ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นของ..หลีซาน
เสียงหวีดแหลมของไซเรน ฉีกกระชากความมืดของค่ำคืนในกรุงเทพมหานครราวกับเสียงกรีดร้องของผู้ที่กำลังจะสิ้นใจ รถพยาบาลฉุกเฉินคันใหญ่โตสาดแสงไฟวูบวาบสะท้อนไปบนพื้นถนนที่เปียกชื้น มันแหวกฝ่าม่านรถยนต์ที่ติดขัดราวกับกระแสน้ำเชี่ยว พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ท้าทายโชคชะตา
ภายในกล่องโลหะที่สั่นะเือย่างบ้าคลั่งนั้น ร่างของ แพทย์หญิงหลี่เหมย นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงเคลื่อนที่ ในวัยสามสิบสองปี เธอคือดาวจรัสแสงแห่งวงการแพทย์ ผู้ผสานความรู้ล้ำสมัยของแพทย์แผนปัจจุบันเข้ากับแก่นแท้ภูมิปัญญาของแพทย์แผนจีนโบราณได้อย่างไร้ที่ติ แต่บัดนี้ ดวงดาวดวงนั้นกำลังจะดับแสงลง
เืสีแดงฉานซึมผ่านผ้าก๊อซที่ปิดทับาแฉกรรจ์บนร่างกายของเธอ ย้อมชุดกาวน์สีขาวให้กลายเป็สีอัปมงคล ชีพจรใต้ปลายนิ้วของเ้าหน้าที่กู้ชีพเต้นแ่เบาและอ่อนแรงลงทุกขณะ ประหนึ่งเสียงนับถอยหลังสู่ความตาย
“หมอหลี่! คุณได้ยินฉันไหมคะ! อย่าเพิ่งหลับนะคะหมอ! สู้สิคะ!” เสียงพยาบาลสาวข้างกายสั่นเครือด้วยความร้อนใจระคนสิ้นหวัง มือของเธอทำงานอย่างคล่องแคล่ว พยายามยื้อยุดลมหายใจของหลี่เหมยไว้อย่างสุดความสามารถ
หลี่เหมยได้ยิน... แต่เสียงนั้นช่างห่างไกลเหลือเกิน เปลือกตาของเธอหนักอึ้งดั่งมีแผ่นตะกั่วถ่วงไว้ ความเ็ปที่เคยแผ่ซ่านไปทั่วร่าง บัดนี้เริ่มแปรเปลี่ยนเป็ความชาด้านที่เย็นเยียบ ความมืดมิดอันอบอุ่นกำลังโอบล้อมเข้ามาทีละน้อย เธอยอมรับชะตากรรม... เธอรู้ดีว่านี่คือจุดจบ
เพียงไม่กี่สิบนาทีก่อนหน้านี้...
กลิ่นยาฆ่าเชื้อยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูกของเธอ หลี่เหมยเพิ่งวางมีดผ่าตัดลงหลังจากกรำศึกในห้องผ่าตัดนานกว่าสิบชั่วโมงเต็ม การผ่าตัดเนื้องอกในสมองที่ซับซ้อนจบลงด้วยความสำเร็จ เหงื่อกาฬไหลชุ่มแผ่นหลัง แต่รอยยิ้มแห่งชัยชนะและความโล่งใจได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนล้าของเธอ เธอกำลังจะเดินไปพักผ่อน ดื่มน้ำเย็นๆ สักแก้ว แต่แล้ว...
“กรี๊ดดดดดด! ช่วยด้วย!”
เสียงกรีดร้องแหลมเล็กจากเบื้องล่างของอาคารโรงพยาบาลดังทะลุความเงียบสงบขึ้นมา หลี่เหมยชะงักฝีเท้า สัญชาตญาณความเป็แพทย์กระตุ้นให้เธอวิ่งไปยังหน้าต่างทันที
ภาพที่เห็นทำให้หัวใจของเธอแทบหยุดเต้น รถบรรทุกสิบแปดล้อคันหนึ่งเสียหลัก พุ่งหมุนคว้างราวกับอสูรร้ายที่หลุดจากพันธนาการ ตรงเข้าหาหญิงชราผมขาวโพลนร่างเล็ก ที่กำลังยืนตัวสั่นงันงกอยู่กลางถนน หญิงชราผู้นั้นดูตื่นตระหนกจนขยับไปไหนไม่ได้ ในมือที่เหี่ยวย่นของนาง กำด้ามพู่กันเก่าคร่ำคร่าด้ามหนึ่งไว้แน่น...แน่นราวกับมันเป็สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของนางไว้
วินาทีนั้น โลกทั้งใบของหลี่เหมยเคลื่อนไหวช้าลง ไม่มีเวลาให้คิด ไม่มีที่ว่างสำหรับความลังเล จรรยาบรรณแพทย์ที่ฝังลึกในจิติญญาสั่งการให้ร่างกายของเธอเคลื่อนไหวไปเอง
“ระวังค่ะคุณยาย!”
เธอะโสุดเสียงพร้อมกับพุ่งร่างของตัวเองออกไปราวกับลูกธนูที่หลุดจากแหล่ง ร่างกายที่อ่อนล้าจากการผ่าตัดกลับมีเรี่ยวแรงมหาศาลขึ้นมาในบัดดล เธอใช้แรงทั้งหมดที่มี ผลักร่างผอมบางของหญิงชราให้กระเด็นพ้นจากวิถีของอสูรเหล็ก
โครม!
เสียงกระแทกดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของหลี่เหมยถูกแรงปะทะมหาศาลซัดเข้าไปเต็มๆ ความรู้สึกเหมือนกระดูกทุกชิ้นในร่างกายแหลกสลายในพริบตา โลกหมุนคว้าง เธอเห็นเพียงเศษกระจกที่แตกกระจายระยิบระยับกลางอากาศดั่งเพชรพลอย ก่อนที่ร่างของเธอจะร่วงหล่นลงสู่พื้นถนนที่แข็งกระด้าง
ความเ็ปแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กายจนแทบจะกรีดร้องไม่ออก แต่ท่ามกลางความทรมานนั้น สายตาของเธอยังคงจับจ้องไปยังหญิงชราผู้นั้น... นางปลอดภัยดี แม้จะล้มลงไปกองกับพื้น แต่นางยังมีชีวิตอยู่ และในมือ...ยังคงกำพู่กันด้ามนั้นไว้แน่น
ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือใบหน้าตื่นตระหนกของผู้คน และดวงตาที่เบิกกว้างของหญิงชรา รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ซีดเผือดของหลี่เหมย ก่อนที่สติสัมปชัญญะทั้งหมดจะดับวูบลงสู่ความมืดมิดอันเป็นิรันดร์
…จบสิ้นแล้วหรือนี่? ชีวิตที่อุทิศให้กับการช่วยคน… …แต่อย่างน้อย… ฉันก็ช่วยคนได้อีกหนึ่งชีวิต…
ความรู้สึกสุดท้ายคือความสงบและภาคภูมิใจอย่างประหลาด...
แต่แล้ว... ในห้วงแห่งความว่างเปล่านั้น...
ความรู้สึกแปลกประหลาดพลันบังเกิดขึ้น มันไม่ใช่ความเ็ป ไม่ใช่ความมืด แต่เป็ความอบอุ่นบางเบาที่ค่อยๆ ห่อหุ้มจิติญญาของเธอไว้ ราวกับอ้อมกอดของมารดาที่เธอไม่เคยได้ััมานานแสนนาน ก่อนที่ความอบอุ่นนั้นจะจางหายไป กลายเป็ความเย็นะเืของลมหนาวที่พัดผ่านผิวกายที่เธอไม่มี กลิ่นดินแห้งแล้ง กลิ่นควันไฟจางๆ และกลิ่นสมุนไพรที่ไม่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูกที่เธอไม่ได้เป็เ้าของ
เปลือกตาที่หนักอึ้งราวกับภูผาพยายามปรือขึ้นอย่างยากเย็น ภาพที่เห็นพร่าเลือนในตอนแรก ก่อนจะค่อยๆ ปรับความคมชัด... เพดานเต็นท์ผ้าใบเก่าๆ ที่ทำจากผ้ากระสอบหยาบๆ มีรอยปะชุนนับไม่ถ้วน และคราบเขม่าควันจับดำเป็ปื้นๆ
นี่มัน... ที่ไหนกัน?
เธอพยายามขยับตัว แต่ร่างกายกลับอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนน่าใจหาย ราวกับถูกสูบพลังชีวิตออกไปจนหมดสิ้น กล้ามเนื้อทุกมัดปวดร้าวราวกับไม่ได้กินอาหารมานานหลายวัน เธอพยายามเปล่งเสียง แต่ทั้งหมดที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอที่แห้งผากราวกับทะเลทรายมีเพียงเสียงแหบพร่าที่แทบไม่ได้ยิน
“อึก...”
“ซานเอ๋อร์... ซานเอ๋อร์! ลูกฟื้นแล้ว! ์โปรด ในที่สุดเ้าก็ฟื้น!”
เสียงแหบพร่าแต่เต็มไปด้วยความดีใจอย่างสุดซึ้งดังขึ้นจากข้างกาย หลี่เหมยฝืนหันศีรษะที่หนักอึ้งไปมอง ภาพที่เห็นคือสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่ง รูปร่างผอมบางจนเห็นกระดูกไหปลาร้า ใบหน้าซูบตอบเหลืองซีด แต่ดวงตาทั้งสองกลับทอประกายแห่งความห่วงใยและโล่งอกอย่างปิดไม่มิด นางสวมอาภรณ์ผ้าป่านเนื้อหยาบที่เก่าซอมซ่อและมีรอยขาดรุ่งริ่งอยู่หลายแห่ง
“ท่าน... คือใคร?” หลี่เหมยเค้นคำถามออกมาด้วยความสับสนอย่างรุนแรง
ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง ดวงตาของหญิงผู้นั้นก็พลันแดงก่ำ น้ำตาหยดใหญ่เอ่อคลอขึ้นมาทันที “ซานเอ๋อร์... โถ... ลูกแม่ เ้าจำแม่ไม่ได้แล้วหรือ? ไข้ป่าร้ายกาจนี่มันทำลายสมองของเ้าไปแล้วหรือไร... ฮือๆ... ไม่เป็ไรลูก จำไม่ได้ก็ไม่เป็ไร ขอแค่เ้าฟื้นกลับมาก็พอแล้ว...”
หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่า “แม่” ร่ำไห้ออกมาอย่างไม่อาจกลั้นไว้ได้ มือที่หยาบกร้านของนางลูบไล้ไปบนหน้าผากของหลี่เหมยอย่างแ่เบา
หลี่เหมยเบิกตากว้าง ความทรงจำของเธอชัดเจน... พ่อกับแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตไปั้แ่เธอยังเป็เด็กหญิงตัวเล็กๆ เธอเติบโตขึ้นมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แล้วหญิงผู้นี้... เป็ใครกัน?
ทันใดนั้นเอง ราวกับเขื่อนขนาดใหญ่พังทลายลง!
ภาพและความทรงจำนับล้านชิ้นที่ไม่ใช่ของเธอ หลั่งไหลเข้าสู่ห้วงความคิดอย่างบ้าคลั่งและเชี่ยวกราก มันคือเื่ราวชีวิตของเด็กสาวอีกคนหนึ่ง...
เด็กหญิงนามว่า หลี่ซาน... อายุสิบห้าปี... ลูกสาวคนโตของครอบครัวชาวนาผู้ยากจนข้นแค้นจากเมืองเป่ยโจว แคว้นต้าิทางตอนเหนือ... ดินแดนที่กำลังเผชิญกับภัยแล้งครั้งประวัติศาสตร์ แผ่นดินแตกระแหง ผู้คนล้มตายดั่งใบไม้ร่วง... พ่อของนางชื่อ หลี่ต้าเกอ แม่ชื่อ ซูซู และน้องชายตัวเล็กวัยห้าขวบชื่อ หลี่เสี่ยวเป่า... ทั้งครอบครัวกำลังอพยพหนีตาย... ทิ้งบ้านเกิดที่ไร้ซึ่งอนาคต มุ่งหน้าลงใต้สู่ดินแดนที่ร่ำลือว่าอุดมสมบูรณ์กว่า ด้วยความหวังอันริบหรี่ว่าจะรอดชีวิต... แต่ระหว่างการเดินทางที่แสนทรหด หลี่ซานซึ่งร่างกายอ่อนแอเป็ทุนเดิม ก็ล้มป่วยลงด้วยไข้ป่ารุนแรง ท่ามกลางความอดอยากและขาดแคลนยา ในที่สุด... ลมหายใจของนางก็สิ้นสุดลงกลางป่ารกร้าง...
และในวินาทีที่ิญญาของหลี่ซานแตกสลายไปนั้นเอง... ิญญาของแพทย์หญิงหลี่เหมยจากอีกภพหนึ่ง ก็เข้ามาสวมทับร่างนี้อย่างพอดิบพอดี!
“อ๊ากกก!”
หลี่เหมยกรีดร้องออกมาด้วยความเ็ปที่ศีรษะราวกับจะะเิออกเป็เสี่ยงๆ เธอกุมขมับของตัวเองไว้แน่น ข้อมูลทั้งหมดถาโถมเข้ามาจนทำให้เธอแทบคลั่ง ทะลุมิติ! เธอทะลุมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวจีนโบราณที่เพิ่งจะตายไป!
“ซานเอ๋อร์! เป็อะไรไปลูก! อย่าทำให้แม่ใสิ!” ซูซูร้องเสียงหลง ประคองร่างของบุตรสาวไว้ด้วยความหวาดวิตก
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ความเ็ปก็เริ่มทุเลาลง เหลือทิ้งไว้เพียงความมึนงงและตกตะลึงจนพูดไม่ออก หลี่เหมย... ไม่สิ บัดนี้เธอคือหลี่ซาน... พยายามควบคุมลมหายใจให้เป็ปกติ สายตาของเธอกวาดมองไปรอบๆอย่างพิจารณา
นี่คือกระโจมชั่วคราวที่กางขึ้นอย่างลวกๆ โดยใช้ผ้าเก่าๆ ขึงกับกิ่งไม้ ด้านนอกมีเสียงลมหนาวพัดหวีดหวิว แสดงว่าพวกเขายังคงอยู่ในพื้นที่แห้งแล้งทางตอนเหนือของแผ่นดิน
ทันใดนั้น ดวงตาของเธอก็เหลือบไปเห็นวัตถุชิ้นหนึ่งวางอยู่ข้างหมอนฟางเก่าๆ ของเธอ...
พู่กัน!
มันคือพู่กันด้ามเดียวกับที่หญิงชราคนนั้นกำไว้แน่นในวินาทีก่อนที่เธอจะเข้าไปช่วย! มันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ขนพู่กันทำจากขนสัตว์สีขาวนวล ด้ามจับทำจากหยกสีเขียวอมเทา สลักลวดลายเมฆาที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความลึกลับ
ราวกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง หลี่ซานเอื้อมมือที่สั่นเทาของเธอออกไปััพู่กันด้ามนั้นอย่างช้าๆ
ทันทีที่ปลายนิ้วัักับด้ามหยกเย็นเฉียบ...
วูบ!
กระแสพลังงานอุ่นๆ ที่คุ้นเคยสายหนึ่งพลันแล่นปราดจากปลายนิ้วเข้าสู่ร่างกายของเธอ ในเสี้ยววินาทีนั้น ภาพตำราแพทย์แผนปัจจุบันมากมายที่เธอเคยอ่านและศึกษามาตลอดชีวิตก็ปรากฏขึ้นในความคิดอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งราวกับภาพโฮโลแกรมสามมิติ... ตำรากายวิภาคศาสตร์ของเน็ตเตอร์... ตำรายาปฏิชีวนะ... หลักการทำงานของเครื่อง MRI... เทคนิคการผ่าตัดด้วยกล้อง... ความรู้ทั้งหมดที่เธอสั่งสมมาทั้งชีวิตปรากฏขึ้นมาอย่างครบถ้วน!
เธอใจนรีบชักมือกลับ พลันภาพทั้งหมดก็เลือนหายไป เหลือเพียงความทรงจำจางๆ ของหลี่เหมยคนเดิม แต่เมื่อเธอลองเอื้อมมือไปจับมันอีกครั้ง... ความรู้ทางการแพทย์ทั้งหมดก็กลับมาชัดเจนอีกครั้ง!
นี่มัน... ของวิเศษ! หรือว่า... เป็มรดกที่หญิงชราคนนั้นทิ้งไว้ให้เพื่อเป็การตอบแทน?
หัวใจของหลี่เหมยเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นระคนหวาดหวั่น พู่กันด้ามนี้คือสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงเธอกับโลกใบเดิม และมันอาจจะเป็กุญแจสำคัญที่จะทำให้เธอมีชีวิตรอดในโลกใหม่ที่แสนจะโหดร้ายใบนี้
“ซานเอ๋อร์... เ้าเป็อย่างไรบ้าง? รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่? นอนนิ่งๆ เถิด เดี๋ยวแม่จะไปต้มน้ำสมุนไพรมาให้เ้าดื่มไล่ไข้” ซูซูพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงเมื่อเห็นว่าบุตรสาวสงบลงแล้ว ก่อนจะช่วยประคองให้หลี่เหมยเอนตัวลงนอนอย่างเบามือ
หลี่เหมยพยักหน้าช้าๆ แม้จะยังสับสนกับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่สัญชาตญาณความเป็แพทย์ก็เริ่มทำงาน เธอััได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วผิดปกติของตัวเอง ความร้อนที่ระอุอยู่ใต้ิั... นี่คืออาการของไข้สูงจากการติดเชื้ออย่างรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ร่างกายนี้ก็พร้อมจะตายซ้ำสองได้ทุกเมื่อ
“ท่านแม่... ท่านพ่อเล่าเ้าคะ?” เธอพยายามปรับน้ำเสียงให้ฟังดูเหมือนเด็กสาววัยสิบห้าให้มากที่สุด
ซูซูถอนหายใจเฮือกใหญ่ แววตาฉายความกังวลอย่างชัดเจน “พ่อเ้ากับพวกผู้ชายคนอื่นๆ ในกองคาราวานออกไปล่าสัตว์หาอาหารกันั้แ่เช้ามืดแล้ว เสบียงของเราหมดเกลี้ยงมาสองวันแล้วลูก หากวันนี้ยังหาอะไรไม่ได้... พวกเราคงจะแย่”
หลี่เหมยเงียบไป เธอมองใบหน้าที่ซูบตอบของมารดาในร่างใหม่คนนี้ มองมือที่หยาบกร้านแต่กลับอบอุ่นของนาง แล้วมองไปยังมุมหนึ่งของกระโจมที่น้องชายตัวเล็กอย่างหลี่เสี่ยวเป่านอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเก่าๆ ร่างกายผอมจนเห็นซี่โครง เธอรับรู้ได้ถึงความสิ้นหวัง ความเหนื่อยล้า และความรักที่คนในครอบครัวนี้มีให้แก่กัน และในฐานะ "หลี่ซาน" คนใหม่ เธอก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบนี้ไว้เช่นกัน
เธอไม่รู้ว่าการทะลุมิติมาครั้งนี้คือโชคชะตาหรือการลงทัณฑ์ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอรู้ในตอนนี้... คือในเมื่อ์มอบชีวิตที่สองให้เธอในร่างนี้แล้ว เธอก็จะขอมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีที่สุด
และจะใช้ความรู้ทางการแพทย์ทั้งหมดที่มี... ผสานกับพลังลึกลับของพู่กันด้ามนี้... เพื่อรักษาครอบครัวของเธอ และบางที... อาจจะรวมถึงผู้คนอีกมากมายในโลกใบใหม่ที่โหดร้ายทว่าเต็มไปด้วยความหวังแห่งนี้
มือเล็กๆ ของหลี่เหมยกำด้ามพู่กันหยกไว้แน่น ดวงตาที่เคยอ่อนล้าและสับสน บัดนี้เริ่มทอประกายแห่งความมุ่งมั่นและความเด็ดเดี่ยวขึ้นมาอย่างช้าๆ
‘ข้าชื่อหลี่ซาน และสิ่งแรกที่ข้าต้องทำ คือรักษาไข้ติดเชื้อในกระแสเืนี้... ก่อนที่มันจะพรากลมหายใจของข้าไปเป็ครั้งที่สอง!’
แสงจันทร์สีเงินยวงสาดส่องลอดผ่านรอยแยกของกระโจม อาบร่างของเด็กสาวที่กำลังหลับตาลง ท่ามกลางความคิดที่ซับซ้อนและความหวังเล็กๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ... นี่ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็จุดเริ่มต้นครั้งใหม่ที่ท้าทายยิ่งกว่าเดิม... จากนี้ต่อไปข้าชื่อหลี่ซาน...