เวลา 8:30 น. เหล่านักศึกษาเริ่มรับบัตรเข้าสอบเพื่อทำการเข้าแข่งขัน
การรับบัตรจะเรียงตามมหาวิทยาลัย ทั้งประเทศมีนักศึกษาจำนวน 200 คนที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ และบางมหาวิทยาลัยไม่มีผู้ผ่านเข้ารอบเลยก็มีเช่นกัน
หาก้าแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ทางมหาวิทยาลัยย่อมต้องมีค่าใช้จ่าย ต่อให้มหาวิทยาลัยจะจนแค่ไหนก็คงไม่ตระหนี่ถึงขั้นนั้น ถึงอย่างไรก็เป็ถึงมหาวิทยาลัยของรัฐนี่นา
อาจารย์หลินยื่นภาพถ่ายของนักศึกษาให้เ้าหน้าที่ตรวจสอบ โดยเ้าหน้าที่จะทำหน้าที่แจกบัตรให้เธอแปะรูปเอง หลังแปะเสร็จก็ทำการประทับตรา เมื่อเสร็จเรียบร้อยอาจารย์หลินก็เบียดตัวออกมา
เธอส่งบัตรเข้าสอบให้เซี่ยเสี่ยวหลาน พร้อมกำชับว่าอย่าประหม่า
“ทำให้เต็มที่ล่ะ เธอทำได้อยู่แล้ว!”
อาจารย์หลินจับจุดได้แล้ว ตอนนั้นที่หัวชิงเข้าร่วมการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ แน่นอนว่ามีคนที่ระดับภาษาอังกฤษไม่ได้ด้อยไปกว่าเซี่ยเสี่ยวหลาน แต่ทำไมสุดท้ายแล้วเซี่ยเสี่ยวหลานถึงได้ผ่านเข้ารอบชิงน่ะหรือ อาจารย์หลินพบว่าเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นมีความเชี่ยวชาญด้านการสอบมาก ไม่ว่าโจทย์ที่ได้มาจะยากหรือง่าย เมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานได้ข้อสอบมาแล้วจะสงบนิ่งมาก
แค่ไม่ใจร้อนก็มีชัยไปมากกว่าครึ่ง บางคนมีความรู้ท่วมหัวทว่าพอถึงตอนสอบแล้วกลับตื่นเต้นเสียจนนึกอะไรไม่ออก หากเป็เช่นนั้นต่อให้เก่งกาจแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ สู้คนที่มีความรู้แค่แปดสิบเปอร์เซ็นต์แต่มีสติสัมปชัญญะไม่ได้ เพราะไม่อาจนำความรู้ที่เคยเรียนมาใช้ได้อย่างเต็มที่!
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้า
เวลานั้นไม่มีใครรู้เลยว่า ขณะนี้ทางสถานีโทรศัพท์ได้ทำการตั้งกล้องถ่ายทำแล้ว
ฟิล์มที่พกมาวันนี้มีจำนวนมากพอ ถ่ายพวกผู้เข้าแข่งขันไว้ กลับไปแล้วค่อยๆ ตัดเอาส่วนที่ใช้ได้มาก็พอ นักศึกษาจากทั่วทั้งประเทศมารวมตัวกันจำนวน 200 คน เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ ภาพนี้สามารถแสดงให้เห็นถึงความเป็การแข่งขันระดับประเทศอย่างแท้จริง
“ถ่ายภาพบรรยากาศเก็บไว้ให้เยอะหน่อย ดูทางนั้นสิ ยังไม่ทันสอบก็ร้องไห้เสียแล้ว ไม่มั่นใจหรืออย่างไรกัน?”
“นั่นเป็เด็กจากมหาวิทยาลัยไหน ดูสดใสมีพลังดีนะ”
คนที่พวกเขาบอกว่าร้องไห้ ที่จริงแล้วแค่ฝุ่นเข้าตาเท่านั้น
ส่วนคนที่ดูสดใสมีพลังก็คือเซี่ยเสี่ยวหลาน
แม้เธอจะห่อตัวเองแ่าราวกับลูกบอล แต่ก็เป็ลูกบอลที่งดงามเหลือเกิน อีกทั้งยังให้ความรู้สึกคุ้นตาเหมือนเคยเห็นใบหน้านี้จากที่ไหนมาก่อน
“ใช่เด็กที่เดินขบวนวันชาติปีที่แล้วหรือเปล่า?”
ทุกอย่างกระจ่างแจ้งทันที ใช่เด็กสาวคนนั้นจริงๆ ด้วย
หนึ่งในผู้เข้าร่วมเดินขบวนเกียรติยศของหัวชิงที่กล้องจับภาพนานถึงสามวินาทีคนนั้น หลังเสร็จพิธีเคราะห์ดีที่ช่างภาพไม่ถูกลงโทษ
โชคดีที่เบื้องบนไม่ได้ตำหนิอะไร และกระแสวิพากษ์วิจารณ์ก็เป็ไปในทิศทางที่ดี ผู้คนต่างคิดว่าทางสถานีโทรทัศน์ตั้งใจจับภาพระยะใกล้เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงภาพลักษณ์ในแง่บวกของเด็กสาววัยรุ่นที่สวย สะอาดสะอ้านและสดใส
การถ่ายทอดสดมักเกิดปัญหาต่างๆ นานา ส่วนการบันทึกภาพก็ไม่จำเป็ต้องระวังมากมายขนาดนั้น
นักศึกษาหญิงหน้าตาสะสวยดูสดใสทำไมกล้องจะไม่จับภาพสักหน่อยเล่า? กลับไปถ้าเ้านายไม่ชอบใจก็ค่อยตัดทิ้ง จนกระทั่งเหล่านักศึกษาถือบัตรเข้าสอบเดินเข้าห้องสอบไป กล้องถ่ายทำจึงปิดการใช้งาน
“เด็กสาวคนเมื่อครู่เป็นักศึกษาจากหัวชิงใช่ไหม”
“ใช่ ไม่รู้จะผ่านเข้ารอบสอบทักษะการพูดหรือเปล่า ถ้าเธอได้ออกทีวีคงได้ผลตอบรับที่ดีแน่นอน ถึงอย่างไรผู้ชมบางส่วนก็คงคุ้นหน้าเธอ”
เป็เด็กเก่ง ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา ทว่ายังมีสมองอีกด้วย
เข้าร่วมเดินขบวนเกียรติยศ ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศการแข่งขันภาษาอังกฤษ แน่นอนว่าคงไม่ต้องสงสัยเื่สติปัญญา อีกทั้งทางสถานทีโทรทัศน์ย่อม้าจุดดึงดูดผู้ชม เมื่อคิดถึงความรู้สึกตอนรับชมของผู้ชมทั้งหลายแล้ว แม้จะเป็การแข่งขันภาษาอังกฤษ แต่ใครบ้างที่จะไม่อยากดูของสวยๆ งามๆ ?
ทหารเชิญธงชาติที่จัตุรัสเทียนอันเหมินยังเลือกมาเฉพาะคนหน้าตาดีด้วยซ้ำ!
เพราะ้าให้การแข่งภาษาอังกฤษดูมีสีสัน ทางสถานีจึงส่งพิธีกรมาคนหนึ่ง และเพราะกลัวพวกหัวหน้าจากกระทรวงศึกษาธิการจะทำให้การแข่งทักษะการพูดกลายเป็เื่น่าเบื่อ จึงส่งพิธีกรมากประสบการณ์มาคอยสร้างบรรยากาศให้สนุกสนานมากขึ้น
อีกทั้งยังต้องจัดเตรียมผู้ชมมานั่งปรบมือ เพื่อช่วยกระทรวงศึกษาธิการทำการประชาสัมพันธ์ด้วย แน่นอนว่าทางสถานีโทรทัศน์ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว การเตรียมงานถ่ายทำในครั้งนี้ใช้เวลาไปไม่น้อย จะถ่ายอย่างไรเพื่อทำให้การแข่งทักษะการพูดดูมีจุดขาย พวกเขาล้วนได้ทำการประสานงานกับผู้จัดงานมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
“จริงสิ ตอนเที่ยงพวกเราต้องทานข้าวกับพวกหัวหน้ากระทรวงศึกษาธิการด้วย ดังนั้นตอนนี้ต้องรีบเก็บภาพในงานไว้เยอะๆ หน่อย”
คนอื่นในทีมงานถ่ายทำพยักหน้าตอบรับอย่างแข็งขัน ทุกคนแบกอุปกรณ์เดินผ่านหน้าสนามสอบ ถ่ายภาพเหล่านักศึกษากำลังขีดเขียนข้อสอบอย่างขะมักเขม้น ภาพเหล่านี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก บางคนทำสีหน้าสบายๆ บางคนมีสีหน้าเคร่งเครียด โดยเฉพาะตอนถึงรอบแข่งทักษะการพูดที่มีผู้ผ่านเข้ารอบเพียง 20 คน หากเอาภาพตอนพวกเขากำลังทำการสอบข้อเขียนมาเปรียบเทียบ รายการคงยิ่งน่าติดตามมากขึ้น
นักศึกษาจำนวน 200 คน ถูกแบ่งเข้าห้องสอบทั้งหมดจำนวน 5 ห้อง
ถ่ายภาพเหล่านี้เสร็จ เหล่าทีมงานถ่ายทำยังคงต้องถ่ายภาพตอนพวกนักศึกษาออกจากสนามสอบอีกด้วย
แม้พวกนักศึกษาจะสอบเสร็จแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่างานของพวกเขาจะเสร็จสิ้นตามไปด้วย ภาพการตรวจข้อสอบของเหล่าคณะกรรมการเองก็ต้องถูกบันทึกไว้เช่นกัน รายการจะต้องเรียบเรียงขั้นตอนการแข่งขันทุกขั้นตอนอย่างสมบูรณ์แบบ เวลากระชั้นชิดเช่นนี้ทางผู้บริหารของกระทรวงศึกษาธิการยังจะ้าเลี้ยงอาหารอยู่อีก เช่นนั้นตอนมื้อเที่ยงพวกเขาคงต้องรีบกินเหมือนจะไปออกรบอย่างแน่นอน
ทีมถ่ายทำเดินไปเดินมาหน้าสนามสอบอย่างเงียบเชียบที่สุด พวกเขาไม่กล้าส่งเสียงดังแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามเพราะรู้ว่าทางสถานีโทรทัศน์กำลังจับภาพของตนอยู่ ดังนั้นย่อมส่งผลต่อสมาธิของนักศึกษาบางส่วนอยู่ดี
เื่อย่างการออกโทรทัศน์ เมื่อก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานอาจจะพยายามระวังกิริยาท่าทางของตนเอง แต่ตอนนี้เธอไม่ว่างมาสนใจทีมงานถ่ายทำด้านนอกอีกแล้ว
เพราะปริมาณข้อสอบนั้นช่างเยอะเหลือเกิน!
การแข่งขันลักษณะนี้ล้วนเป็เหมือนกันหมด
ไม่มีทางที่จะได้คะแนนเต็ม ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับว่าในระยะเวลาที่กำหนดใครจะสามารถทำคะแนนได้เยอะกว่ากัน ดังนั้นเื่นี้นักศึกษาทุกคนจะต้องรู้จักเลือกทำข้อสอบที่ตนเองมั่นใจ
คำถามข้อละ 2 คะแนนถ้าลังเลอยู่หลายนาทีแล้วยังตัดสินใจไม่ได้ เมื่อเวลาหมดจะได้คะแนนสักเท่าไรกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานพยายามทำข้อสอบข้อที่ตนสามารถทำได้ให้มากที่สุด เมื่อเสียงกริ่งหมดเวลาดังขึ้น เธอเขียนคำศัพท์ตัวสุดท้ายลงไปอย่างลังเล โชคดีเหลือเกินที่เธอเขียนเรียงความเสร็จ้รียบร้อย คำถามพวกนี้ทั้งแปลกประหลาดและมีชั้นเชิง คำศัพท์ที่ไม่คุ้นตาเองก็มีจำนวนเยอะมาก เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นข้อสอบแล้วยังรู้สึกชาไปหมด นอกจากพยายามเชื่อมโยงแล้วเดาคำตอบยังจะสามารถทำอะไรได้อีก!
“หยุดมือได้แล้ว ห้ามเขียนคำตอบลงไปอีก!”
อาจารย์ผู้คุมสอบเก็บข้อสอบทีละคน เซี่ยเสี่ยวหลานตรวจชื่อตัวเองและมหาวิทยาลัยว่าเขียนถูกต้องหรือไม่ ก่อนจะส่งข้อสอบอย่างไม่ลังเล
เดินออกจากห้องเรียนมาก็พบกับอาจารย์หลินที่กำลังรออยู่
“ไปเถอะ พักผ่อนสักหน่อย บ่ายโมงตรงก็คงจะรู้ผลการตรวจข้อสอบแล้วล่ะ”
สายตาที่อาจารย์หลินมองเซี่ยเสี่ยวหลานก็คือสายตาสำหรับใช้มองลูกศิษย์คนโปรด ที่จริงศาสตราจารย์เฮ่อเองก็ชอบเซี่ยเสี่ยวหลานมากเช่นกัน ระหว่างการติวเข้มศาสตราจารย์เฮ่อเคยบอกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานมีพร์ทางด้านภาษา และถามเธอว่าอยากย้ายมาเรียนภาษาต่างประเทศบ้างไหม ทั้งเรียนสบายและดูมีระดับ นักศึกษาที่เรียนจบสาขาวิชาภาษาต่างประเทศถ้าไม่เป็ล่ามก็ได้ทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศ ไม่เหมือนภาควิชาสถาปัตยกรรม งานที่รัฐจัดสรรให้ล้วนลำบากตรากตรำเหลือเกิน
เซี่ยเสี่ยวหลานยืนกรานว่าไม่้าย้ายสาขาวิชา เธอเพิ่งเริ่มสนใจในศาสตร์ด้านสถาปัตยกรรม เพิ่งเรียนวิชาพื้นฐานจบหนึ่งภาคเรียนเท่านั้น จะให้ย้ายสาขาวิชาได้อย่างไรกัน!
ตู้เ้าฮุยเองก็เคยพูดว่า บนโลกนี้มีสถาปนิกหญิงชื่อดังแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ประธานเซี่ยฟังแล้วรู้สึกหงุดหงิดเป็อย่างยิ่ง
หลังสอบเสร็จก็ถึงเวลาตรวจข้อสอบ นักศึกษาทุกคนต่างกำลังรอผลการตรวจข้อสอบอย่างร้อนใจ เหล่าทีมถ่ายทำของสถานีโทรทัศน์เองก็วิ่งวุ่นมาตลอดทั้งเช้า หลังเก็บภาพการตรวจข้อสอบเสร็จ พวกเขาก็ต้องรีบไปทานอาหารกลางวัน
หัวหน้าจากกระทรวงศึกษาธิการบอกว่า้าทานข้าวกับพวกเขา ทีมงานถ่ายทำจึงต้องรีบไปหา
“นี่คือรองหัวหน้าหวังจากฝ่ายอุดมศึกษา และหัวหน้าจานจากฝ่ายอุดมศึกษา...”
ในห้องส่วนตัวของร้านอาหารมีคนนั่งอยู่จำนวนไม่น้อย นอกจากระดับหัวหน้าจากกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ยังมีอาจารย์สวีกั๋วจางที่เป็คณะกรรมการตัดสินนั่งอยู่ด้วย
ปีนี้ชายชราอายุ 70 แล้ว เส้นผมบนศีรษะขาวโพลน รูปร่างผอมแห้ง หว่างคิ้วและแก้มเต็มไปด้วยร่องรอยของวัยชรา ทีมงานถ่ายทำได้แต่มองซ้ายมองขวา ด้วยความไม่รู้ว่าควรนั่งตรงไหน รองหัวหน้าหวังจึงทักทายพวกเขาอย่างเป็มิตร
“ลำบากสหายจากสถานีโทรทัศน์แล้วจริงๆ ผมรู้ว่าภารกิจบันทึกภาพของพวกคุณสำคัญมาก ถ้าอย่างนั้นเลิกมีพิธีรีตอง แล้วรีบนั่งลงทานข้าวเถิด!”