หญิงสาวผู้นี้พูดสำเนียงอวี้หนาน
มันชัดเจนมากจนเซี่ยต้าจวินไม่อาจมองข้ามได้
“ฉันเป็คนอันชิง มณฑลอวี้หนาน...”
ทันใดนั้นหญิงสาวก็จับแขนเสื้อของเขา “พี่ชาย ฉันมาจากเขตเหอตงของอวี้หนาน ช่างบังเอิญจริงๆ!”
เขตอันชิ่งกับเขตเหอจงอยู่ติดกัน เซี่ยต้าจวินก็รู้สึกบังเอิญยิ่งนัก อยู่ใกล้กันแค่นี้ สามารถเรียกได้ว่าเป็คนบ้านเกิดเดียวกัน เขาเดินชนคนบ้านเกิดเดียวกันจนาเ็ อยากพาเธอไปโรงพยาบาล แต่หญิงสาวกลับหน้าแดงแล้วผลักตัวเขาออก
“ไม่เป็ไรค่ะ ฉันไม่ได้เจ็บอะไรมาก”
เซี่ยต้าจวินเห็นเธอหันหลังวิ่งหนี แต่เท้ากะเผลกแบบนั้น เรียกว่าไม่เป็ไรได้ที่ไหน?
“เดี๋ยวก่อน สหายหญิงอย่าเพิ่งไป เท้าของเธอแพลงใช่ไหม”
เท้าแพลงแล้วยังจะวิ่งอีก เซี่ยต้าจวินไม่เข้าใจสักนิด แม้เขาจะไม่อยากเสียเงิน แต่เมื่อทำให้คนอื่นาเ็แบบนี้ เขาคงไม่งกถึงขั้นไม่อยากจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ ถ้าเป็สมัยที่ไม่มีเงิน เขาคงได้แต่เมินเฉย ทว่าปัจจุบันไม่ใช่อีกแล้ว ตอนนี้เขามีเงินแล้ว
เขารั้งตัวหญิงสาวไว้ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเธอก็ไม่ยอมไปโรงพยาบาล เพื่อพิสูจน์ว่าตนไม่เป็ไร เธอถึงกับะโสองครั้ง แต่กลับต้องขมวดคิ้วมุ่นเพราะความเ็ป
ยังจะมีอะไรต้องพูดกันอีก เซี่ยต้าจวินบังคับเธอไปที่โรงพยาบาลทันที
หมอบอกให้เธอพับชายกางเกงขึ้น ข้อเท้าเธอบวมมาก หมอเห็นแล้วก็ต่อว่าเซี่ยต้าจวินทันที
“คนไข้เท้าแพงจนบวมถึงเพียงนี้ยังจะให้เธอเดินมาโรงพยาบาลไกลขนาดนี้อีก คุณห้ามเดินเท้าเป็เวลาหนึ่งสัปดาห์ ใช้เท้าข้างนี้ให้น้อยที่สุด จึงจะหายเป็ปกติได้โดยเร็ว”
เซี่ยต้าจวินไม่ใช่คนละเอียดอ่อน
ชายหญิงต้องรักษาระยะห่าง เธอเป็สหายหญิงที่ยังสาว อายุอย่างมากคงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น จะให้เขาแบกเธอขึ้นหลังมาโรงพยาบาลตอนกลางวันแสกๆ หรือ?
เซี่ยต้าจวินมาฝากเงินที่โรงพยาบาลแต่ไม่ได้ขี่จักรยานมา เนื่องจากตู้เ้าฮุยไม่อนุญาตให้ข้างกายตนมีของอย่าง ‘จักรยาน’ เพราะมันจะทำให้คุณชายใหญ่อย่างเขาเสียหน้า คนที่ติดตามตู้เ้าฮุยต้องขับรถยนต์เท่านั้น ถึงอย่างไรตู้เ้าฮุยก็มีรถหลายคันให้ใช้ ทว่าเซี่ยต้าจวินขับรถไม่เป็ อีกทั้งคนอื่นต่างพากันรังเกียจเขา เขารับรู้ได้ว่าคนอื่นไม่ชอบหน้า เขาจึงไม่อยากรบกวนใคร
ด้วยเหตุนี้เซี่ยต้าจวินจึงเดินไปธนาคาร
หลังถูกหมอตำหนิ เขาไม่เถียงกลับสักคำ
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสหายหญิงคนนี้ชื่ออะไร เขาไม่รู้จักเธอเสียหน่อย
หมอจ่ายยาทาและยากินมาจำนวนหนึ่ง เซี่ยต้าจวินก็อดถามออกไปไม่ได้
“เธอเจ็บหนักแบบนี้ เมื่อกี้จะวิ่งอีกทำไม”
หญิงสาวก้มหน้าไม่พูดจา
เธอเป็คนผอม ผิวขาว พูดเสียงเบา เอะอะก็หน้าแดง อยากคุยด้วยยังลำบาก
เซี่ยต้าจวินไม่ใช่คนเข้าที่สังคมเก่ง เพราะถามหาสาเหตุไม่ได้เสียที เขาจึงขอพาเธอกลับไปส่ง
พอถามที่อยู่ของเธอ หญิงสาวก็เอาแต่ส่ายหน้า
เซี่ยต้าจวินถูกคุณชายใหญ่ตู้ดุด่ามาตลอดสองเดือนเต็ม เป็เหตุให้ไหวพริบของเขาเริ่มทำงานขึ้นมาบ้าง “เธอมีเื่ลำบากอะไรหรือเปล่า เราเป็คนบ้านเดียวกัน ถ้าช่วยได้ฉันก็จะช่วย”
หญิงสาวก้มศีรษะ น้ำตาร่วงพรู
“พะ พี่ชาย พี่เป็คนดีจริงๆ ฉันไม่อยากโกหกพี่ เมื่อกี้ฉันจงใจเดินชนพี่ ฉันชนมาหลายคนแล้ว แต่พี่เป็คนเดียวที่พาฉันไปโรงพยาบาล...”
จงใจชน?
ชนคนอื่นมาแล้วหลายครั้ง?
เซี่ยต้าจวินหยุดคิด “เธออยากหลอกเงินคนอื่นอย่างนั้นหรือ?”
เซี่ยต้าจวินเคยเจอคนประเภทนี้ตอนเดินทางมาทำงานที่ทางใต้ เขาเรียกว่าพวก ‘ตบทรัพย์’ แกล้งเดินชน แล้วทำเหมือนของมีค่าของตนเสียหาย จากนั้นก็ขอให้คนอื่นชดใช้ แต่นั่นมีเพียงสิ่งของที่เสียหาย เขาไม่เคยเจอใครที่ใช้ตัวเองชนแบบนี้ แผลที่เท้าปลอมกันไม่ได้ เช่นนั้นมันจะเจ็บแค่ไหนกันนะ
น้ำตาของหญิงสาวไหลรินออกมาไม่หยุด เซี่ยต้าจวินเคยเจอพวกตบทรัพย์ ทว่าไม่เคยเจอใครยอมสารภาพเองแบบนี้มาก่อน
แถมยังเป็คนอวี้หนานบ้านเกิดเดียวกันอีกด้วย
เขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร หญิงสาวร้องไห้ไม่หยุดเสียที เซี่ยต้าจวินอดถามไม่ได้ “อย่าเพิ่งร้องไห้ ทำไมต้องหลอกเงินคนอื่นล่ะ จากบ้านมาแล้วหางานทำไม่ได้หรือ”
คนที่จากบ้านเกิดเมืองนอนมา ย่อมเป็คนที่อยู่บ้านเกิดไม่รอดอีกแล้วนั่นเอง
ในเมื่อเดินทางมาไกลถึงเผิงเฉิง ขอแค่ขยันขันแข็งก็ไม่ต้องกลัวว่าจะอดตาย
มีคนหาแรงงานเต็มไปหมด แม้แต่ร้านอาหารข้างทางยัง้าคนช่วยล้างจานเลยด้วยซ้ำ จะต่างกันก็ที่ระดับของเงินเดือนเท่านั้น
คำถามของเซี่ยต้าจวินเหมือนเป็การกดเปิดสวิตซ์คำพูดของหญิงสาว
ที่แท้เธอชื่อเสียวอวี่ เป็คนหมู่บ้านเล็กๆ ของเขตเหอตง เดิมทีมีคู่หมายอยู่ที่บ้านเกิด แต่ตอนหลังฝ่ายชายกลับขอยกเลิกการหมั้นหมายอย่างกะทันหัน เธอถูกคนที่บ้านเกิดหัวเราะเยาะจึงเดินทางเข้าเมืองมาทำงานเป็แม่บ้าน คุณนายเ้าของบ้านไม่ชอบเธอจึงไล่เธอออก เสียวอวี่ออกจากตำบลเหอตงเดินทางลงใต้ แต่ดันถูกคนหลอกเอาเงินบนรถไฟไปจนหมดตัว
“พวกเขาหลอกฉันให้ไปทำงานที่ห้องเต้นรำ แต่ฉันไม่ยอมดื่มเหล้าเต้นรำกับผู้ชายพวกนั้น ฉันเลยถูกพวกเขาจับขังไว้... ตอนหลังตำรวจบุกจับคนที่ห้องเต้นรำ ฉันจึงฉวยโอกาสหนีออกมาได้ ฉันไปสมัครงานที่โรงงาน แต่พวกเขาไม่รับฉันเข้าทำงาน ต่อมาฉันหิวจนทนไม่ไหวเลยคิดหลอกเงินคนอื่นเล็กๆ น้อยๆ ... พี่ชาย ฉันไม่ควรหลอกคนอื่นเลยใช่ไหม”
เซี่ยต้าจวินเองก็เคยถูกหลอกจนหมดตัวเช่นกัน
ไม่มีเงินกินข้าว ได้แต่ดื่มน้ำเปล่า นอนใต้สะพาน แถมยังต้องแอบขโมยมันเทศในไร่คนอื่นกินอีกด้วย
ทว่าเขาเป็ผู้ชาย นอนใต้สะพานไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร ต่างกับเสียวอวี่ ดูแล้วเธออายุแค่ยี่สิบกว่าเท่านั้น หากเธอไปนอนใต้สะพานคงไม่ปลอดภัยแน่นอน
เซี่ยต้าจวินไม่รู้ควรทำอย่างไรดี!
หากเขาไม่สนใจ เสียวอวี่ก็ดูน่าสงสารเหลือเกิน สายตาที่เธอใช้มองเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและคาดหวัง ราวกับเห็นเขาเป็คนดีศรีสังคม
ไม่มีใครใช้สายตาแบบนี้มองเขามานานแล้ว
เซี่ยต้าจวินออกจากอันชิ่งมาเพราะความคับข้องใจในตัวเอง เมียอยากจะฆ่าเขา ลูกสาวก็ไม่เชื่อใจเขา คนในครอบครัวก็หลอกเขากันหมด
แต่ผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้กลับเชื่อในตัวเขาอย่างนั้นหรือ?
“ไป ฉันจะพาเธอไปกินข้าวก่อน... ส่วนเื่อื่นกินเสร็จค่อยว่ากัน!”
เซี่ยต้าจวินไม่รู้เลยว่า ผู้หญิงบางคนห้ามแตะต้อง เพราะหากแตะเมื่อไรก็จะสลัดไม่หลุดอีกต่อไป
เขาดื่มด่ำอยู่กับการเป็วีรบุรุษของตนเอง ทั้งยังได้รับความเชื่อใจจากผู้อื่น และยังถูกฝากความหวังอีกด้วย
—--------------------------------------------------
“เธอถามถึงแม่ของเจียงหยวนหรือ?”
ทังหงเอินนึกไม่ถึงว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะโทรมาถามเกี่ยวกับเื่นี้
เขาฉุกคิดได้ในทันที “แม่เจียงหยวนไปหาเธอรึ!”
นิสัยของจี้หย่าเป็อย่างไร ทังหงเอินย่อมรู้ดี หากเธอผู้นั้นตัดสินอะไรแล้วไม่มีทางเปลี่ยนใจ เธอเป็คนยึดติดมาก ถึงกับไปก่อกวนเซี่ยเสี่ยวหลานเช่นนี้ แล้วเซี่ยเสี่ยวหลานจะเรียนหนังสือตามปกติได้อย่างไร
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้คำตอบที่เป็ประโยชน์จากหนิงเสวี่ย จี้เจียงหยวนเองก็ไม่มีทางพูดถึงแม่ตัวเองในแง่ร้าย นอกจากนี้เซี่ยเสี่ยวหลานเคยเจอคนอย่างติงอ้ายเจินมาก่อนจึงรู้สึกระแวงจี้หย่ามาก คิดไปคิดมา สุดท้ายคงทำได้เพียงถามทังหงเอิน
“คุณอาทัง ฉันว่าระบบความคิดของเธอไม่เหมือนคนทั่วไปสักเท่าไร ตระกูลจี้น่าจะมีเส้นสายอยู่ในแวดวงการศึกษา ถ้าเธอมาหาฉันบ่อยครั้ง...”
เซี่ยเสี่ยวหลานโชคร้ายโดยแท้
หากไม่ใช่เพราะเขาเป็เหตุ ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานต้องติดต่อกับเจียงหยวนหลายครั้ง เธอก็คงไม่ถูกจี้หย่าหมายหัวเช่นนี้
แม้จะไม่ได้เห็นกับตา หรือได้ยินกับหู แต่ทังหงเอินก็สามารถจินตนาการออกเลยว่า คำพูดของจี้หย่าจะแสลงหูแค่ไหน แน่นอนว่าคงไม่ใช่การด่าแบบหยาบคาย แต่เธอจะใช้วาจาที่ทิ่มแทงเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของคนอื่นไว้ใต้เท้า และบดขยี้ซ้ำๆ
ทังหงเอินคิดถึงตรงนี้แล้วก็รู้สึกว่า เซี่ยเสี่ยวหลานช่างโชคร้ายเหลือเกิน
คุณตาจี้จากโลกนี้ไปแล้ว ดังนั้นเขาควรไปแสดงความเคารพต่ออดีตพ่อตาของตนเสียหน่อย
“รอฉันไปที่ปักกิ่งก่อน แล้วฉันจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง ไม่ต้องห่วง อยู่ที่มหาวิทยาลัยให้สบายใจเถอะ มีอาทังคนนี้อยู่ทั้งคน!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้