ยอดเขาหมื่นอสูรสูงหมื่นจั้ง ยาวหนึ่งพันแปดร้อยลี้จากทิศบูรพาจรดทิศประจิม[1] และกว้างหนึ่งพันห้าร้อยลี้จากทิศอุดรจรดทิศทักษิณ[2] ซึ่งมีลักษณะเป็ูเาเจ็ดลูกและยอดเขากว่าเก้าร้อยยอดกระจายอยู่ในทิศทางเดียวกัน
ูเาลูกหนึ่งของเทือกเขาแห่งนี้ถูกขนานนามว่ายอดเขาหมื่นอสูร ซึ่งสูงตระหง่านอยู่เหนือเมฆ ทั้งยังมีตำนานเล่าว่ามีกระดูกของปรมาจารย์ฝังอยู่ที่นั่น
ูเาอีกหกลูกที่เหลือจะกระจายตัวเหมือนอักษร 品 ที่วางคู่กัน สามลูกด้านในและสามลูกด้านนอก คอยปกป้องยอดเขาหมื่นอสูรตรงกลาง
การชุมนุมล่าสัตว์ฤดูเหมันต์ที่จัดขึ้นโดยสำนัก์ ครอบคลุมพื้นทีู่เาสามลูกด้านนอกและยอดเขาอีกสิบแปดลูก ส่วนูเาสามลูกด้านในและยอดเขาอีกสิบสองลูกนั้นไม่ได้อยู่ใกล้ยอดเขาหมื่นอสูรมากนัก
บนแท่นสูงที่สร้างขึ้นชั่วคราว ผู้าุโลู่จากสำนัก์กำลังจัดพิธีบวงสรวง ขณะที่เยี่ยหลิงหลานและชวีจงจื๋อกำลังสนทนาเป็การส่วนตัวกับยอดฝีมืออีกสองคนจากสำนัก์
“สำนักทั้งเจ็ดของหยวนซิวล้วนมาที่นี่ ทว่าเชื้อสายรากพฤกษาของเรากลับถูกปิดหูปิดตา นี่ไม่ควรเลย” น้ำเสียงชวีจงจื๋อค่อนข้างไม่พอใจ
“น้องชายชวีอย่าเคืองเลย ที่เราไม่บอกเ้านั่นเพราะเราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
“เช่นนั้นจงบอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“เมื่อครึ่งเดือนก่อน มีวัตถุประหลาดหล่นลงมาจากท้องฟ้า ทำให้เกิดหลุมขนาดั์บนูเา พวกเราส่งคนไปตรวจสอบแล้ว แต่ผลคือยอดฝีมือหลายคนเสียชีวิตอย่างไม่ทราบสาเหตุ”
เยี่ยหลิงหลานกล่าวขึ้นอย่างเ็า “เ้าไม่แม้แต่จะแจ้งให้เราให้ทราบล่วงหน้า เ้ากำลังพยายามกลั่นแกล้งเชื้อสายรากพฤกษาใช่หรือไม่?”
“เราไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น เราคิดเื่นี้มานานแล้ว และรู้สึกว่าการรวมพลังของจื๋อซิวและหยวนซิวอาจมีความหวังที่จะไขปริศนาได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีการจัดงานใหญ่ครั้งนี้ขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มที่เข้าร่วมมากที่สุดก็คือสายรากอสูรของเรา เราย่อมไม่กลั่นแกล้งฝ่ายตนเองหรอกจริงไหม?”
ชวีจงจื๋อกับเยี่ยหลิงหลานมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรอีก
หลังจากนั้นไม่นานพิธีบวงสรวง์ก็สิ้นสุดลง การชุมนุมล่าสัตว์ฤดูเหมันต์ก็ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็ทางการ
สำนัก์เตรียมแผนที่สำหรับศิษย์แต่ละสำนักไว้ก่อนแล้ว ซึ่งแผนที่กระจายตามพื้นที่หลักทั้งสามแห่ง
พื้นที่เขตหนึ่งสามารถเข้าได้เฉพาะศิษย์หลักจื๋อซิวเท่านั้น และพื้นที่เขตสองมีเพียงศิษย์ฝ่ายในที่เข้าไปได้ ส่วนทางเข้าของทั้งสองพื้นที่หลักก็คือพื้นที่ส่วนกลาง
ตามสถิติเบื้องต้นพบว่า ครั้งนี้มีศิษย์เชื้อสายรากอสูรถึงห้าพันคน เชื้อสายรากพฤกษาเกือบสองพันคน หยวนซิวจากเจ็ดสำนักเกือบสามพันคน และผู้บำเพ็ญซิงซิวอีกกว่าหนึ่งโหล
ผู้เข้าร่วมการชุมนุมนับหมื่นคนล้วนอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนผ่าน และส่วนใหญ่อยู่ในขอบเขตผนึกดารา
ขอบเขตของกิจกรรมครอบคลุมถึงสามสิบยอดเขา ทุกคนเข้ามาจากพื้นที่สาธารณะ มีข้อจำกัดระหว่างสามพื้นที่หลัก และหยวนซิวไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่เขตหนึ่งและสองได้
“ข้าเห็นว่ามีผู้บำเพ็ญจำนวนมากอยู่ขอบเขตจิตหยั่งลึก ทว่าไม่เห็นสหายร่วมสำนักในขอบเขตผนึกดาราเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
เสิ่นซินจู๋หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “เ้าไม่รู้แม้กระทั่งเื่นี้ด้วยหรือ?”
หนิงเทียนส่ายหัว หลังเข้าสู่สำนักร้อยบุปผา เขาก็อุทิศตนเพื่อการฝึกฝน และไม่รู้เื่เหล่านี้จริงๆ
ซิ่งอวี่เจวียนกล่าว “จื๋อซิวมีแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญสามแห่งและสำนักหลักอีกสิบสำนัก ทั้งยังมีสาขาตามเมืองใหญ่ โดยแต่ละสำนักจะเริ่มจากฝ่ายนอกมาฝ่ายใน จากนั้นจึงเป็ศิษย์หลัก เป็โครงสร้างพีระมิดที่ขยับไปทีละชั้น ซึ่งหลายสำนักมีเพียงศิษย์ฝ่ายในเท่านั้น ดังนั้น เราจึงส่งคนมาเข้าร่วมได้เพียงศิษย์ฝ่ายในเช่นเดียวกับอีกสี่สำนักสายรากพฤกษาเมืองไป่หลิง ที่มาเพียงสองแห่งจากจักรวรรดิเชียนซานทั้งหมด”
หนิงเทียนกล่าวด้วยความใ “ศิษย์พี่กำลังจะบอกว่าภายในจักรวรรดิเชียนซาน สำนักร้อยบุปผาที่มีศิษย์หลักมีเพียงสองสาขาเท่านั้น และสำนักร้อยบุปผาในเมืองอื่น อย่างมากที่สุดก็มีเพียงศิษย์ฝ่ายในหรือ?”
“ใช่ ไม่เพียงแต่สำนักร้อยบุปผาเท่านั้น สำนักเชียนเฉ่า สำนักั์พฤกษา สำนักทะยานเวหา และเชื้อสายรากอสูรก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน”
เสิ่นซินจู๋กล่าวว่า “จุดเริ่มต้นที่แท้จริงของผู้บำเพ็ญจื๋อซิวมาจากศิษย์หลัก และเป็เื่ยากสำหรับศิษย์ฝ่ายในสิบคนที่จะฝึกฝนจนก้าวมาเป็ศิษย์หลักได้”
“หยวนซิวก็เป็เช่นนี้เหมือนกันหรือไม่?”
ซิ่งอวี่เจวียนตอบ “การดำรงอยู่สูงสุดของหยวนซิวคือจวนหยวน ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังพอๆ กับวังดารา คอยควบคุมวิถีดั้งเดิมและมีอำนาจะเืโลกา มีสำนักหยวนซิวหลายพันสำนักภายใต้จวนหยวน กลุ่มที่โด่งดังที่สุดคือตำหนักหยวนนภา โถงหยวนปฐี สำนักอินทนิล และสำนักชื่อหยวนปัง ซึ่งเป็ที่รู้จักในนามสี่แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหยวนซิว และมีชื่อเสียงเทียบเท่ากับสามแดนศักดิ์สิทธิ์ของจื๋อซิว ถือว่าเป็สำนักชั้นหนึ่งบนดินแดนหยวนซิง ส่วนสำนักหานเทียนซึ่งมีปรมาจารย์ขอบเขตเหนือเมฆาคอยดูแลนั้นถือเป็สำนักชั้นสอง สำนักที่มีเพียงยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่านจัดเป็สำนักชั้นสาม และหากไม่มีแม้กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนผ่านก็เป็ได้เพียงสำนักเล็กๆ ที่ไม่เป็ที่นิยม”
หนิงเทียนขมวดคิ้ว คาดไม่ถึงว่าสำนักหานเทียนจะเป็สำนักชั้นสองที่มีปรมาจารย์ขอบเขตเหนือเมฆาเป็ผู้ดูแล
ดูเหมือนการล้างแค้นให้ท่านพ่อจะไม่ง่ายดายขนาดนั้น
...
ทันทีที่เข้าสู่พื้นที่ล่าสาธารณะ กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตในร่างหนิงเทียนก็ค่อยๆ ตื่นขึ้น ราวกับมันััได้ถึงกลิ่นอายบางอย่าง
หนิงเทียนเพิ่มความระมัดระวัง รากบ่มเพาะของเขามีมนต์ขลัง ตราบใดที่มันตื่นขึ้น ก็หมายความว่ามีของดีอยู่ไม่ไกล
“ระวังตัวด้วยนะ” ซิ่งอวี่เจวียนตบไหล่หนิงเทียน แล้วบอกให้เขาระมัดระวังเป็พิเศษ ทั้งจากเหล่าผู้บำเพ็ญสำนักหยวนซิวและจากเชื้อสายรากอสูรที่อาจพุ่งเข้ามาหาเื่เขาตลอดเวลา
“ศิษย์พี่ก็ระวังตัวเช่นกัน”
ทั้งสองแยกทางกัน โดยซิ่งอวี่เจวียนติดตามศิษย์หลักคนอื่นๆ มุ่งหน้าไปยังพื้นที่เขตหนึ่ง ส่วนหนิงเทียนและเสิ่นซินจู๋ก็ติดตามศิษย์ฝ่ายในของสำนักร้อยบุปผาไปยังพื้นที่เขตสอง
ทันใดนั้น เสียงร้องรุนแรงของอินทรีก็ดังขึ้น อินทรีั์พุ่งมาราวสายฟ้าฟาด ปีกที่กางออกกว้างกว่าร้อยจั้ง สายลมโหมกระหน่ำพัดเสิ่นซินจู๋จนปลิวไปไกล
“หลบ!” ใครคนหนึ่งะโเตือนทุกคน
หนิงเทียนตอบสนองอย่างรวดเร็ว สัตตบุษย์งอกงามทุกย่างก้าวแย้มกลีบ ด้วยหนึ่งก้าว หนึ่งเคลื่อนไหว และหนึ่งบิดหมุน ร่างของเขาก็เคลื่อนออกไปถึงสามสิบจั้ง
เสียงหวีดคำรามมาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง หลายคนถูกโจมตีทันทีที่เข้าสู่พื้นที่สาธารณะโดยที่ยังไม่ทันได้เริ่มปรับตัว พวกเขาตอบสนองช้าไปชั่วขณะ หากไม่เกิดรอยขีดข่วนก็ถูกโจมตีจนสิ้นชีพ
ชิ้นส่วนร่างกายที่ลอยว่อนและฝนโลหิตได้สอนบทเรียนนองเืให้กับทุกคน
อินทรีั์ทะยานขึ้นสูงและบินโฉบวนกลับไม่จากไป หลังจากกินศพในปากจนหมดแล้ว มันก็ดำดิ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง
อินทรีั์เป็นกนักล่าซึ่งมีพลังโจมตีอันน่าทึ่ง จื๋อซิวล้วนไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันโดยตรง ทว่าหยวนซิวกลับมีความกระตือรือร้นที่จะลอง
หนิงเทียนดึงเสิ่นซินจู๋ไปด้านหลัง พร้อมปล่อยพลังิญญาเข้าไปในดวงตา ทำให้เขาสามารถมองเห็นฉากใต้ดินได้
ทันทีที่อินทรีั์โฉบลงมาพื้นดินก็แตกร้าว หนวดลื่นไหลกวาดไปทั่วราวสายแส้ กระแทกผู้คนหลายสิบคนจนกระเด็นออกไป ทั้งยังกวาดล้างคนได้อีกจำนวนมาก
“อย่าเข้ามา...อ๊าก! ไม่!” เสียงร้องแหลมคมดังก้องทั่วป่าเขาราวมีดคมแทงทะลุหัวใจ จนทำให้ผู้คนรู้สึกไม่มั่นคง
ร่างที่กระเด็นออกไปล้วนถูกปีกของอินทรีั์ฟาดจนตาย บางร่างถูกกรงเล็บฉีกเป็ชิ้นๆ และบางส่วนก็ตกลงไปในปากของมัน
“รีบหาที่ซ่อนเร็วเข้า!”
บนูเาเต็มไปด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่ม ศิษย์หยวนซิวบางคนเริ่มตื่นตระหนกและซ่อนตัวใต้ต้นไม้ใหญ่ หานึกไม่ว่าจะมีกิ่งก้านแทงทะลุเข้าไปในร่างกาย แล้วดูดเืของพวกตนจนเหือดแห้ง
ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ร่างกายทั้งหมดได้รับผลกระทบ และการโจมตีที่น่าพรั่นพรึงของอินทรีั์ก็จุดชนวนให้เกิดการต่อสู้ระหว่างอสูรกับมนุษย์ พื้นที่สาธารณะจึงเริ่มวุ่นวาย
ดวงหน้าเสิ่นซินจู๋ซีดเซียว นางจับแขนของหนิงเทียนไว้แน่น
ศิษย์จากกลุ่มต่างๆ พากันวิ่งพล่านหลบหนีไปทั่ว พวกเขาสูญเสียความสงบไปโดยสิ้นเชิง
หนิงเทียนใช้สัตตบุษย์งอกงามทุกย่างก้าว บงกชสีมรกตบานสะพรั่งพยุงร่างของเขา พาเขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วในป่าเขาแห่งนี้
เสียงคำรามสั่นะเืไปทั่วป่า เสือดาวั์มีปีกดุร้ายอย่างยิ่ง
“แม่จ๋า! หนีกันก่อนเถอะ ที่นี่น่ากลัวเกินไป!”
หลายคนกรีดร้องอย่างหวาดผวา อสูรเช่นอินทรีั์ เสือดาวเหิน และัดินปรากฏต่อเนื่องกัน นอกจากนี้ยังมีอสูรและพฤกษาิญญาที่คอยลอบโจมตีอย่างเงียบเชียบ ใน่เวลาสั้นๆ ผู้คนหลายร้อยชีวิตสูญสิ้น ซึ่งในบรรดาพวกเขาก็มีผู้แข็งแกร่งในขอบเขตผนึกดารารวมอยู่ด้วย
เหล่าจื๋อซิวรีบเร่งมุ่งหน้าไปยังพื้นที่เขตหนึ่งและสอง ขณะที่หยวนซิวตกอยู่ในภาวะคับแค้นใจ และเริ่มรวมพลังเปิดฉากการโต้กลับ
หนิงเทียนไม่ได้เข้าสู่พื้นที่เขตสอง เขารู้สึกว่าในพื้นที่สาธารณะมีสิ่งที่ดึงดูดใจเขามากกว่าซ่อนอยู่
“ข้าอยากไปสังเกตการณ์ด้านหน้าเสียหน่อย ท่านล่วงหน้าเข้าเขตสองไปก่อนเลย”
เสิ่นซินจู๋รีบแย้ง “ที่นี่วุ่นวายเกินไป ข้าไม่วางใจหากทิ้งเ้าไว้เพียงลำพัง”
“ไม่เป็ไร ท่านควรป้องกันตัวเองไว้ก่อน แล้วข้าจะรีบตามไปโดยเร็วที่สุด”
หนิงเทียนยิ้มให้แล้วส่งนางไปยังพื้นที่เขตสอง จากนั้นก็รีบรุดไปข้างหน้า
ใบไม้บนเขาร่วงหล่นไปทั่ว สิ่งที่คล้ายแส้ยาวทะลุผ่านเมฆาพุ่งมาด้วยพลังอันน่าทึ่ง
ใบหญ้าเริงระบำแ่เบา ปราณกระบี่ก่อตัวเป็หมู่เมฆ บังคับให้หนิงเทียนต้องหลบอยู่หลายครั้ง
กลิ่นผกาหอมรัญจวนชวนให้มึนเมา ภายในเต็มไปด้วยพิษร้าย
เถาวัลย์โบกสะบัดเหมือนหอกที่แทงไปทั่ว หากไม่ระวังย่อมอัตรายถึงชีวิต
หนิงเทียนมีท่าทีกังวล อสูรและพฤกษาทั้งหมดบนูเาล้วนเป็อสูริญญาระดับสาม อีกทั้งอสูรเกือบทั้งหมดที่เขาพบยังเป็อสูรระดับสามขั้นสูงสุดถึงสามตัว ซึ่งพวกมันเทียบเท่ากับจุดสูงสุดของขอบเขตผนึกดารา
หนิงเทียนเรียกใช้ยุทธศาสตร์ครอง์ บงกชสีมรกตและต้นไม้แห้งเหี่ยวสร้างแนวป้องกัน ทว่าทหาริญญาเยาเยากลับเงียบไป ซึ่งดูผิดปกติอย่างยิ่ง
อาชาเผือกเปื้อนเืวิ่งมาทางหนิงเทียนอย่างเงียบเชียบและไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า จนกระทั่งมันใกล้เข้ามา เขาจึงสังเกตเห็นแล้วส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
ต้นไม้แห้งเหี่ยวเคลื่อนไปด้านข้าง ขัดขวางอาชาเผือกที่ทั้งร่างนองด้วยเื โดยไม่รู้ว่าตนกลับเป็ฝ่ายกระเด็นออกไปเสียเอง
เยาเยาเปล่งประกายเจิดจ้า แล้วปลดปล่อยพลังลึกลับร่วมกับสัตตบุษย์งอกงามทุกย่างก้าวของหนิงเทียน จากนั้นก็ย้ายร่างของเขาออกไปทันเวลา
ทันทีที่มองย้อนกลับไป เขาก็เห็นงูั์ตัวหนึ่งยาวกว่าสองร้อยจั้งกำลังแลบลิ้นออกมา ดวงตาของมันจ้องมาที่เขาอย่างไม่พอใจ
หนิงเทียนรู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่าง งูตัวนี้ทรงพลังมาก แม้มันจะยังไม่แปลงร่าง แต่เขาก็ััได้ว่าเป็อสูรระดับสามขั้นสูงอย่างแน่นอน
ในพื้นที่สาธารณะอันวุ่นวาย ไม่ใช่ทุกคนจะยุ่งอยู่กับการจัดการอสูร ยังมีคนแบบหนิงเทียนที่เร่งรีบไปข้างหน้าอย่างสิ้นหวังอยู่ด้วย
หลังจากปีนขึ้นไปบนยอดเขาสองลูก หลุมลึกขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในป่าทึบตรงหน้า หลุมนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าสามสิบจั้ง ทั้งยังมีความลึกที่ไม่อาจหยั่งถึง
ที่ตรงนั้นมีหมอกโลหิต ต้นไม้ล้วนเหี่ยวเฉา ดอกไม้และต้นหญ้าต่างแห้งเหี่ยว
กลิ่นอายโลหิตและิญญาชั่วร้ายเล็ดลอดออกมาจากหลุมลึก ซึ่งสร้างความไม่สบายใจ อีกทั้งยังมีดวงตาคู่หนึ่งซ่อนอยู่ในป่าทึบ คอยเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงและการเคลื่อนไหวในหลุมอยู่เสมอ
เมื่อหนิงเทียนก้าวเข้ามาในป่าทึบแห่งนี้ การเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันที่เกิดขึ้นในใจก็ทำให้เขาต้องหยุดฝีเท้าลงทันที ดวงตาของเขาแสดงความไม่สบายใจ
ที่นี่มีอันตรายที่ยามนี้เขายังไม่สามารถต้านทานได้
หนิงเทียนเคลื่อนตัวออกไปอย่างเงียบๆ แล้วะโขึ้นต้นไม้ใหญ่ บงกชสีมรกตหยั่งรากบนลำต้น ยุทธศาสตร์ครอง์พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปราบปรามิญญาต้นไม้
หนิงเทียนนอนอยู่บนกิ่งและให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวตรงหน้าอย่างใกล้ชิด
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นนอกป่า เป็ศิษย์หยวนซิวอายุประมาณสามสิบปีที่ถือค้อนอยู่ในมือ
คนผู้นี้ระวังตัวดีมาก เขาเฝ้าสังเกตนอกเขตป่าแห่งนี้นานถึงหนึ่งเค่อ จากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปในป่าทึบอย่างระมัดระวัง
ที่แห่งนี้มีเสียงใบไม้ที่พลิ้วไหวโดยไร้แรงลม ซึ่งเต็มไปด้วยความมืดมนอันน่าขนลุก ราวกับเสียงเรียกคลุมเครือที่ดึงดูดผู้คนให้เข้าไป
หนิงเทียนกลั้นหายใจแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย กลิ่นอายที่หนาวเย็นและน่าขนลุกเหมือนสายลมที่พัดมากระทบหน้าและกวาดไปทั่วร่าง จากนั้นก็พุ่งเข้าหาศิษย์หยวนซิวราวคลื่นั์ที่เงียบงัน ทว่าสามารถััถึงการรุกล้ำได้
ศิษย์หยวนซิวเกร็งร่าง ทันใดนั้นค้อนในมือของเขาก็เปล่งประกาย ลวดลายแห่งจิติญญาเปรียบเสมือนดอกไม้บานแผ่ขยายไปสู่ห้วงอากาศ
“ค้อนะเืภูผา!” คนผู้นั้นคำรามลั่น เส้นลมปราณทั้งเก้าในร่างประสานกัน เสาแสงบริสุทธิ์เจ็ดต้นปรากฏขึ้นรอบร่างของเขา โดยมีเงาของค้อนเหล็กควบแน่นอยู่ภายใน
เขาแกว่งแขนขวาอย่างรุนแรง ค้อนนั้นเปรียบเสมือนดาวตกที่ลุกไหม้ พร้อมปลดปล่อยรูปแบบจิติญญานับพัน แล้วเหวี่ยงกระแทกห้วงอากาศดุจผนังทองแดงกำแพงเหล็ก[3] จนเกิดเสียงดังสนั่น
แสงและเงาในป่าจางหายไป จากนั้นดวงตาเ็าและโเี้คู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้น
---------------------------------------
[1] ทิศบูรพาจรดทิศประจิม (东西) หมายถึง จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก
[2] ทิศอุดรจรดทิศทักษิณ (南北) หมายถึง จากทิศเหนือไปทิศใต้
[3] ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก (铜墙铁壁) หมายถึง พลังที่แข็งแกร่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้