“ก่อนอื่นเ้าต้องเปลี่ยนหยกเทพชูร่าให้กลายเป็มีดแกะสลักลายเทวะเสียก่อน นี่เป็วิธีการเปลี่ยนรูปลักษณ์ ส่วนสองรูปแบบนี้คือลายเส้นระดับปราณขั้นหนึ่ง เ้าควรเริ่มเรียนรู้ลายเส้นระดับปราณขั้นหนึ่งจากทั้งสองรูปแบบนี้เสียก่อน”
เสียงของซีเยว่ดังขึ้นในห้วงความคิดของมู่เฟิง จากนั้นข้อมูลจำนวนหนึ่งก็ได้หลั่งไหลเข้ามาในหัวของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่มู่เฟิงได้ทำความเข้าใจกับข้อมูลเหล่านี้ เขาก็เริ่มส่งพลังปราณเข้าไปในหยกเทพชูร่า ฉับพลันนั้นก็มีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์สีทองปรากฏให้เห็น พร้อมกับตัวหยกที่ยกตัวลอยขึ้นและเปล่งแสงสีโลหิตออกมา จากนั้นรูปลักษณ์ของตัวหยกก็ได้แปรเปลี่ยนไปในทันที มันกลายเป็มีดแกะสลักสีแดงโลหิตที่มีความยาวหนึ่งฟุต ปลายมีดของมันแหลมคมอย่างยิ่ง ส่วนพื้นผิวของด้ามมีดนั้นมีสีทองอร่าม
มู่เฟิงหยิบม้วนกระดาษหนังสัตว์ออกมาหนึ่งแผ่น จากนั้นเขาได้จุ่มคมมีดของมีดแกะสลักลงไปในขวดหยกที่บรรจุแก่นหมึกเอาไว้ คาดไม่ถึงว่าคมมีดจะสามารถดูดซับแก่นหมึกได้เป็อย่างดี
หลังจากดูดซับพลังของแก่นหมึกมายังมีดแกะสลักแล้ว น้ำหมึกสีแดงโลหิตก็ไหลออกมาจากส่วนปลายของคมมีด
“นับว่าไม่เลว เพียงครั้งแรกก็สามารถทำให้มีดแกะสลักปรากฏน้ำหมึกออกมาได้แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะมีพร์ในการเรียนรู้เื่นี้”
ซีเยว่ที่คอยมองอยู่ด้านข้างลอบพยักหน้ากับตัวเองด้วยความพึงพอใจ
มู่เฟิงหยิบมีดแกะสลักขึ้นมา ก่อนจะเริ่มวาดลายเส้นลงบนกระดาษหนังสัตว์ เนื่องจากนี่เป็ครั้งแรก ลายเส้นของเขาจึงค่อนข้างบิดเบี้ยวต่างจากภาพในหัวเล็กน้อย แต่เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาวาดลายเส้นตามภาพที่ปรากฏขึ้นในหัวต่อไป
ลายเส้นที่เขาแกะสลักออกมาในแผ่นแรกนั้น แน่นอนว่ามันล้มเหลวอย่างเห็นได้ชัด แต่เด็กหนุ่มยังคงไม่ย่อท้อ เขาลงมีดแกะสลักติดต่อกันอีกสามแผ่น ทว่าผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม ไม่สำเร็จเลยสักแผ่น
“ไอหยา ช่างโง่เขลานัก เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะเข้าไปในร่างของเ้าเพื่อควบคุมลายวาด จากนั้นเ้าก็คอยสังเกตดูว่าข้าวาดมันออกมาอย่างไร”
ซีเยว่ถอนหายใจออกมาก่อนจะกล่าวขึ้น
ความจริงแล้วไม่ใช่เพราะมู่เฟิงนั้นโง่เขลา เดิมทีแล้วสำหรับการวาดลายเส้นนั้น หากไม่เคยผ่านการฝึกฝนมานับครั้งไม่ถ้วนย่อมไม่มีทางทำสำเร็จได้โดยง่าย ดังนั้นยิ่งไม่จำเป็ต้องกล่าวถึงว่านี่คือครั้งแรกของมู่เฟิง
ทันใดนั้นซีเยว่พลันเปลี่ยนเป็ลำแสงสีทองและพุ่งเข้าสู่จิติญญาของเด็กหนุ่ม ดวงิญญาของนางได้หลอมรวมเป็หนึ่งกับร่างของมู่เฟิงชั่วคราว ต่อจากนั้นนางได้ควบคุมมือของเขาบรรจงวาดลายเส้นลงบนแผ่นกระดาษหนังสัตว์ในทันที
คมมีดของมีดแกะสลักกรีดตวัดพลิ้วไหวอย่างไหลลื่นราวกับสายน้ำ ต่างจากสิ่งที่มู่เฟิงทำออกมาเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง!
เพียงไม่นานกระดาษยันต์แผ่นหนึ่งก็ถูกบรรจงวาดออกมา
มู่เฟิงหยิบกระดาษยันต์แผ่นนั้นขึ้นมา ก่อนจะถ่ายเทพลังปราณเข้าไปภายใน จากนั้นเขาก็โยนมันไปยังมุมห้อง
บูม…!
แผ่นยันต์แผ่นนั้นได้ะเิออกมาอย่างรุนแรงจนก่อเกิดเสียงดังสนั่น คลื่นพลังะเิสีน้ำเงินได้แผ่ขยายออกเป็วงกลม อานุภาพพลังของมันช่างน่าใอย่างยิ่ง เทียบได้กับพลังโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่เลยทีเดียว!
“สุดยอด”
มู่เฟิงมองผลลัพธ์ของมันด้วยความใ
“หึๆ นี่คือลายเส้นะเิวารี เป็ลายเส้นพลังปราณชนิดหนึ่ง เ้าเห็นถึงอานุภาพพลังของนักสลักลายเส้นแล้วหรือยัง หากในอนาคตเ้าสามารถบรรจงวาดสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้ แผ่นยันต์เพียงหนึ่งใบก็มีอานุภาพพลังขนาดที่สามารถทำลายดวงดาวได้ทั้งดวง”
ดวงิญญาของซีเยว่ออกจากร่างของมู่เฟิง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เอาละ เ้าจงจดจำความรู้สึกในตอนที่ข้าวาดลายเส้นเอาไว้ให้ดี จากนี้พยายามฝึกฝนให้มาก”
มู่เฟิงพยักหน้า ก่อนจะหยิบกระดาษหนังสัตว์ออกมาอีกแผ่นเพื่อทำการฝึกฝนต่อ แม้ว่าครั้งนี้จะยังไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยเขาก็พัฒนาขึ้นมาก
หลังจากเขาทำการฝึกฝนหนึ่งครั้ง ซีเยว่ก็จะเข้ามาในร่างของเขาอีกหนึ่งครั้งเช่นกันเพื่อทำการสาธิต การฝึกของมู่เฟิงดำเนินไปเช่นนี้อยู่หลายสิบรอบ กระทั่งกล้ามเนื้อของเขาสามารถจดจำรายละเอียดของการวาดลายเส้นรูปแบบนี้ได้และกลายเป็สัญชาตญาณไปในที่สุด
จากม้วนกระดาษหนังสัตว์ทั้งหมดห้าโหล เวลานี้เหลือเพียงเจ็ดแผ่นสุดท้าย กระดาษหนังสัตว์จำนวนห้าโหลที่มีมูลค่าหลายร้อยเหรียญตำลึงทอง นอกจากแผ่นที่ซีเยว่เป็คนบรรจงวาดขึ้นมาแล้ว แผ่นอื่นที่มู่เฟิงเป็คนวาดล้วนเปล่าประโยชน์
มู่เฟิงยังคงตั้งใจบรรจงวาดลายเส้นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากผ่านการฝึกฝนมาหลายสิบครั้ง และด้วยความช่วยเหลือของซีเยว่ ทำให้ลายเส้นในครั้งนี้ของเขาดูไหลลื่นขึ้น ขณะบรรจงวาดลายเส้นตามแบบในความทรงจำ น้ำหมึกก็เริ่มซึมลึกตามลายเส้นบนแผ่นกระดาษ
หลังจากจรดคมมีดลงไปในตำแหน่งสุดท้าย เส้นหมึกสีโลหิตบนกระดาษหนังสัตว์พลันเปล่งแสงสีน้ำเงินออกมาทันที จากนั้นมันได้ซึมลึกเข้าสู่ม้วนกระดาษหนังสัตว์และกลายเป็แผ่นยันต์ที่สมบูรณ์ในที่สุด
มู่เฟิงรู้สึกยินดีอย่างมาก “ฮ่าๆ ข้าทำสำเร็จแล้ว ซีเยว่ เ้าดูสิข้าทำสำเร็จแล้ว”
มู่เฟิงหยิบกระดาษยันต์แผ่นนั้นขึ้นมาก่อนจะะโโลดเต้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“นับว่าทำได้ไม่เลว ในเมื่อสามารถวาดลายเส้นออกมาได้สำเร็จ ถือว่าขาข้างหนึ่งของเ้าได้ก้าวเข้าสู่หนทางของนักสลักลายเส้นแล้ว เ้าจงไปนำอาวุธออกมาจำนวนหนึ่ง ข้าจะสอนเ้าวาดลายเส้นอาวุธ คุณสมบัติอย่างหนึ่งของนักสลักลายเส้นนั้นก็คืออย่างน้อยต้องสามารถวาดลายเส้นอาวุธได้”
ซีเยว่พยักหน้า
หากคนอื่นได้ทราบถึงเื่นี้ ย่อมต้องตกตะลึงอย่างมากเป็แน่ มู่เฟิงใช้เวลาเพียงหนึ่งวันก็สามารถวาดลายเส้นพลังปราณออกมาได้หนึ่งชนิดแล้ว หากเปลี่ยนเป็คนอื่น เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามเดือน
แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อมู่เฟิงมีซีเยว่เป็อาจารย์ผู้สอน ซึ่งนางได้ถ่ายทอดความรู้ให้เขาทั้งคำพูดและการกระทำ ประกอบกับความสามารถในการทำความเข้าใจของเด็กหนุ่มที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นผลลัพธ์ที่ได้ย่อมเป็สิ่งที่เหนือไปจากธรรมชาติของคนปกติ
มู่เฟิงพยักหน้า จากนั้นเด็กหนุ่มได้บรรจงวาดลายเส้นพลังปราณลงไปบนกระดาษหนังสัตว์ที่เหลืออยู่อีกไม่กี่แผ่น จนกระทั่งถึงแผ่นสุดท้าย แต่ฉับพลันนั้นเขากลับรู้สึกว่าภาพตรงหน้าได้มืดดับลง และในวินาทีต่อมาเด็กหนุ่มก็พลันสลบไสลอยู่ในห้องฝึก
การแกะสลักลายเส้นนั้นจำเป็ต้องใช้จิติญญาอย่างมาก แต่มู่เฟิงกลับสามารถฝึกแกะสลักลายเส้นลงบนแผ่นกระดาษได้ถึงห้าโหลในครั้งเดียว ซึ่งการที่เขาสามารถทำเช่นนี้ได้นั้นเป็เพราะพลังิญญาของเขาแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป
ซีเยว่มองไปยังมู่เฟิงที่นอนหลับใหลไม่ได้สติ สีหน้าของนางเผยความอ่อนโยนออกมา
“ป้าซิน ท่านไม่จำเป็ต้องกังวล ในอนาคตเฟิงจะต้องยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งและขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้อย่างแน่นอน...”
ในวันถัดมา เมื่อตื่นขึ้นจากการหลับใหลมู่เฟิงก็ลุกบิดี้เี พลังจิติญญาของเขาได้รับการฟื้นฟูกลับมาอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว หลังออกมาจากห้องฝึกซ้อม เด็กหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังร้านขายอาวุธในเมืองอันหนานทันที คราวนี้เขาทำการซื้ออาวุธกลับมาหลายสิบชิ้น
อาวุธหลายสิบชิ้นนี้ใช้เงินเหรียญตำลึงทองเกือบทั้งหมดของเขาเลยทีเดียว
หลังกลับมาถึงห้องฝึก ซีเยว่ได้เริ่มสอนวิธีการวาดลวดลายลงบนอาวุธให้กับมู่เฟิงในทันที
ปลายมีดแกะสลักนั้นมีความคมเป็พิเศษ คมมีดของมันสามารถสลักลงบนพื้นผิวของอาวุธได้โดยตรง แก่นหมึกได้ไหลซึมออกมาตามลายเส้น
หลังจากบรรจงวาดจนเสร็จสิ้น ดาบสีขาวเล่มยาวพลันปรากฏเสียงแตกหักดังออกมาในทันที!
เห็นได้ชัดว่าการสลักลายเส้นในครั้งแรกของเขานั้นล้มเหลว
ดวงิญญาของซีเยว่เข้าสู่ร่างของมู่เฟิงอีกครั้งเพื่อสอนวิธีการวาดลายเส้นลงบนอาวุธ ขั้นแรกของการวาดลายเส้นอาวุธสิ่งสำคัญคือ่ความกว้างของการบรรจุคลื่นพลังปราณ เมื่อส่งพลังปราณเข้าสู่อาวุธย่อมทำให้ผลลัพธ์ของการโจมตีทรงพลังขึ้น
หลังจากเวลาล่วงเลยผ่านไป อาวุธชิ้นแล้วชิ้นเล่าล้วนถูกมู่เฟิงทำเสียเปล่า แต่เด็กหนุ่มยังคงไม่ยอมแพ้ เขาพยายามบรรจงวาดลายเส้นต่อไป และหากเมื่อใดที่ร่างกายของเขาทนไม่ไหว เขาจะหยุดพักชั่วครู่เพื่อฟื้นฟูพลังจิติญญา จากนั้นเขาก็จะบรรจงวาดลายเส้นใหม่อีกครั้ง
ณ เวลาเดียวกันนั้น ร้านค้าอาวุธของตระกูลมู่ภายในเมืองอันหนาน
“ไอหยา ข้าว่าตระกูลมู่ของพวกเ้าต้องมีปัญหาแน่ ครั้งก่อนเหล่าจือ*มาสั่งทำอาวุธ กระทั่งเงินมัดจำก็ให้ไปแล้ว แต่รอจนถึงตอนนี้อาวุธก็ยังไม่ได้ เช่นนี้เงินมัดจำของพวกข้าไม่เสียเปล่าหรอกรึ คืนเงินพวกข้ามาเลย คืนเงินมา!”
(*คำเรียกตัวเองเวลายกตนเหนือคนอื่น)
เวลานี้บริเวณหน้าร้านขายอาวุธของตระกูลมู่ได้มีคนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกันส่งเสียงโวยวายไม่หยุด
“ต้องขออภัยทุกท่านด้วย พวกท่านจะได้รับอาวุธที่สั่งทำอย่างแน่นอน เพียงแต่ช่วยยืดเวลาให้อีกสองสามวันได้หรือไม่ อีกเพียงสองสามวันเท่านั้น”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทากล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ยืดเวลาทวดเ้าสิ ข้ารอมานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว ทำไม ตระกูลมู่ของพวกเ้าคิดจะอมเงินมัดจำของเรารึ? จงรีบคืนเงินมาเสีย คืนเงินมา”
ชายร่างกำยำผู้หนึ่งคว้าคอเสื้อของหลงจู๊*วัยกลางคนพร้ะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
(*ผู้จัดการดูแลร้าน)
“คืนเงินมา คืนเงินมาเสีย!”
ส่วนคนอื่นต่างตระโกนขึ้นเป็เสียงเดียวกัน
ภายในห้องส่วนตัวบนชั้นสองของโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มแขนเดียวกำลังมองฉากนี้ด้วยความเย้ยหยัน ขณะที่แขนข้างหนึ่งของเขากำลังโอบกอดหญิงงามเอาไว้
“ตระกูลมู่ พวกเ้าอย่าได้คิดว่าตระกูลหวงของข้าจะไม่มีวิธีจัดการกับพวกเ้า ข้าจะทำให้พวกเ้าตระกูลมู่ไม่อาจทำอันใดในเมืองอันหนานได้อีก ให้พวกเ้าได้รู้ซึ้งถึงความผิดที่บังอาจทำให้ตระกูลหวงของข้าต้องขุ่นเคือง”
เด็กหนุ่มกล่าวขึ้นอย่างเย้ยหยัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้าย
ในขณะเดียวกันนั้น หน้าร้านขายยาของตระกูลมู่ก็ได้เกิดข้อพิพาทในเื่นี้ขึ้นเช่นกัน
“ฮึ่ม ข้าให้เวลาพวกเ้าช้าสุดสามวัน หากว่าข้ายังไม่เห็นอาวุธของข้าอีก เหล่าจือจะทุบทำลายร้านของพวกเ้าให้ย่อยยับ!”
หลังจากคนกลุ่มนั้นได้ระบายความโกรธแล้วพวกเขาก็เดินจากไป หลงจู๊วัยกลางคนจัดระเบียบเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“หากอาวุธยังไม่มาอีก เกรงว่าชื่อเสียงของตระกูลมู่ในเมืองอันหนานคงถูกทำลายจนย่อยยับเป็แน่แล้ว”