไม่อาจทนต่อการสูญเสียศิษย์สายตรงอันล้ำค่าไปได้…
ทว่าเกาะแห่งนี้มีอันตรายอยู่รอบด้าน มีปีศาจมากมายคอยขวางกั้นอยู่ตลอดทาง แล้วมีหรือที่เขาจะหาศิษย์น้องที่พลัดหลงเจอได้ง่ายๆ?
ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าผู้าุโหลงเซี้ยงที่ตามมาด้วยจะหาพวกเขาเจอ…
คิดได้ดังนั้นหวังจิ่งก็นึกขึ้นได้พอดีว่าก่อนที่จะเดินทางมานั้น ผู้เป็อาจารย์ได้เสี่ยงคำทำนายให้
“ตามทำนายบอกว่าเ้าจะบรรลุขั้นบำเพ็ญที่เกาะแห่งนี้”
‘บรรลุขั้นบำเพ็ญ…’
‘ทว่าจะได้บรรลุเมื่อไหร่กันนะ?’
ในขณะที่หวังจิ่งกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก จู่ๆก็ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนสีทันที สายตาทั้งคู่จ้องเขม็งไปยังดงไม้หนาทึบนั้น ส่วนในมือก็ปรากฏเป็สายฟ้าสว่างขึ้น
“ใครน่ะ!”
เมื่อสิ้นเสียง ก็มีใครบางคนก้าวออกมา…
ที่แท้คนคนนั้นก็คือจงหยาง!
อ๋องมารน้อยจงหยางจากสำนักโยวิ!
ทว่าตอนนี้จงหยางดูสะบักสะบอมไม่น้อยเลย ชุดคลุมสีดำบนตัวก็เต็มไปด้วยคราบเื ส่วนที่แขนก็มีาแมากมายคล้ายกับรอยข่วนของสัตว์ พลังปราณในตัวก็แปรปรวน อสุรกายกุ่ยหวังที่อยู่ด้านหลังก็แลดูเลือนรางไปมาก ดูท่าคงจะผ่านศึกหนักใช่เล่น จึงทำให้พลังปราณในตัวร่อยหรอถึงขนาดนี้
หวังจิ่งเห็นดังนั้นก็แค่นหัวเราะเ็าทันที…
“ที่แท้ก็เป็ศิษย์น้องจงนี่เอง…”
เมื่อเห็นว่าเป็จงหยาง หวังจิ่งก็ไม่คิดจะปั้นหน้ายิ้มใส่…
เพราะทั้งคู่เป็ศิษย์ของสำนักเชียนซานและสำนักโยวิเช่นกัน แถมยังเป็ศิษย์สายตรงที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักเหมือนกันอีกด้วย หลายปีมานี้ทั้งสองจึงเขม่นกันตลอดเวลา ไม่ต้องพูดถึงเื่อื่นๆเลย แค่ครั้งก่อนตอนที่ทั้งคู่เจอกันที่ท่าเรือ คุยกันดีๆแล้วด้วยซ้ำว่าจะจัดการหวงซีด้วยกัน ทว่าหลังจากหวงซีสะบั้นปีศาจสือชิงตาย ทั้งคู่ก็กลับมาแตกคอกันเองอยู่ดี
ดังนั้นพอเจอหน้ากัน ก็ไม่พ้นที่จะทะเลาะกัน…
“ทำไมเ้าถึงดูไม่จืดเช่นนี้ล่ะ?”
หวังจิ่งเองก็พยายามฟื้นฟูพลังปราณไปด้วย แต่ก็พูดถากถางจงหยางไม่หยุด…
จะว่าไปก็แปลก ครั้งนี้จงหยางไม่ปริปากเถียงออกมาแม้แต่น้อย ทว่าเขากลับหาที่นั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะล้วงเอาขวดหยกในอกเสื้อออกมาเทยาลูกกลอนสองเม็ดเข้าปาก จากนั้นก็เริ่มโคจรพลังปรับสมดุลปราณ โดยไม่สนใจหวังจิ่งแม้แต่น้อย
“…” หวังจิ่งเห็นอีกฝ่ายไม่โต้ตอบก็รู้สึกหมดสนุกทันที จากนั้นก็ยิ้มแห้งและหาที่นั่งลงปรับสมดุลพลังบ้างเช่นกัน
ภาพตอนนี้จึงดูประหลาดไม่น้อย…
คนหนึ่งเป็ศิษย์สายตรงอันดับหนึ่งของสำนักโยวิ อีกคนก็เป็ศิษย์สายตรงอันดับหนึ่งของสำนักเชียนซาน ปกติจะแข่งกันให้รู้แพ้รู้ชนะตลอด แถมยังทะเลาะกันจะเป็จะตายทุกเมื่อ
ทว่าบัดนี้ทั้งคู่กลับนั่งลงข้างกันอย่างสงบเสงี่ยม…
และก็เป็เช่นนี้อยู่ประมาณครึ่งชั่วยาม ในที่สุดสีหน้าจงหยางก็ดีขึ้นเล็กน้อย หลังจากลืมตาขึ้นมาก็เห็นหวังจิ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลกัน
“สภาพเ้าเป็ขนาดนี้ แล้วยังจะกล้าเยาะเย้ยข้าอีกหรือ?”
“…” หวังจิ่งที่เพิ่งกลืนยาลูกกลอนลงไป บัดนี้กำลังโคจรพลังให้ยาออกฤทธิ์อยู่ จึงต้องกลั้นคำพูดโต้กลับเอาไว้จนแทบสำลัก บัดนี้เขาไม่อาจว่อกแว่กได้เลย จึงทำได้เพียงก่นด่าบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของอีกฝ่ายในใจแทน ขณะเดียวกันก็พยายามโคจรพลังให้ยาออกฤทธิ์เร็วที่สุด…
สุดท้ายหลังจากยาออกฤทธิ์ อาการาเ็จึงทุเลาลง หวังจิ่งลืมตาขึ้น คิดจะต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายต่อ แต่กลับคิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันจะเอ่ยออกมา จงหยางก็ถามคำถามขึ้นมาแทน
“ตลอดทางมานี้เจอปีศาจเยาเจี้ยงไปกี่ตนแล้วล่ะ?”
“ห้าตน…” หวังจิ่งพูดจบ ก็นึกเสียดายไม่น้อย ‘บ้าเอ๊ย ตอนนี้ควรเป็เขาที่เปิดปากแขวะอีกฝ่ายมากกว่าด้วยซ้ำ มัวมาชวนคุยเรื่อยเปื่อยว่าเจอปีศาจมากี่ตนเนี่ยนะ?’
จงหยางได้ยินดังนั้นก็ยกยิ้มออกมา
“ส่วนข้าเจ็ดตน…”
เมื่อสิ้นเสียงจงหยาง บรรยากาศรอบด้านก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที…
ห้ากับเจ็ดตน…
ที่จริงจำนวนนี้ก็ถือว่าไม่ต่างกันเท่าไรนัก ทว่าเมื่อรวมเข้ากับคำว่าปีศาจขั้นเยาเจี้ยง มันจึงมีความหมายที่แตกต่างออกไป สำหรับปีศาจขั้นเยาเจี้ยงนั้น หากคิดเป็ปีศาจนับหมื่นตน ก็ไม่แน่จะว่าเจอปีศาจเยาเจี้ยงสักตนหรือไม่ บัดนี้ทั้งคู่กลับเจอไปแล้วสิบสองตน จึงถือว่าเป็ตัวเลขที่น่าสะพรึงกลัวเลยทีเดียว…
ดังนั้นการที่ทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ จึงถือว่าไม่ง่ายเลย…
แถมทั้งคู่ยังเพิ่งมาถึงเกาะแห่งนี้ได้เพียงสามวันเท่านั้น…
หากอยู่สักห้าถึงหกวัน หรือแปดถึงสิบวันล่ะ?
เพียงครู่เดียวจงหยางก็เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“ไปพร้อมกันไหมล่ะ?”
“พร้อมกัน?” หวังจิ่งได้ยินเช่นนั้นก็ะเิหัวเราะออกมาทันที
“ข้าไม่กล้าไปกับเ้าหรอก การกระทำของเ้าครั้งก่อนที่ท่าเรือ ข้ายังจำได้ดีอยู่เลย…”
“ฮ่าๆ…” หวังจิ่งคิดไม่ถึงว่าหลังจากจงหยางได้ยินสิ่งที่เขาพูด เขาจะไม่มีท่าทีกระดากเก้อแม้แต่น้อย แถมยังมีหน้ามาหัวเราะอีก เป็นานกว่าจงหยางจะพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอก หากครั้งนี้เจออันตรายอีกละก็ ข้าจะทิ้งเ้าแล้วหนีก่อนแน่นอน…”
“…”
หวังจิ่งได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับมึนงงอย่างหนัก สายตาก็จ้องจงหยางอยู่นาน ในที่สุดก็ะเิหัวเราะออกมาเช่นกัน…
แน่นอนว่าทั้งคู่เป็คู่ปรับกันมานาน ปกติก็มักจะหวังให้อีกฝ่ายเจอเคราะห์หนัก ถึงกับแช่งให้มีหินตกจากฟ้ามาทับตายเลยยิ่งดี จึงไม่ต้องพูดถึงเื่การอยู่ในเกาะที่เต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้ว่าจะมีชีวิตรอดได้หรือไม่
จงหยางพูดถูก หากเจออันตรายละก็ เขาจะต้องสลัดตนเองทิ้งอย่างไม่ลังเลเป็แน่ ในขณะเดียวกัน หากเจออันตราย หวังจิ่งก็สามารถลากจงหยางมาเป็โล่กำบังได้อีกด้วย…
ไม่มีใครดีไปกว่าใครทั้งนั้น…
หากเป็ในยามปกติ ทั้งคู่คงไม่คิดจะร่วมมือกันแม้แต่น้อย…
ทว่าพออยู่ในเกาะที่เต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้ นอกจากการร่วมมือกันแล้ว ก็ไม่เหลือทางอื่นอีก…
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------