ผู้ฝึกวรยุทธ์หลายคนที่มีพลังอยู่ในระดับวังชะตา หรือแม้แต่ระดับทลายยุทธ์ ได้ใช้พลังของตนเองตรวจสอบสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ แล้วหลังจากนั้นทุกคนก็ส่ายหัวและถอนหายใจออกมา
ที่นี่ถูกทำลายจนหมดแล้วจริงๆ
ไม่มีใครรอดชีวิต ทั้งหมดถูกทำลายอย่างเรียบร้อย ไม่มีแม้กระทั่งกระดูกหลงเหลือ
ในขณะที่หลัวเลี่ยก็หมดหนทางในการค้นหาเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมเช่นกัน นอกจากนี้เขายังรู้สึกว่ากฎของดินแดนเหยียนหวงที่กล่าวว่า ผู้อ่อนแอย่อมเป็เหยื่อของผู้แข็งแกร่งช่างโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมจริงๆ
แม้แต่ตระกูลใหญ่ที่มีผู้คนหลายพันคนก็ถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดาย ทุกคนในตระกูลไม่ว่าจะเป็ชาย หญิง คนแก่ หรือเด็ก ล้วนถูกสังหารจนสิ้น มันช่างไร้มนุษยธรรมโดยแท้จริง
หลัวเลี่ยจ้องมองซากปรักหักพังตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
เคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมคงไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงอีกต่อไปแล้ว และจากนี้จะไปตามหาได้ที่ผู้ใด หลัวเลี่ยเองก็อับจนหนทาง เขาถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วคิดว่าคงต้องรอข่าวจากทางตระกูลข่งและเย่เิหลง
เนื่องจากหลัวเลี่ยไม่รู้ว่าจะไปตามหาเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมที่ใดได้อีก เขาจึงวางแผนที่จะอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลงต่อไป เพื่อดูว่าสิ่งที่เรียกว่าไข่ัจะเป็อย่างไร ถือเสียว่าเป็การเปิดหูเปิดตา
นี่เป็ครั้งแรกหลังจากที่เขามาที่ดินแดนเหยียนหวงแล้วรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรทำ ดังนั้นเขาจึงใช้เวลานี้เดินเที่ยวรอบๆ เมืองหลวงเพื่อผ่อนคลาย
เขาจะถือเสียว่ามาพักผ่อน
ในขณะเดียวกันปรมาจารย์หลายคนที่เข้ามาสำรวจจวนตระกูลอู หลังจากที่สำรวจเสร็จพวกเขาก็เริ่มทยอยออกจากจวนตระกูลอู
เมื่อทุกคนต่างแยกย้าย หลัวเลี่ยจึงเดินออกจากจวนตระกูลอูด้วยเช่นกัน
แต่ห่างออกไปเพียงสองก้าวกลับมีคนยืนขวางทางอยู่ข้างหน้าเขา
หลัวเลี่ยเงยหน้าขึ้น คนที่ยืนขวางเขาอยู่คือเยาวชนสองคนที่หยิ่งผยองและเ้ายศเ้าอย่างที่หลัวเลี่ยเคยเห็นเมื่อตอนที่เขากำลังจะเข้ามาในเมืองหลวง
สองคนนี้คือคนที่อยู่ในกลุ่มคุณชายทั้งเจ็ดแห่งหอการค้าฟ้านเทียน พวกเขาคือซูเล่ยและจั่วอีฝาน
“หลัวเลี่ย อ๋องเซี่ยแห่งแคว้นเป่ยสุ่ย!”
หลัวเลี่ยตอบอย่างใจเย็น “ข้าเอง”
หลัวเลี่ยเพิ่งได้รับตำแหน่งอ๋องแห่งแคว้นเป่ยสุ่ยมาได้ไม่นาน โดยหลังจากที่หลัวเลี่ยเดินทางออกมาจากแคว้นจินหลาน หลิวหงเหยียนก็แต่งตั้งเขาขึ้นเป็อ๋องแห่งแคว้นเป่ยสุ่ย
โดยมีชื่อตำแหน่งว่า อ๋องเซี่ย ดังนั้นผู้คนทั่วไปจึงมักจะเรียกเขาว่า อ๋องเซี่ยแห่งแคว้นเป่ยสุ่ย
ตอนที่หลัวเลี่ยได้ยินชื่อตำแหน่งนี้เป็ครั้งแรก หลัวเลี่ยก็เข้าใจเจตนาของหลิวหงเหยียนในทันที ที่นางทำเช่นนี้เป็เพราะ้ากำจัดคำว่าอ๋องหนานหลี่ไปจากตัวตนของเขาให้ได้มากที่สุด
เพราะผู้คนในดินแดนเหยียนหวงล้วนฉลาด และมีความสามารถในการเชื่อมโยงเื่ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว หากพวกเขารู้เื่หลี่เมิ่งและจุ้ยหลิวที่อยู่ในเรือนพเนจร ก็อาจทำให้สืบสาวมาถึงตัวตนของหลัวเลี่ยได้
จุ้ยหลิว คำว่า หลิว นี้มาจาก หลิวหงเหยียน
ส่วนหลี่เมิ่ง คำว่า หลี่ ก็มาจาก อ๋องหนานหลี่
ดูเหมือนว่าเป็การยากในการเชื่อมโยงว่า ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ คือหลัวเลี่ย แต่หลิวหงเหยียนผู้ระมัดระวังก็เห็นว่าหยวนสื่อเทียนจวินให้ความสำคัญกับ ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ เพราะคิดว่า ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ คือหนึ่งในสามคนที่จะช่วยกอบกู้ภัยกลียุค ดังนั้นนางจึงป้องกันความเสี่ยงทุกอย่างที่อาจทำให้สาวมาถึงตัวตนของหลัวเลี่ยได้
และเพื่อให้ทุกคนลืมเื่ที่หลัวเลี่ยเป็ผู้สืบทอดบัลลังก์อ๋องหนานหลี่และราชันผู้พิชิต หลิวหงเหยียนจึงแต่งตั้งเขาขึ้นเป็อ๋องเซี่ย
เื่ที่เกิดขึ้นทำให้แม้แต่ชาวเป่ยสุ่ยต่างก็เชื่อว่า หลัวเลี่ยคือาาองค์ที่สองของแคว้นเป่ยสุ่ย
ผู้คนจำนวนมากต่างคิดว่าที่หลิวหงเหยียนทำเช่นนี้เป็เพราะศักยภาพในพลังของหลัวเลี่ยนั้นพิเศษเกินไป นางจึงมอบตำแหน่งอ๋องให้หลัวเลี่ย เผื่อเื่นี้จะเป็ประโยชน์ต่อนางในอนาคต โดยไม่มีใครเอะใจว่าที่นางทำก็เพื่อปกปิดเื่บางอย่าง
เจตนาที่ดีของหลิวหงเหยียนทำให้หลัวเลี่ยถอนหายใจ
เขาย่อมยอมรับความปรารถนาดีนี้ไว้อย่างแน่นอน
นี่เป็ครั้งแรกที่หลัวเลี่ยถูกเรียกด้วยชื่อตำแหน่งนี้ เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“เ้ารู้ไหมว่าเราสองคนเป็ใคร” ซูเล่ยยกมือขึ้นกอดอกแล้วหลับตาลงราวกับว่าเขาี้เีมองหลัวเลี่ย
เมื่อมองไปที่ท่าทางของคนทั้งสอง หลัวเลี่ยก็คิดว่ามันค่อนข้างตลก สองคนนี้ต้องวางท่าขนาดนี้เลยหรือ “ข้าไม่รู้” เมื่อเห็นร่องรอยการเย้ยหยันบนใบหน้าของซูเล่ยและจั่วอีฝาน หลัวเลี่ยจึงพูดอีกว่า “และข้าก็ไม่้ารู้ ดังนั้นโปรดหลีกทางให้ข้าด้วย”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูเล่ยจึงแสดงเจตนาร้ายออกมาอย่างชัดเจน “เ้ายังคิดจะออกไปจากที่นี้อีกหรือ? ที่นี่จะเป็ที่ฝังศพของเ้า!”
จากนั้นจั่วอีฝานที่อยู่ด้านข้างซูเล่ยก็พูดด้วยความเย้ยหยัน “เ้ากล้ามีเื่กับหอการค้าฟ้านเทียนของพวกเรา แล้วยังกล้ามาที่แคว้นเหยียนหลงเพียงลำพังอีก เ้าช่างรนหาที่ตายโดยแท้”
หลัวเลี่ยมองไปที่พวกเขาทั้งสองคน
พวกเขาดูเหมือนเยาวชนที่มีอายุประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี ส่วนในแง่ของพลังวรยุทธ์นั้น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้ข้ามขอบเขตพลัง และก้าวเข้าสู่ระดับหยินและหยางแล้ว
ความจริงแล้วคนอายุเท่านี้ที่อยู่ในกองกำลังที่ทรงพลังล้วนได้รับการสนับสนุนในการฝึกฝนอย่างดี ขอเพียงพวกเขามีพร์ หากได้รับการสนับสนุนก็ย่อมต้องสามารถก้าวเข้าสู่ระดับหยินหยางได้ แต่ซูเล่ยและจั่วอีฝานก็ไม่ได้ถือว่ามีความสามารถที่โดดเด่นเป็พิเศษ เพราะพลังของพวกเขาล้วนอยู่ในขั้นต้นของระดับหยินหยางเท่านั้น
ความแตกต่างของผู้ฝึกตนระดับที่สิบกับระดับหยินหยางนั้น แม้จะเป็ช่องว่างทางพลังวรยุทธ์ที่ดูคล้ายจะมีขนาดใหญ่ แต่ความแตกต่างทางพลังนี้ก็ขึ้นอยู่กับเคล็ดวิชาที่ใช้ในการฝึกฝนด้วย
แล้วหลัวเลี่ยก็มั่นใจว่าเคล็ดวิชาั์ของเขาย่อมไม่มีทางด้อยกว่าพลังขั้นต้นของระดับหยินหยางอย่างแน่นอน เว้นแต่ว่าผู้ที่มีพลังระดับหยินหยางคนนั้นจะเป็อัจฉริยะ
“หอการค้าฟ้านเทียนไม่ได้มีค่าสำหรับข้าเลยสักนิด ในสายตาของข้า หอการค้าฟ้านเทียนก็เป็แค่ฝูงโจรที่คอยแต่จะดักปล้นชาวบ้าน และเมื่อไหร่ที่ข้าแข็งแกร่งพอ ข้าจะบดขยี้หอการค้าฟ้านเทียนของพวกเ้าให้สิ้นซาก” หลัวเลี่ยกล่าว เขายังคงแค้นเื่ที่คนจากหอการค้าฟ้านเทียนพยายามขโมยตราราชันข่งเชวี่ย โดยเฉพาะเมื่อเขานึกถึงใบหน้าของไป๋หลี่ชาง ก็ทำให้เขารู้สึกขยะแขยงมากขึ้น และทำให้เขาไม่ชอบคนของหอการค้าฟ้านเทียนมากขึ้นด้วย
“ความตายคืบคลานเข้ามาแล้ว เ้ายังจะกล้าปากดีอยู่อีกหรือ” ซูเล่ยโกรธจัด “ข้าจะฆ่าเ้า และทำให้เ้าเป็ิญญาที่อยู่หน้าซากปรักหักพังของตระกูลอู!”
ทันใดนั้นซูเล่ยก็ก้าวออกมาแล้วยกมือขึ้นหวังสังหารหลัวเลี่ย
ไอพลังของระดับหยินหยางนั้นทรงพลังและแข็งแกร่ง ซึ่งแน่นอนว่าพลังของระดับผู้ฝึกตนนั้นเทียบไม่ได้เลยสักนิด
หลัวเลี่ยเฝ้าดูอย่างเ็า และเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กลับ
“ช่างเป็สุนัขรับใช้ที่ดีจริงๆ พวกเ้าสองคนกำลังขวางทางข้า”
ข้างหลังซูเล่ยและจั่วอีฝานมีเสียงเ็าดังขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิด
ซูเล่ยและจั่วอีฝานโกรธมาก เพราะพวกเขาถูกเยาะเย้ยว่าเป็เหมือนสุนัข
ซูเล่ยที่กำลังจะโจมตีหลัวเลี่ยหยุดมือลงกะทันหัน เขาหันกลับไปทันที และมองไปยังผู้หญิงที่เอ่ยคำนั้นออกมาอย่างอาฆาตมาดร้าย โดยที่เขาหันหลังให้กับหลัวเลี่ยอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะถูกหลัวเลี่ยลอบทำร้าย ซึ่งเป็การแสดงให้เห็นว่าเขาดูถูกพลังของหลัวเลี่ย
คนที่พูดประโยคนั้นคือหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูสดใส
ผู้หญิงคนนี้มีผมสีดำและสวมใส่ชุดสีขาว ดวงตาของนางไม่ได้โตมากนัก แต่มีสีดำราวกับน้ำหมึก ใบหน้าของนางเป็ทรงกลมและดูอ่อนเยาว์ นางดูน่ารักมาก
“พวกเ้าสองคนกล้าสู้กับข้าหรือ” หญิงสาวพูดอย่างเ็า
ซูเล่ยที่กำลังโกรธจัด เมื่อได้มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างชัดเจนอีกครั้ง เจตนาต่อสู้ของเขาก็ลดลงในทันที ใบหน้าของซูเล่ยและจั่วอีฝานแสดงความหวาดกลัวออกมา จากนั้นซูเล่ยก็รีบกำหมัดแน่นแล้วพูดว่า “พวกเราไม่รู้ว่าเ้าคือแม่นางเยวี่ยเจิน ขอแม่นางโปรดอภัยให้พวกเราด้วย”
“ข้าจะหลีกทาง หลีกทาง” จั่วอีฝานก็รีบขอโทษเช่นกัน
ทั้งสองหลีกไปทางซ้ายและขวา
หญิงสาวกล่าวเสียงดัง “นับว่าพวกเ้ายังรู้ความ ่นี้มือของข้าคันพอดี คล้ายกับว่ารู้สึกอยากอัดใครสักคน”
ซูเล่ยและจั่วอีฝานกล่าวขอโทษครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความลำบากใจ ในตอนนี้พวกเขาไม่มีท่าทีหยิ่งยโสอีกแล้ว
เหตุการณ์นี้ทำให้หลัวเลี่ยแย้มรอยยิ้มออกมา ภาพความวุ่นวายเช่นนี้เป็เื่ตลกจริงๆ
เมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาใกล้หลัวเลี่ย รอยยิ้มที่มีเสน่ห์ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยงามของนางทันที “อ๋องเซี่ยแห่งแคว้นเป่ยสุ่ย พวกเรามาทำความรู้จักกันเถิด ข้าแซ่ข่ง และมีนามว่าเยวี่ยเจิน”
ข่งเยวี่ยเจิน!
หลัวเลี่ยกะพริบตา “ตระกูลข่ง? ตระกูลข่งของบรรพชนข่งเซวียนหรือ?”
“ใช่แล้ว” ข่งเยวี่ยเจินพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าชื่นชมเ้ามาก การที่เ้าสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชามหาหลุนิได้ภายในหนึ่งเดือน นับว่าเ้าช่างเก่งกาจจริงๆ เ้ามาเป็พี่ชายของข้า แล้วสอนเคล็ดวิชามหาหลุนิให้กับข้าเถิด ดีหรือไม่”
มุมปากของหลัวเลี่ยกระตุก พี่ชาย? ข้าคือบรรพจารย์ของเ้านะ ข้าเป็พี่ใหญ่ของผู้นำตระกูลเ้าด้วยซ้ำ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้