“ปีหน้าเยี่ยนเอ๋อร์ก็ถึงวัยปักปิ่นแล้ว หมั้นหมายและแต่งงานได้แล้ว” หลี่ซานย่อมอยากให้บุตรชายแต่งภรรยาและมีหลานออกมาให้เขา ส่วนเขาก็จะกลายเป็คุณปู่
หลี่หรูอี้กล่าวเสียงแ่ “ปีหน้าพี่ชายข้าเพิ่งจะอายุสิบสี่”
“เขาอายุสิบสี่ก็ไม่เด็กแล้ว” หลี่ซานย่อมฟังคำแนะนำของบุตรีสุดที่รัก จะอย่างไรนางก็ไปมาหาสู่กับหวังเยี่ยนบ่อยครั้ง สมควรรู้จักหวังเยี่ยนเป็อย่างดี “เ้าว่าเยี่ยนเอ๋อร์เป็อย่างไร”
“พี่เยี่ยนไม่เลวเลยเ้าค่ะ จิตใจงดงาม อ่อนโยน มีความสามารถมาก ทั้งยังรู้หนังสือด้วย หากแต่งให้พี่ใหญ่ ข้าเชื่อว่านางจะต้องกตัญญูต่อท่านและท่านแม่แน่นอน ทั้งยังจะดีต่อท่านอารองด้วย” ที่หวังเยี่ยนรู้หนังสือเป็เพราะหวังจื้อเกาคอยสอน ที่นางกล่าวว่า หวังเยี่ยนเป็คนจิตใจงดงาม เพราะหวังเยี่ยนมีรูปโฉมธรรมดา แต่เป็คนมีไหวพริบและฉลาดเฉลียว
หลี่ซานหัวเราะออกมา “พวกเราคิดเหมือนกันจริงๆ ข้าเองก็รู้สึกว่านางไม่เลวเลย เป็คนดีคนหนึ่ง”
“ท่านพ่อ ต่อให้พวกเราคิดว่าดีก็ไม่มีประโยชน์ ต้องถามพี่ใหญ่เ้าค่ะ ต้องให้พี่ใหญ่คิดว่าดีด้วย” หลี่หรูอี้นึกไปถึงพี่ใหญ่ของตน ที่มีรูปร่างหน้าตาธรรมดา นิสัยสุขุม ขยันขันแข็ง ทนลำบากได้ดี เขามีฐานะเป็บุตรชายคนโต ย่อมมีภาระมากมาย แต่ก็ยินดีเสียสละเพื่อน้องๆ บุรุษที่ดีเช่นนี้สมควรแต่งกับสตรีที่ดีเช่นกัน
“เจี้ยนอันคิดว่าเยี่ยนเอ๋อร์ดี” หลี่ซานย้อนนึกไปถึงท่าทางกระวนกระวายของบุตรชายคนโต เพราะกลัวว่าตนจะไม่เห็นด้วย เขาแอบหัวเราะอยู่ในใจ เด็กคนนี้เติบโตแล้วจริงๆ
หลี่หรูอี้อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ที่แท้พี่ใหญ่ก็ชอบพี่เยี่ยนนี่เอง” ก่อนหน้านี้นางยังไม่ได้รู้สึกเช่นนี้ แต่ตอนนี้เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว ทุกครั้งที่หวังเยี่ยนมาบ้านหลี่ เจี้ยนอันก็มักจะเป็ฝ่ายคุยกับนางก่อน นี่นับเป็การแสดงความในใจแล้ว พี่ใหญ่คนนี้แก่แดดจริงๆ
จ้าวซื่อให้นมทารกทั้งสอง นางรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อยจึงนั่งลงข้างเตียง ขณะที่คุยกับหลี่ซานเื่การแต่งงานของบุตรชายคนโต ก็ไม่ได้บอกให้นางจางหลบออกไป “บ้านเรามีวาสนากับเยี่ยนเอ๋อร์จริงๆ หรูอี้ช่วยชีวิตนางไว้”
“ใช่แล้ว วันนี้พี่หวังก็กล่าวเช่นนี้” หลี่ซานเห็นจ้าวซื่อไม่ได้คัดค้านก็รู้สึกยินดีอยู่ในใจ
หวังเยี่ยนเป็บุตรสาวเพียงหนึ่งเดียวของหวังไห่ ต่อให้เป็บุตรที่เกิดจากเฟิงซื่อที่เป็ภรรยาคนใหม่ ก็ยังนับว่าเป็บุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกอย่างถูกต้อง ท่ามกลางหมู่บ้านต่างๆ ในระยะหลายร้อยลี้รอบๆ นี้ ตระกูลหวังนับเป็ตระกูลระดับกลาง แม้จะไม่มีขุนนางและไม่มีซิ่วไฉมาหลายสิบปีแล้ว แต่ก็มีชื่อเสียงดีงาม โดยเฉพาะเื่ที่รับคนนอกหมู่บ้านเอาไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ทำให้มีชื่อเสียงว่าเป็ตระกูลผู้มีเมตตา
ตระกูลหลี่ไร้รากฐาน หากเป็่เวลาก่อนหน้านี้ที่ครอบครัวยังยากจนคงไม่กล้าแม้แต่จะคิด ตอนนี้มีเงินแล้ว หลี่เจี้ยนอันและน้องๆ ก็ได้ไปเรียนที่สำนักศึกษา จึงพอมีความมั่นใจอยู่บ้าง และเข้าตาหวังไห่ในที่สุด มีคุณสมบัติที่จะแต่งงานกับหวังเยี่ยนแล้ว
“เยี่ยนเอ๋อร์มีบิดาและมารดาที่ดี ส่วนน้องชายของนางก็ต้องดูแล้วว่าจะสอบได้ตำแหน่งอันใดหรือไม่” จ้าวซื่อคิดการณ์ไกลกว่าหลี่ซาน
หากมิใช่เพราะหวังเยี่ยนกตัญญูต่อบิดามารดาเป็อย่างดี อีกทั้งยังมีหวังจื้อเกาที่มีพร์ด้านการเรียนหนังสือเป็น้องชาย จ้าวซื่อคงไม่เห็นด้วยที่จะให้หลี่เจี้ยนอันแต่งงานกับหวังเยี่ยน
หลี่ซานกล่าวขึ้นว่า “เจี้ยนอันของพวกเราก็มีบิดามารดาที่ดี แล้วยังมีน้องชายน้องสาวที่ดีด้วย”
จ้าวซื่อค่อนข้างพอใจกับการแต่งงานนี้ นางยิ้มไปทั้งใบหน้า “ท่านไม่อายหรือไร มีใครบ้างที่โอ้อวดตนเองเช่นนี้”
นางจางที่อยู่ด้านข้างกล่อมทารกทั้งสองจนหลับไปแล้ว นางพยายามก้มหน้าทำราวกับตนเองไม่มีตัวตน ทว่าจ้าวซื่อยังคงปรายตามองไปที่นางเป็ระยะ
นางทราบดีว่าจ้าวซื่อกำลังสังเกตนางอยู่
หลายปีมานี้นางจางเปลี่ยนเ้านายไปแล้วหลายคน เ้านายแต่ละคนก็มีนิสัยแตกต่างกัน เ้านายที่ใจดีและอ่อนโยนเช่นจ้าวซื่อเพิ่งเคยเจอเป็ครั้งแรก แต่อย่าคิดว่าจ้าวซื่อใจดีแล้วจะทำตัวเลอะเทอะเป็อันขาด จ้าวซื่อเป็คนฉลาดเฉลียวที่คิดอะไรอยู่ในใจมากมาย อย่าได้คิดที่จะลอบเกียจคร้านเพื่อหลอกลวงจ้าวซื่อเป็อันขาด
หลี่ซานยิ้ม “ข้ามีอะไรต้องอายเล่า แม้ข้าจะดีไม่พอ แต่เ้ายังไม่นับว่าดีพออีกหรือ”
จ้าวซื่อกวาดตามองไปทางนางจาง พบว่านางมีสีหน้าไร้อารมณ์ กระทั่งคำพูดที่เคารพนบนอบสักประโยคก็ไม่พูดออกมา และยังคงไม่พูดจาไม่ถามไถ่เช่นปกติ ทำให้คาดเดาความคิดไม่ออก
ต้องทราบว่าอู่ต้าบุตรชายคนโตของนางจางอายุสิบหกปีแล้ว โตกว่าหลี่เจี้ยนอันสามปี หลี่เจี้ยนอันพูดคุยเื่แต่งงานแล้ว แต่อู่ต้ากลับยังไม่ได้แต่งงาน
ไม่ต้องพูดถึงว่าครอบครัวอู่ไม่มีเงินเลย แม้กระทั่งฐานะของอู่ต้าก็ยังเป็เพียงบ่าว ดังนั้นย่อมไม่กล้าพูดเื่แต่งงาน ต่อให้เป็ครอบครัวที่ยากจนที่สุดในหมู่บ้านหลี่ก็ไม่ให้บุตรสาวแต่งกับอู่ต้าแน่นอน
หากอู่ต้าไม่ได้แต่งงาน คนที่ร้อนใจที่สุดย่อมต้องเป็นางจางผู้มีฐานะเป็มารดา
จ้าวซื่อกลัวว่านางจางจะเกิดใจอิจฉาริษยา เพราะอู่ต้าพูดเื่แต่งงานไม่ได้
ความอิจฉาทำให้คนเราสูญเสียสติสัมปชัญญะ ทำให้คนเราทำเื่ผิดๆ ที่คิดไม่ถึงได้มากมาย
หลี่ซานเห็นนางจางนำผ้าอ้อมออกไปซัก ก็รีบเดินเข้ามาหอมแก้มภรรยา กล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “พวกเราจะไปพูดคุยเื่สู่ขอที่ตระกูลหวังเมื่อใดดี”
“บ้านเรายุ่งเพียงนี้ อีกทั้งข้าก็ยังอยู่เดือน ข้าคิดว่ารอให้เฟยเยว่กับเถิงเกาครบเดือนก่อนค่อยไปหาแม่สื่อเถิดเ้าค่ะ” จ้าวซื่อเห็นสามียิ้มกว้างเพียงนั้นจึงพูดเื่ที่นางกังวลอยู่ในใจออกมาให้ฟัง “พี่ซาน หากเยี่ยนเอ๋อร์แต่งเข้าบ้านเรา แล้วทำสูตรการทำเต้าหู้หลุดไปให้บ้านเดิมของนาง ตระกูลหวังก็จะทำเต้าหู้ได้ เช่นนั้นจะดีไปได้อย่างไร”
หลี่ซานสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน ผ่านไปพักใหญ่จึงพูดขึ้นว่า “ไม่ว่าพวกลูกชายจะแต่งให้ใคร ก็อาจเป็เช่นนี้ได้ทั้งนั้น” พวกเขาไม่อาจห้ามบุตรชายแต่งงาน เพราะกลัวทำสูตรการทำเต้าหู้หลุดไป จะอย่างไรบุตรชายก็ต้องแต่งภรรยา ส่วนเื่สูตรการทำเต้าหู้ การทำน้ำดีเกลือก็ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะเรียนรู้ได้ ตอนนี้แม้แต่เขาก็ยังทำไม่เป็ ที่บ้านมีเพียงลูกสาวและน้องชายของเขาที่ทำได้
จ้าวซื่อกล่าวเสียงเบา “ใช่แล้ว เช่นนั้นก็แต่งกับเยี่ยนเอ๋อร์ที่รู้จักกันดีเถิด”
เมื่อหลี่ซานเห็นสีหน้าที่เหนื่อยล้าของจ้าวซื่อ ก็มองไปยังบุตรชายตัวน้อยผู้มีผิวสีชมพูอ่อนนุ่มที่กำลังนอนหลับอยู่ในเปล จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลูกสาว้าทำฟองเต้าหู้ไปขาย ข้าไม่อยู่เป็เพื่อนเ้าแล้ว จะไปดูที่ลานด้านหลังสักหน่อย”
จ้าวซื่อได้ยินว่าบุตรีสุดที่รักจะทำอาหารชนิดใหม่ออกมาขายอีกแล้วก็รู้สึกยินดีในใจ ความกังวลเมื่อครู่นี้ถูกปัดเป่าออกไปจนว่างเปล่า ทำให้นางหลับสนิท
เมื่อถึงตอนบ่าย หลี่หรูอี้ก็ทำฟองเต้าหู้ออกมา โดยให้หลี่ซานและหลี่สือคอยดูอยู่ข้างๆ ตอนนี้พวกเขายังไม่รู้จักลักษณะนิสัยของคนตระกูลอู่ จึงยังไม่ถ่ายทอดความรู้ใดๆ ให้พวกเขา
ฟองเต้าหู้แต่ละแผ่นบางกว่าเต้าหู้มาก หากนำฟองเต้าหู้ที่บางที่สุดมาวางไว้บนมือจะมองทะลุไปจนเห็นนิ้วมือได้เลย
หากหลี่หรูอี้ไม่ได้ทำให้ดู หลี่ซานและหลี่สือคงทำฟองเต้าหู้ออกมาตามที่นางบรรยายให้ฟังไม่ได้แน่นอน เห็นได้ชัดว่าการทําฟองเต้าหู้ไม่ได้อาศัยเพียงความคิดแล้วจะทำออกมาได้ จะต้องมีคนถ่ายทอดสูตรและสอนวิธีทำให้ด้วย
สุดท้ายฟองเต้าหู้ก็ถูกนำมาขึ้นโต๊ะอาหารของบ้านหลี่ในมื้อเย็น มีฟองเต้าหู้คลุกน้ำมันงา ผักดองผัดฟองเต้าหู้ จานหนึ่งช่วยเพิ่มความอยากอาหาร อีกจานหนึ่งมีความเปรี้ยวและเค็ม ทำให้คนบ้านหลี่ชมไม่ขาดปาก
คนแซ่อู่ทั้งสี่แยกโต๊ะกินข้าวกับคนบ้านหลี่ อาหารของพวกเขาวางเรียงอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ยที่นำไปวางบนเตียงเตาอีกครั้ง แตกต่างกับอาหารของคนบ้านหลี่ตรงที่ไม่มีเนื้อผัดน้ำแดงและฟองเต้าหู้คลุกน้ำมันงา มีเพียงผักดองผัดฟองเต้าหู้และน้ำแกงไข่ไก่ ส่วนอาหารหลักก็ไม่ใช่หมั่นโถวจากแป้งขาว แต่เป็หมั่นโถวจากแป้งข้าวโพด ทว่านี่ก็ดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว
อู่ต้าไม่ใช่คนที่รู้จักอดทนเก็บคำพูดไว้ในใจ จึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูบอกว่า นี่คือฟองเต้าหู้”
นางจางเคยทำอาหารอยู่ในห้องครัวของบ้านเ้านายมาหลายบ้านและหลายปี จึงพอมีความรู้อยู่บ้าง นางใช้ตะเกียบคีบฟองเต้าหู้ชิ้นหนึ่งไว้ตรงหน้า แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “ฟองเต้าหู้บางเช่นนี้ มหัศจรรย์มากจริงๆ ทำออกมาได้อย่างไรกัน”
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้