ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ อันเกอเอ๋อร์ก็สะอึกสะอื้นและร้องไห้งอแงขึ้นมา ติงเหว่ยรีบอุ้มเขาอย่างรวดเร็วเพื่อจะพาไปปัสสาวะ อวิ๋นอิ่งหยิบโถปัสสาวะที่อยู่ปลายเตียงเตาขึ้นมา เ้าเด็กอ้วนปัสสาวะเสร็จแล้วก็รู้สึกสบายตัว ปากเล็กๆ ของเขาขมุบขมิบไปมาแล้วก็ผล็อยหลับไป
ติงเหว่ยมองอย่างขบขัน นางจูบไปที่ใบหน้าเล็กๆ ของเขาและวางเขานอนลงอีกครั้ง ทันใดนั้นนางก็รู็สึกเหมือนได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยอีกครั้ง นางจึงขมวดคิ้วและถามว่า “อันเกอเอ๋อร์ไปที่เรือนหลักมาอย่างนั้นหรือ?”
แขนที่กำลังจะรินชาของอวิ๋นอิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง ปากของนางกลับตอบอย่างสบายๆ ว่า “เมื่อครู่นี้ข้าอุ้มเขาออกไปอาบแดดเล็กน้อย ท่านพ่อบุญธรรมมาเห็นเข้าก็ชอบใจจึงเข้ามาอุ้มเขาไปเล่นสักพักหนึ่ง”
ติงเหว่ยนึกถึงท่าทางใจดีของท่านลุงอวิ๋นเวลาที่เห็นลูกชายของนาง จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า “ท่านลุงอวิ๋นเป็คนที่รักเด็กจริงๆ”
ภายในเวลาไม่นานเฉิงเหนียงจื่อก็ยกก๋วยเตี๋ยวไก่เข้ามา พอดีกันกับที่เสี่ยวชิงไม่มีอะไรทำในครัวนางก็เลยมาร่วมสนุกด้วยกัน
ขณะที่ติงเหว่ยกำลังกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ เสี่ยวชิงก็นั่งลงข้างๆ นางกะพริบดวงตากลมโตของนางแล้วถามว่า “พี่ติง เมื่อไรพี่จะจัดการกับขนไก่และขนเป็ดพวกนั้นล่ะ? ทุกคนต่างก็อยากรู้อยากเห็น เมื่อวานยังมีคนมาถามข้าด้วย”
ติงเหว่ยหัวเราะออกมา นางตักก๋วยเตี๋ยวมากินหนึ่งคำและพูดตำหนิว่า “เ้านี่นะ มีความอยากรู้อยากเห็นเช่นนี้ ทำไมไม่เอาไปครุ่นคิดเกี่ยวกับทักษะการทำอาหารให้มากกว่านี้ ก๋วยเตี๋ยวชามนี้หากต้มในน้ำเดือดอีกสักรอบก็จะทำให้เส้นหนึบหนับมากขึ้น”
เสี่ยวชิงหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย นางแลบลิ้นอย่างซุกซนและพูดติดตลกว่า “ถ้าพี่สาวไม่อยู่ข้างๆ คอยเตือนข้า ข้าก็มักจะลืมง่ายไปหมด”
ติงเหว่ยยื่นตะเกียบไปเคาะๆ นาง และก็พูดว่า “อีกเดี๋ยวข้าจะไปหานายท่านเพื่อปฏิบัติตามธรรมเนียมฉิงอัน [1] พอกลับมาก็จะเริ่มเย็บขนไก่และขนเป็ดพวกนั้น หากตอนนั้นเ้าทำงานเสร็จหมดแล้วก็มาร่วมสนุกด้วยกันก็ได้”
“ตกลงๆ”
ไม่เพียงเสี่ยวชิงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเฉิงเหนียงจื่อและอวิ๋นอิ่งด้วยเมื่อพวกนางได้ยินดังนี้ก็พากันหัวเราะ ทุกคนล้วนมีความอยากรู้อยากเห็น อีกอย่างทุกอย่างที่ติงเหว่ยทำออกมาล้วนเป็สิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอ พวกนางเองก็ตั้งตารอคอยมาหลายวันแล้ว
และเป็อย่างที่คาดไว้เมื่อติงเหว่ยกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จนางก็ไปที่เรือนหลักทันที ปรากฏว่ากงจื้อิกำลังนอนกลางวันอยู่ นางจึงคำนับที่ด้านนอกประตูแล้วเดินเลี้ยวกลับมา
……
ขนไก่และขนเป็ดพวกนั้นได้ถูกซักและนำมาตากแห้งตั้งนานแล้ว ขนที่กระจัดกระจายเ่าั้ถูกนำมาตบๆ ใส่ในถุงได้เต็มๆ สองใบ ติงเหว่ยลองหยิบขึ้นมาดมหนึ่งกำมือแล้วไม่มีกลิ่นเลยแม้แต่นิดเดียวถึงได้คิดจะทำเสื้อผ้าสักหน่อย
ถึงแม้อันเกอเอ๋อร์จะไม่ค่อยออกไปข้างนอกบ่อยนัก แต่ปกติแล้วเขาก็ยังถูกอุ้มเดินไปรอบๆ ลานกว้างเพื่ออาบแดด ถ้าจะให้ดีก็ต้องทำผ้าหุ้มห่อทารกสักผืน ท่านลุงอวิ๋นเองก็อายุมากแล้ว เมื่อวันก่อนนางเพิ่งได้ยินว่าจะให้ท่านป้าหลี่ทำผ้านวมหนักแปดจิน ดังนั้นคราวนี้นางจะให้ผ้าห่มขนเป็ดที่ทั้งเบาบางและยังช่วยรักษาความอบอุ่นให้เขาสักผืน ปกติเฟิงจิ่วจะยืนซ่อนตัวอยู่ในแต่ละมุม เช่นนั้นก็ทำกางเกงขนเป็ดให้เขาสักตัวแล้วกัน ส่วนของกงจื้อิ อีกไม่กี่วันเขาก็จะฝึกเดินแล้ว เสื้อคลุมผ้าฝ้ายของเขามีน้ำหนักมากเกินไป เช่นนั้นก็ทำหม่าเจี้ย [2] และกางเกงให้เขาสักชุดดีกว่า…
หลังจากวางแผนได้เช่นนี้ ติงเหว่ยพบว่าขนไก่และขนเป็ดที่นางเก็บไว้ดูเหมือนจะมีไม่เพียงพอ อย่างน้อยนางและอวิ๋นอิ่งก็ไม่ได้ถึงหนึ่งชุด ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามากังวลเื่นี้ อย่างไรก็ควรติดอาวุธให้กับผู้สูงอายุ เด็ก และผู้ป่วยที่บ้านก่อนจะดีกว่า
ก่อนหน้านี้ท่านลุงอวิ๋นได้มอบผ้าฝ้ายเนื้อดีที่ทออย่างประณีตให้นางสองชิ้นซึ่งเอามาใช้เป็ผ้าซับในได้พอดี อวิ๋นอิ่งและเฉิงเหนียงจื่อต่างก็เชี่ยวชาญในการเย็บผ้า ส่วนอันเกอเอ๋อร์เ้าตัวป่วนก็หลับฝันหวานไปอีกครา
ทุกคนลงมือทำงานด้วยกัน ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็เย็บเสื้อกั๊กให้ท่านลุงอวิ๋นเสร็จ ติงเหว่ยเลือกผ้าไหมบางๆ สีแดงที่มีลายตัวอักษรอายุยืนปักไว้ออกมาผืนหนึ่งเพื่อใช้เป็ด้านหน้าของชุด จนกระทั่งถึงเวลาที่ฟ้ามืดก็เย็บรังดุมเข้าไปห้าเม็ดและในที่สุดก็ทำตุ้ยจินหม่าเจี้ย [3] เสร็จสมบูรณ์หนึ่งตัว
อวิ๋นอิ่งถือมันไว้ในมือเพื่อกะน้ำหนัก นางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “น้ำหนักเบาจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าจะอุ่นหรือไม่?”
ติงเหว่ยกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเย็นของกงจื้อิ นางตบก้นลูกชายที่เพิ่งจะหลับไปอีกสองสามครั้ง และกำชับกับสองคนว่า “มาทำงานกันก่อน หากว่าคืนนี้ไม่ง่วงค่อยทำเพิ่มอีกสองตัว”
อวิ๋นอิ่งและเฉิงเหนียงจื่อต่างก็ตกลง นึกไม่ถึงว่าพวกนางวางแผนการณ์ไว้เรียบร้อย ทว่าอันเกอเอ๋อร์กลับไม่ยอมให้แม่ของเขาทำ ‘กิจการเย็บปักถักร้อย’ หลังจากที่ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว เขาก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่ว่าจะปลอบอย่างไรก็ไม่สำเร็จ
ติงเหว่ยไม่รู้จะทำอย่างไร นางคิดจะตีลูกชายแรงๆ สักครั้ง แต่เมื่อยกมือขึ้นมาก็ทำใจไม่ลงจริงๆ
เมื่ออวิ๋นอิ่งเห็นเช่นนั้นก็ห่มผ้าให้อันเกอเอ๋อร์ด้วยวิธีที่คุ้นเคยอย่างคล่องแคล่ว ผ่านไปไม่ถึงสองเค่ออันเกอเอ๋อร์ก็นอนหลับฝันหวานอยู่ที่ข้างกายของกงจื้อิอีกครั้ง
ติงเหว่ยเห็นแล้วก็ทั้งโกรธและขบขัน เหตุใดเตียงเตาของตนเองถึงไม่อบอุ่นเหมือนของคนอื่น? หรือว่าจะเป็อย่างที่อวิ๋นอิ่งเคยบอกจริงๆ กงจื้อิมีกลิ่นอายของความร้ายกาจและโเี้จึงช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้ายให้ลูกชายของนางได้อย่างนั้นหรือ?
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เวลามาคิดถึงเื่พวกนี้ ลูกชายของนางมักจะเอาแต่ใจและทำตัวเป็เ้าบ้านเสมอ ในฐานะแม่แท้ๆ นางก็มักจะขอโทษแทนเขาอยู่เสมอ
“นายน้อย ข้าทำให้ท่านเดือดร้อนอีกแล้ว เอ่อ เดี๋ยวข้ารอให้เขาหลับสนิทเสียก่อน ข้าจะอุ้มเขา…”
“ไม่จำเป็” กงจื้อิโบกมือและตอบก่อนที่ติงเหว่ยจะพูดจบ “ข้าได้บอกท่านลุงอวิ๋นให้ทำความสะอาดห้องด้านข้างแล้ว ั้แ่พรุ่งนี้เป็ต้นไปพวกเ้าสองแม่ลูกย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนนี้”
“เอ๋ จะทำเช่นนั้นได้ยังไง?” ติงเหว่ยเอ่ยปากคัดค้านทันที นางยังหวังว่าหลังจากที่ปรนนิบัติรับใช้นายน้อยเสร็จนางจะพอมีช่องว่างเล็กๆ ให้ได้หายใจหายคอเสียบ้าง หากว่าย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ต้องอยู่ใต้จมูกของเ้าบ้านทุกวัน แล้วพวกนางสองแม่ลูกจะยังมีอิสระอยู่อีกอย่างนั้นหรือ
“นายน้อย อันเกอเอ๋อร์ยังเด็กอยู่เกรงว่าเขาจะเสียงดังจนรบกวนการพักผ่อนของท่าน มิสู้รอให้เขาโตกว่านี้สักหน่อยค่อยย้ายเข้ามาที่นี่…”
แต่น่าเสียดายที่กงจื้อิไม่ยอมให้นางได้ลังเล เขาหันไปหาอวิ๋นอิ่งและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เ้าไปเก็บสัมภาระของแม่นางมาซะ แล้วคืนนี้ก็ย้ายมาที่นี่เลย”
อวิ๋นอิ่งตอบรับแล้วหันหลังเดินจากไป ติงเหว่ยโกรธมากจนกลอกตาขึ้นไป้า แต่เมื่อนางหันไปมองหน้าอกเล็กๆ ที่ขยับขึ้นๆ ลงๆ ของลูกชายที่กำลังนอนหลับก็คลายความโกรธลง เอาเถอะ ถือเสียว่าเพื่อให้ลูกชายของนางได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่ นางเองก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามคำสั่ง
“รบกวนนายน้อยช่วยดูอันเกอเอ๋อร์สักครู่ได้หรือไม่ ข้าจะกลับไปเก็บของและสัมภาระ”
“เ้าไปเถอะ” กงจื้อิตอบเบาๆ และเขาก็ยกหนังสือในมือขึ้นมาอีกครั้ง
ติงเหว่ยแอบเบะปากของนาง แล้วเดินออกจากห้องไปด้วยความโกรธ
กงจื้อิได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินอยู่ในเรือนหายไปจึงวางหนังสือลงช้าๆ เขายื่นมือออกไปลูบผมที่ปรกบนหน้าผากลูกชายแล้วหัวเราะเบาๆ “อันเกอเอ๋อร์ แม่ของเ้าดื้อรั้นไปสักหน่อย ต่อไปย้ายมาอยู่กับพ่อ พ่อจะเล่นเป็เพื่อนเ้าเอง ดีหรือไม่?”
อันเกอเอ๋อร์ที่กำลังหลับอยู่ก็ย่นจมูกเล็กๆ ของเขาไปมา กำปั้นเล็กๆ ของเขาโบกไปนู่นไปนี่ กงจื้อิจึงหลบไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเมื่อเห็นว่าลูกชายไม่ได้มีท่าทีจะปล่อยน้ำออกมา เขาเองก็อดยิ้มไม่ได้
“เ้าเด็กดื้อ”
……
ติงเหว่ยย้ายไปที่เรือนหลักในชั่วข้ามคืน เสี่ยวชิงและเฉิงเหนียงจื่อต่างก็เพิ่งจะรู้ข่าวนี้ในวันรุ่งขึ้น สำหรับเฉิงเหนียงจื่อก็ถือว่ายังโชคดี ปกติแล้วอันเกอเอ๋อร์กินนมของนางนิดหน่อยใน่เวลากลางวัน ตอนกลางคืนติงเหว่ยก็เป็คนดูแลเขาด้วยตนเอง ดังนั้นการที่สองแม่ลูกย้ายเข้าไปอยู่ในเรือนหลักนางก็แค่เดินเพิ่มอีกไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง
ทว่าเสี่ยวชิงกลับรู้สึกงงงัน ครัวเล็กจะต้องย้ายตามติงเหว่ยเข้าไปที่เรือนหลักด้วย นางเป็แค่สาวใช้ตัวเล็กๆ ไม่มีทางที่จะมีสิทธิ์เข้าไปในเรือนหลักได้
ติงเหว่ยกังวลเกี่ยวกับของใช้ในครัวเรือนต่างๆ นางจึงตามหลินลิ่วมาด้วย ตอนที่เขามาเคลื่อนย้ายของจึงเห็นเสี่ยวชิงกำลังร้องไห้อย่างโศกเศร้าอยู่ ติงเหว่ยรู้สึกขบขันจึงดึงนางเข้ามาปลอบอยู่พักใหญ่
ติงเหว่ยนำเงินของตนเองที่ซ่อนไว้ออกมาแบ่งให้สาวใช้ห้าตำลึง จากนั้นท่านลุงอวิ๋นก็เข้ามาพอดีและสั่งให้เสี่ยวชิงไปทำงานที่ห้องครัวใหญ่กับท่านป้าหลี่
ท่านป้าหลี่มักจะมาที่ห้องครัวเล็กอยู่บ่อยๆ เสี่ยวชิงก็คุ้นเคยกับนางอยู่แล้ว เหตุใดจะไม่เต็มใจย้ายไป นางเก็บเงินที่ติงเหว่ยให้ไว้ในอ้อมแขนจากนั้นก็หยิบกระเป๋าเล็กๆ ของนางย้ายไปที่เรือนนอกอย่างมีความสุข
ก่อนที่นางจะออกไปก็ยังไม่ลืมขอร้องติงเหว่ยว่า “พี่ติง หากว่าพี่เย็บขนไก่และขนเป็ดพวกนั้นเสร็จแล้ว อย่าลืมเรียกข้ามาดูด้วยนะ”
ติงเหว่ยชอบในความเป็เด็กไร้เดียงสาของนางและสัญญาว่า “วางใจเถอะ ไม่แน่อาจต้องเรียกเ้ามาช่วยทำด้วยซ้ำ”
“ตกลง”
พวกนางทั้งสองพูดติดตลกและแยกย้ายกันไป กว่าติงเหว่ยจะย้ายครัวเล็กไปที่ห้องด้านข้างเรือนหลักเสร็จก็เป็เวลาสายมากแล้ว หลังจากหิมะตกท้องฟ้าก็แจ่มใส แม้ว่าดวงอาทิตย์จะยังไม่ได้ให้ความอบอุ่นมากนัก แต่ก็ยังทำให้ผู้คนรู้สึกมีความสุขเมื่อแสงแดดส่องไปที่พวกเขา
หิมะในจวนสกุลอวิ๋นถูกซานอีและคนอื่นๆ กวาดออกไปจนสะอาด เผยให้เห็นพื้นหินแกรนิตแกะสลัก ติงเหว่ยมองอย่างมีความสุขมากจนอยากพาลูกชายออกไปเดินเล่นสักหน่อย
กงจื้อิเอนตัวอยู่บนเตียงเตา มือหนึ่งของเขาอุ้มอันเกอเอ๋อร์ไว้ และอีกมือหนึ่งก็ถือปัวหลั่งกู่เขย่าไปมา อันเกอเอ๋อร์ร้อนใจอยากจะจับที่ปัวหลั่งกู่แต่ก็จับไม่ถึงสักที เขาโกรธจนดึงผมของท่านพ่อและประท้วงด้วยแรงทั้งหมดที่มี
ในขณะที่ติงเหว่ยกำลังเดินเข้าไปในประตูก็บังเอิญเห็นลูกชายกำลัง “ทำร้ายร่างกาย” อยู่พอดี นางจึงรีบก้าวไปข้างหน้าและแกะมือเล็กๆ ของเขาออกมา นางทำท่าจะตีเขาแล้วก็ดุไปด้วยว่า “เ้าเด็กดื้อคนนี้ เ้าซุกซนอีกแล้วนะ ไป แม่จะอุ้มเ้าไปตากแดดสักหน่อย”
ขณะที่พูดอยู่นางก็อุ้มลูกขึ้นมา อ้อมกอดของกงจื้อิว่างเปล่าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ปัวหลั่งกู่ในมือของเขาก็วางลงโดยไม่รู้ตัว นึกไม่ถึงว่าติงเหว่ยจะรีบพูดต่อขึ้นมาว่า “นายน้อย วันนี้แดดออกดีมาก มิสู้ท่านเองก็นั่งรถเข็นสักพักแล้วข้าจะพาท่านไปเดินเล่นรอบๆ ในลาน?”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของกงจื้อิทันที “ตกลง”
ติงเหว่ยห่อลูกชายของนางด้วยผ้าห่ม และเมื่อนางหันกลับมาเฟิงจิ่วก็ปรากฏตัวออกมาจากที่ใดไม่รู้แล้วก็ยกนายท่านขึ้นไปนั่งบนรถเข็น ในขณะที่ติงเหว่ยกลับไปหาผ้าห่มหนาๆ และเสื้อคลุมอีกครั้งก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเฟิงจิ่ว นางอดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “เหตุใดเสี่ยวจิ่วถึงได้ลึกลับซับซ้อนขนาดนี้ และเขาก็ไม่รู้จักมาช่วยข้าสักหน่อยอีก”
กงจื้อิยิ้มเฉยๆ โดยไม่พูดอะไร ติงเหว่ยเองก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะส่งลูกชายของนางให้กงจื้อิอุ้ม จากนั้นก็เข็นรถเข็นที่มีผู้ชายตัวโตหนึ่งคนและเด็กชายตัวเล็กอีกหนึ่งคนออกจากห้องไป
เฟิงจิ่วซ่อนตัวอยู่ใต้ชายคา เขาเบะปากขึ้นอย่างน้อยใจ เป็คนดีไม่เห็นจะได้ผลดีตอบแทนเลย...
บางทีลมเหนือคงจะพัดแรงมาหลายวันแล้วจึงรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย วันนี้เลยไม่ได้ออกมาเล่นเหมือนทุกที ใบไม้ของพุ่มไม้หลายต้นที่อยู่ตามมุมสนามก็ร่วงโรยหมดแล้วเหลือแค่กิ่งก้านที่แห้งแล้ง แต่ที่ใต้ฝ่าเท้าก็มีหิมะสีขาวกองอยู่ซึ่งก็ถือว่ายังดูมีชีวิตชีวาอยู่บ้าง
ติงเหว่ยเข็นรถเข็นไปรอบๆ ลานกว้าง แต่เมื่อนางพบอะไรใหม่ๆ ก็ไม่สนว่าลูกชายนางจะฟังเข้าใจหรือไม่ นางมักจะพูดออกมา “ลูกชาย สีขาวๆ นี่คือเสวี่ยฮวา [4] ดูน่าสนุกใช่ไหม เดี๋ยวรอเ้าโตแล้วแม่จะพาเ้าไปเล่นปาหิมะ พอถึงตอนนั้นค่อยให้ลุงสองของเ้าทำเลื่อนไม้ให้สักอัน เลี้ยงหมาตัวใหญ่ๆ สักสามสี่ตัว จากนั้นพวกเราสองแม่ลูกค่อยนั่งเลื่อนไปเที่ยวเล่นรอบๆ เมืองด้วยกัน”
ในขณะที่ติงเหว่ยกำลังพูดอยู่ นางก็เงยหน้าขึ้นไปและพบว่ามี “ผู้รอดชีวิต” แขวนอยู่บนกิ่งสูงๆ ของยอดต้นพลับสีส้มที่ดูสะดุดตาเป็พิเศษในโลกที่ถูกครอบงำไปด้วยสีขาว
“นี่ ลูกแม่เ้ารีบดูลูกพลับที่อยู่บนต้นไม้สิ! เดี๋ยวแม่จะเก็บลงมาให้เ้ากินเอง!”
ติงเหว่ยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา นางหันกลับไปปั้นก้อนหิมะและปาไปที่ยอดไม้ แต่น่าเสียดายที่ก้อนหิมะของนางน่าจะหลวมเกินไป และแรงของนางก็น้อย ทำให้ก้อนหิมะตกลงกลางทางไปกระแทกกับกิ่งไม้แล้วก็แตกออกเป็เสี่ยงๆ ละอองหิมะกระเด็นไปทั่วทั้งหน้าและศีรษะของนาง
ไม่รู้ว่าเป็เื่บังเอิญหรืออันเกอเอ๋อร์เข้าใจเื่อับอายขายขี้หน้าของท่านแม่จริงๆ จู่ๆ เขาก็หัวเราะคิกคักออกมา
กงจื้อิเองก็ทนไม่ไหวหัวเราะเสียงดังตามไปด้วย
ติงเหว่ยได้ยินเสียงหัวเราะก็หันศีรษะกลับมา เมื่อเห็นหนึ่งคนตัวโตและหนึ่งคนตัวเล็กกำลังหัวเราะอย่างมีความสุข นางจึงกระทืบเท้าด้วยความโกรธและอับอาย “พวกเ้าสองคนช่างใจร้ายจริงๆ อย่างน้อยก็ควรมีท่าทีให้กำลังใจสักหน่อยสิ!”
-----------------------------------------
[1] เก๋งจีนที่ใกล้น้ำมักได้จันทร์ก่อน 近水楼台先得月 หมายถึง การที่เราไปอยู่ในสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย เราจะได้ประโยชน์ก่อนคนอื่นๆ
[2] ธรรมเนียมฉิงอัน 请安 หมายถึง การน้อมทักทาย คือธรรมเนียมปฏิบัติของชาวแมนจู ชาวแมนจูจะมีธรรมเนียมที่ผู้เยาว์ต้องเคารพนอบน้อมต่อผู้ใหญ่ เมื่อผู้เยาว์พบผู้ใหญ่ จะต้องฉิงอัน(请安) หรือต่าเชียน(打千) โดยฉิงอัน(请安) คือการคารวะทักทายแบบกึ่งพิธีการ ส่วนต่าเชียน(打千) คือการคารวะทักทายแบบเต็มพิธีการ
[3] หม่าเจี้ย 马甲 หมายถึง เสื้อสำหรับสวมทับแบบหนึ่ง ไม่มีปก ไม่มีแขน วงแขนกว้าง ผ่าหน้าตลอด มีทั้งแบบติดกระดุมและไม่ติดกระดุม คล้ายๆ กับเสื้อกั๊กในปัจจุบัน
[4] ตุ้ยจินหม่าเจี้ย 对襟马甲 หมายถึง เสื้อสำหรับสวมทับ ทรงคอจีน และมีกระดุมจีน
[5] เสวี่ยฮวา 雪花 หมายถึง เกล็ดหิมะ