หูอู้จูใ เห็นสีหน้าเขียวครึ้มของเซียงกงตัวเอง จึงหุบปากอย่างกลัวหัวหดทันที
หวงถิงเฉิงกล่าวขออภัยด้วยท่าทีละอายเล็กน้อย “เสียมารยาทแล้ว ปัญหาพูดจาโผงผางของอู้จูเปลี่ยนไม่ได้ ข้าต้องขออภัยด้วยจริงๆ ขอรับ”
“…ต้าเฉิง อู้จูั้แ่เด็กก็เป็เช่นนี้ พวกเราไม่ใส่ใจหรอก เ้าก็อย่าโมโหเลย นางไม่ได้มีเจตนาไม่ดี” หูฉางกุ้ยค่อนข้างเข้าใจหลานสาวของตนเองเป็อย่างดี
นางไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แค่ทำอะไรไม่คิดและไม่มีสายตามองแยกแยะได้เท่านั้นเอง เจินจูวิจารณ์อยู่ในใจ
นางคิดเล็กน้อย ในที่สุดก็เอ่ยปากออกมา “พี่เขย แม้บัญชีเงินเข้าออกของครอบครัวข้าไม่มาก แต่เื่จุกจิกก็ไม่น้อยเลย หากเชิญท่านมาทำงานบัญชี อาจต้องดูแลเื่อื่นไปด้วยเล็กน้อย อีกอย่างหนึ่ง เงินเดือนปีแรกก็หกร้อยเหวิน หกวันหยุดหนึ่งวัน เหมือนนักเรียนของโรงเรียน ท่านลองคิดใคร่ครวญดูว่า้าทำหรือไม่”
เื่ที่บ้านต้องทำมีไม่น้อย บิดาสกุลหูก็ไม่ชื่นชอบการคิดบัญชีสักเท่าไร ส่วนนางตอนนี้เป็แม่นางเติบใหญ่แล้ว เื่แจกเงินค่าแรงให้ผู้ชายร่างกายกำยำคงไม่เหมาะให้นางทำ
การวางตัวและการติดต่อทางสังคมของหวงถิงเฉิงนับว่าไม่เลว มีประสบการณ์จัดการบัญชีและยังเป็พี่เขยของตนเองอีก ให้เขาช่วยจัดการรายการบัญชีเล็กน้อยก็พอได้
หกร้อยเหวิน? นั่นไม่ใช่ว่าค่าตอบแทนเหมือนกับตอนนี้หรือ?
หูอู้จูอดทนแล้วอดทนอีก ในที่สุดก็อดทนไม่อยู่ “เจินจู หกร้อยเหวินน้อยเกินไปแล้วกระมัง พวกเ้าเชิญอาจารย์สอนหนังสือหนึ่งคนก็จ่ายไปหนึ่งเหลียงแล้ว อย่างไรก็ต้องเพิ่มให้พี่เขยของเ้าสักหน่อยสิ ใช่ไหมล่ะ?”
เจินจูยิ้ม ไม่ได้สนใจนางเพียงยิ้มกับพี่เขยที่จ้องหูอู้จูด้วยใบหน้าอึมครึม “ค่าตอบแทนปีนี้คือหกร้อยเหวิน ผ่านปีไปหากทำได้ดีค่อยพิจารณาเพิ่มมากขึ้น พี่เขย พวกท่านพิจารณาดูก่อนเถอะ ตอนนี้ครอบครัวข้าก็ไม่ใช่ว่าต้องเชิญนายงานบัญชีให้ได้”
“ท่านแม่ ซิ่วจูหลับไปแล้ว ท่านอุ้มนางกลับเข้าไปในห้องเถอะเ้าค่ะ”
นางไม่ได้สนใจพวกเขาอีก และโน้มตัวเข้าไปช่วยปัดเส้นผมอันยุ่งเหยิงของเ้าตัวเล็กไปไว้หลังใบหู
หวงถิงเฉิงเงียบไม่พูดไม่จาอยู่ชั่วขณะ แล้วหันมาโค้งกายทำมือคำนับทางเจินจู “ขอบใจน้องสามเป็อย่างมาก ข้าจะกลับไปเตรียมลาออกจากงานในเมือง รอให้เื่ทางนั้นจัดการแน่ชัดแล้วจะมารับทำงานที่บ้านท่านอารอง”
เขาดึงหูอู้จูขึ้น อำลาด้วยความสงบและเคารพนบนอบ
เจินจูพึงพอใจกับท่าทีของเขาเป็อย่างมาก บนโลกใบนี้ไม่มีเื่อะไรเป็ไปได้ดังใจ หากคิดอาศัยเพียงความสัมพันธ์การเป็ญาติแล้วคิดว่าจะต้องเป็เช่นนี้เช่นนั้นอย่างเดียว เช่นนั้นคนแบบนี้สำหรับนางแล้วคงไม่ต้องรักษาความรู้สึกดีๆ อะไรกันไว้
มีความสามารถ มีการรู้จักประเมินตนเองได้ ถ่อมตัวและการกระทำระมัดระวังรอบคอบ รู้จักลำดับความสำคัญเข้าใจอะไรควรไม่ควร คนเช่นนี้ไม่ว่าจะไปที่ใดล้วนสามารถได้รับความรู้สึกชอบพอของผู้อื่นได้แน่นอน
หูอู้จูออกมาจากประตูลานบ้านสกุลหู ก็ยัดบุตรสาวตัวเล็กในอ้อมแขนเข้าไปในอ้อมอกของหวงถิงเฉิงทันที แล้วเดินไปอยู่ข้างหน้าด้วยความโกรธเคือง
หวงถิงเฉิงกล่อมบุตรสาวตัวน้อยอย่างเสียไม่ได้ และเดินตามไป
“แค่หกร้อยเหวินเอง ทำไมเ้าต้องตอบรับพวกเขา เงินเล็กน้อยนี่แตกต่างอะไรกับอยู่ร้านขายของจิปาถะ หากรู้เร็วกว่านี้ข้าไม่มาหรอก เชอะ!” หูอู้จูหันหน้ามากล่าวด้วยความโมโห
หวงถิงเฉิงใบหน้าครึ้มลงทันที “ทำไมเ้าสายตาสั้นตื้นเขินเพียงนี้ ต้องรู้จักมองสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบเงินด้วยสิ”
“ทำงานไม่ใช่เพื่อค่าตอบแทนหรือ ทำไมจะไม่ถูกล่ะ?”
“เป็เงินหกร้อยเหวินเหมือนกัน แต่บ้านท่านอารองของเ้าอยู่ใกล้กับหมู่บ้านต้าวัน สามารถกลับบ้านได้ทุกวัน ไม่ดีหรือ?”
“…นี่ก็จริง”
“หยุดหนึ่งวันทุกหกวัน เช่นนั้นหนึ่งเดือนก็หยุดได้สี่วัน ไม่ดีกว่าหยุดได้แค่สองวันหรือ?”
“…อื้ม เหมือนว่าจะค่อนข้างดีกว่า”
“ตอนนี้ใกล้จะเข้าเดือนสิบแล้ว ค่าตอบแทนของปีหน้าจะพิจารณาเพิ่มขึ้น เ้าไม่ได้ยินหรือ?”
“…ได้ยิน”
“ที่สำคัญที่สุดคือ คนทั้งครอบครัวท่านอารองของเ้าซื่อสัตย์และจิตใจมีเมตตา ไม่มีทางเยาะเย้ยเสียดสีเซียงกงของเ้าหรอก ไม่มีมูลเหตุก็ไม่ดุด่า สิ่งเหล่านี้เ้าไม่คิดว่าดีทั้งนั้นเลยหรือ?”
“…เซียงกง ข้าผิดไปแล้วได้หรือไม่”
...หลัวจิ่งกำลังนั่งอยู่ในร้านน้ำชาข้างจุดพักเปลี่ยนม้า ค่อยๆ เคี้ยวจ๋าเมี่ยนปิ่ง [1] ที่แห้งและแข็งอย่างออกแรง หลัวสือซานที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นจึงรีบกล่าวกับลูกจ้างร้าน “น้องชาย ขอน้ำชา”
“นายท่าน ให้ข้าเอาบะหมี่ขึ้นโต๊ะให้ท่านหรือไม่ขอรับ?” ที่นี่เป็บริเวณกำแพงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งของชายแดน เพราะละแวกใกล้เคียงมีาตลอดทั้งปี ทั่วทั้งกำแพงเมืองจึงมีประชากรไม่เท่าไร สถานที่เงียบเชียบวิเวกวังเวง เป็ธรรมดาที่อาหารย่อมขาดแคลนไปด้วย
หลัวจิ่งส่ายหน้า ดื่มชาครึ่งถ้วยลงไป ฝืนเติมเต็มท้องให้อิ่มเท่านั้น
ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกจะพิถีพิถันได้เสียที่ไหน อีกอย่างเขามาถึงชายแดนเกือบสามปีแล้ว ไม่เคยได้ทานดีๆ เหมาะสมสักสองสามอย่างเลย อาหารประเภทเนื้อส่วนใหญ่ ไม่ใช่ย่างก็เป็รมควัน รสชาติจัดและยังอมน้ำมันอีกด้วย เขาเอ่ยความน่าสนใจขึ้นมาไม่ได้เลยจริงๆ ทุกครั้งที่ทานข้าวเขามักคิดถึงอาหารของบ้านสกุลหูอยู่บ่อยๆ
นึกถึงครอบครัวสกุลหูขึ้นมา หลัวจิ่งเงยหน้ามองขึ้นไป “ต้าฮุยยังไม่กลับมาอีกหรือ?”
“ยังเลยขอรับ แต่คาดว่าน่าจะใกล้แล้ว” ยามนี้พวกเขาแต่งกายอย่างชาวบ้านทั่วไปของเมืองชายแดน โต๊ะน้ำชาบริเวณโดยรอบยังมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่แต่งกายเรียบๆ นั่งอยู่อีกหนึ่งกลุ่ม
“วันนี้ช้าไปหน่อยแล้ว” หลัวจิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ผิวสีข้าวสาลีอยู่ภายใต้แสงแดดของเมืองชายแดน เปล่งประกายมันวาวอย่างมีสุขภาพดี
ชายหนุ่มวัยสิบหกปี เครื่องหน้าชัดเจนราวแกะสลัก ลายเส้นร่างกายแข็งแรงแต่ยังคงไว้ด้วยความสง่างาม เมื่อเดินอยู่บนถนนในเมืองชายแดน ไม่รู้ว่าถูกเด็กสาวใจกล้าสารภาพความในใจตั้งเท่าไรแล้ว
“นั่นน่ะสิ แต่ต้าฮุยฉลาดเฉียบแหลม แล้วยังบินได้สูง นายท่านไม่ต้องเป็ห่วงขอรับ” ต้าฮุยกับต้าไป๋เป็สัตว์แสนรักของหลางเจียง [2] ขนหายไปสักหนึ่งเส้นล้วนต้องกังวลครึ่งค่อนวัน เวลาไปกลับของต้าฮุยครั้งนี้ช้าไปหน่อย ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะเป็กังวล
หลัวจิ่งใช้สายตาทอดมองไปยังทิศทางห่างไกลที่ต้าฮุยบินไป
ต้าฮุยกับต้าไป๋เป็ของขวัญที่เจินจูมอบให้เขา
ในปีนั้นพอได้รู้ว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าเขาต้องไปชายแดนหาพี่ชายใหญ่ นางจึงฝากฝังเ้าของร้านหลิวให้ช่วยหานกพิราบสื่อสารคู่นี้มา
อาจเป็นางที่มีวาสนาต่อสัตว์มาแต่กำเนิด สัตว์ปีกและสัตว์เดินบกที่ผ่านการฝึกเลี้ยงโดยนาง หนึ่งตัวมีความฉลาดเฉียบแหลมยิ่งกว่าอีกหนึ่งตัวนัก
นกพิราบคู่นี้นางเลี้ยงและฝึกเพียงสิบวัน ท่าทางฉลาดปราดเปรื่องไปทั่วทั้งตัวนั้น เทียบแล้วไม่ได้แย่ไปกว่าเสี่ยวเฮยเลย
หลัวจิ่งหวงแหนอย่างมาก สาเหตุไม่เพียงเพราะเป็นางที่มอบให้เขาอย่างเดียว แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือประโยชน์ของต้าฮุยกับต้าไป๋มีมากเกินไปจริงๆ
ไม่เพียงสามารถบินได้พันลี้ในหนึ่งวัน แต่ยังบินได้สูงกว่านกพิราบทั่วไปอีก พลธนูบนพื้นก็ทำอะไรมันไม่ได้
ทนต่อสภาพอากาศที่เลวร้ายได้ แยกแยะภูมิประเทศที่สลับซับซ้อนออก เฉลียวฉลาดแล้วยังระมัดระวังตัว สามารถเลี่ยงศัตรูและการทำอันตรายของมนุษย์ได้อย่างชาญฉลาด
โครงกระดูกหนาและอ่อนช้อย ปีกยาวและขนแน่น ความสามารถในการต้านทานโรคและความหนาวเย็นก็เยี่ยมเป็อย่างมาก
เลี้ยงมาเกือบสามปี ออกไปทำหน้าที่มาก็นับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยมีสักครั้งที่ทำจดหมายหล่นหาย หากมีปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ไม่สามารถส่งจดหมายไปถึงได้ พวกมันก็จะนำจดหมายเดิมกลับมา มีหลักการที่ยึดถือได้อย่างมาก
พวกเขาอาศัยอยู่เมืองชายแดนแห่งนี้มาหลายวันแล้ว การสื่อสารและข่าวคราวทั้งหมดต้องอาศัยต้าฮุยกับต้าไป๋
“มาแล้วขอรับ!”
หลัวสือซานกล่าวเสียงเบา
ที่ไม่ไกลออกไป บุรุษสวมเสื้อนวมผ้าหยาบสองชั้นผู้หนึ่งเดินมาทางพวกเขา
ขณะที่ผ่านพวกเขา กระดาษขดม้วนเป็กลมก็กลิ้งหล่นลงมาอย่างไร้ความผิดปกติ
หลัวสือซานอำพรางอย่างรวดเร็ว ทันทีหลังจากนั้นก็ส่งไปให้หลัวจิ่ง
หลัวจิ่งเปิดออกโดยใช้แขนเสื้อคลุม กวาดตาอ่านด้วยความรวดเร็ว หลังจากนั้นม้วนกระดาษแล้วยัดเข้าในอก
“ไป”
เขาลุกขึ้นยืนก่อน แล้วก้าวสวบๆ จากไป
ชายแดนเป็สังคมกล้าหาญ คนที่กล้าทำมาหากินอยู่เมืองชายแดนส่วนใหญ่ล้วนมีวิธีการบางอย่าง
ที่นี่เป็เมืองเล็กๆ ธรรมดาแห่งหนึ่งที่อยู่แนวหน้าของเมืองชายแดน ไม่ใช่สถานที่การทหารสำคัญอะไร ดังนั้นการป้องกันเมืองเลยไม่ได้เข้มงวดมาก ่เวลาที่สงบประชาชนชาวฮั่นและชาวบ้านเลี้ยงสัตว์ก็หลั่งไหลมารวมกันมากด้วย ประชาชนของที่นี่ต่างฝ่ายต่างเห็นความแปลกประหลาดจนเป็เื่ปกตินานแล้ว
ด้านตะวันตกของเมือง มีบ้านพักเตี้ยๆ หนึ่งผืน อยู่ในซอยเล็กๆ ตัดสลับไปมา น้อยนักที่จะมีคนเดินถนนมาหยุดอยู่ที่นี่ ที่นี่เป็เมืองเล็กๆ ของประชาชนทั่วไป ความวุ่นวายอันเกิดจากภัยาติดต่อกันหลายปีมานี้ ชาวบ้านธรรมดาที่มีความสามารถได้ออกจากเมืองด่านหน้าของาไปนานแล้ว ที่เหลืออยู่เป็ผู้ไม่มีเงินและไร้ความสามารถจะออกไป หรือบางส่วนก็เป็พวกที่มีความกล้าหาญมากคิดอยากจะร่ำรวยจากลาภลอยของภัยา สรุปแล้วขณะนี้ที่ยังมีผู้กล้าอยู่ภายในเมืองเดินรอดผ่านไปมา มากน้อยอย่างไรก็ล้วนเป็พวกเ้าถิ่นที่หาเื่ยุแหย่ได้ยาก
หลัวจิ่งหยุดพักไม่ได้กล่าวอะไร ข้างหลังเขามีชายฝีเท้าเบาติดตามสิบกว่าคน
“อยู่ในลานบ้านทางฝั่งตะวันตกสุด ข้างในซ่อนอยู่ห้าคน หน้าบ้านมีโอ่งน้ำเก่าลูกหนึ่ง สือซาน เ้านำทางพวกเขาสองสามคนไปล้อมจากข้างหลัง อย่าให้คนฉวยโอกาสวิ่งวุ่นได้”
“ขอรับ นายท่าน” หลัวสือซานขานรับเสียงค่อย สะบัดมือออกคำสั่งทันที นำคนหายไปกลางเขตอาศัยในบ้านที่ยุ่งเหยิงผืนนี้
กลุ่มหลัวจิ่งเดินไปข้างหน้าอย่างไร้เสียง มีชาวบ้านข้างทางที่ชำเลืองเห็น ต่างรีบลงกลอนประตูปิดหน้าต่างทันที กลัวมากว่าคนกลุ่มนี้ที่ดูน่ากลัวจะหยุดแล้วเข้ามาในบ้านตนเอง
เดินอยู่ในตรอกเล็กที่รกและสกปรก บนใบหน้าหลัวจิ่งสุขุมและเยือกเย็น ติดตามพี่ชายใหญ่เข้าร่วมเป็ทหารสามปี จากทหารธรรมดาหนึ่งนายได้เลื่อนขึ้นไปถึงหลางเจียงระดับห้า ล้วนเป็การสั่งสมความดีความชอบทีละอย่างขึ้นมาทั้งสิ้น จากความกังวลและความหวาดกลัวในการฆ่าคนตอนเริ่มแรก จนภายหลังผ่านาเล็กใหญ่แต่ละรูปแบบมา ก็ค่อยๆ มีความสุขุมอย่างูเาไท่ซานถล่มลงมาตรงหน้าสีหน้าก็ไม่เปลี่ยน [3]
“ปึง” หลังหนึ่งเสียงดังขึ้น เสียงตวาดด้วยความโกรธและเสียงต่อสู้ก็ดังตามมาทันที
ผ่านไปครึ่งเค่อ เสียงก็ค่อยๆ หายไป แล้วเขตที่พักอาศัยของประชาชนทางฝั่งตะวันตกของเมืองก็กลับคืนสู่ความสงบ
เสียงต่อสู้ไม่ได้ดึงดูดคนอื่นให้มามุงดู ่เวลาพิเศษเช่นนี้มีเพียงคนที่รังเกียจชีวิตยืนยาวของตัวเองเท่านั้นที่กล้าเข้าใกล้ความคึกคักที่เกิดขึ้น
“จับได้หมดแล้วหรือ?” หลัวจิ่งเสียงทุ้มต่ำและเมินเฉย
“เรียนนายท่าน ยังขาดหนึ่งคน” หลัวสือซานนับเชลยศึกที่มัดด้วยเชือกป่านและยัดปากด้วยเศษผ้า
“ค้นหาต่อไป” หลัวจิ่งขมวดคิ้วขึ้น
“ขอรับ” หลัวสือซานออกคำสั่งให้คนค้นหาลานบ้าน
หลัวจิ่งเดินเข้าห้องโถงในลานบ้านช้าๆ เครื่องเรือนเก่าและผุพังที่จัดวางอยู่มีฝุ่นเกาะเต็มไปทั่ว เห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้เพิ่งมาหยุดค้างที่นี่ได้ไม่นาน
ทันใดนั้น หัวใจของเขาก็กระตุก เอียงกายหลบหนึ่งที เลี่ยงธนูจากบนหลังคาที่จู่โจมแหวกอากาศเข้ามาอย่างรุนแรง
“ตึก” ลูกธนูยาวปักลงผิวดินที่แข็งแรง วิถีธนูแข็งแกร่ง ปักลงดินไปสามส่วน
หลัวจิ่งเพียงกวาดตามองไปแวบหนึ่งก็รู้ได้ว่าคนยิงธนูฝีมือฝึกมาอย่างโเี้ร้ายกาจ
เสียงอันแหลมคมตัดผ่านท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ตามมาติดๆ หลัวจิ่งชักดาบที่ห้อยติดกายออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อสกัดกั้น
“เคร้ง” เสียงอาวุธมากันดังสะท้อนก้องอยู่ในบ้านที่กว้างโล่ง
ชายมีเครารกรุงรังแต่ดูเคร่งขรึมผู้หนี่งะโลงจากคาน มีดยาวในมือฟันบนดาบของหลัวจิ่ง
หลัวจิ่งถูกพละกำลังอันแข็งแกร่งกระแทกจนง่ามระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งออกอาการชา เขาไม่มีเวลาให้คิดมากแล้ว ชายผู้นั้นพลิกฝ่ามือแล้วฟันอย่างรุนแรงเป็แนวขวางหนึ่งรอบ
หลัวจิ่งสายตาเคร่งขรึมและยกดาบขึ้นต้าน
ระหว่างที่สองคนปะมือกันไม่กี่ลมหายใจ ก็ได้รู้ระดับความสามารถของฝ่ายตรงข้ามว่าเป็อย่างไร
เมื่อทุกคนที่ค้นหาอยู่นอกบ้านได้ยินการเคลื่อนไหว ต่างพากันล้อมเข้ามา
“นายท่าน ระวัง!” หลัวสือซานะโด้วยความตึงเครียด
เขามองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าวรยุทธ์ของชายผู้นั้นสูงส่งและแข็งแกร่ง ลงมือโเี้รุนแรง ทุกมีดล้วนใช้ฝีมือเต็มสิบขั้น หากบนมือหลัวจิ่งไม่ใช่ว่าถือดาบอันล้ำค่าที่หลัวรุ่ยตามหามาให้เขาโดยเฉพาะ เกรงว่าคงหักและคนาเ็ไปนานแล้ว
หลัวจิ่งตอบโต้อย่างสุขุม ไม่ปะทะมีดของชายผู้นั้นอีก กลับใช้ดาบกวัดแกว่งไปรอบชายตรงหน้าด้วยความคล่องแคล่ว
ชายผู้นั้นโดนขวางไว้ทั้งซ้ายและขวา ค่อยๆ ถูกควบคุมเข้ามาเรื่อยๆ ไม่สามารถโจมตีได้อีก
“เพ้ย ไม่สู้แล้ว พวกเ้าคนชนชาติฮั่นชินกับการต่อสู้ที่งดงามแต่ใช้งานไม่ได้จริง ล้อมไว้แบบนี้ไม่เป็สุภาพบุรุษเอาเสียเลย” ชายผู้นั้นสะบัดมีดใหญ่ออกและถอยไปด้านข้าง ในคำพูดมีสำเนียงแข็งแกร่ง
หลัวสือซานรีบมายืนข้างกายหลัวจิ่ง “นายท่าน คนผู้นี้เหมือนเป็จากานปาลาองค์ชายสามของชาวหว่าชื่อ [4]”
หลัวจิ่งตื่นใ ทันใดนั้นรีบะโบอก “ล้อมบ้านไว้”
“ฮ่าๆ” ชายผู้นั้นกลับหัวเราะเสียงดัง และะโขึ้นออกจากหน้าต่างผุพังไป
ทุกคนรีบวิ่งออกไปทันที เมื่อไปถึงตรงหน้าต่างนั้นกลับไม่พบเงากายของชายผู้นั้นแล้ว
“นายท่าน ปล่อยให้หนีไปได้เสียแล้วขอรับ”
หลัวจิ่งหรี่ตาลงเล็กน้อย ั์ตาแสดงออกอย่างอารมณ์เสีย... สุดท้ายก็ปล่อยให้เขาหนีไปได้
เชิงอรรถ
[1] จ๋าเมี่ยนปิ่ง (杂面饼) คือ คุ้กกี้แผ่นกลม โดยทำขึ้นจากแป้งหมี่ที่ทำด้วยถั่วเขียวและถั่วเหลือง
[2] หลางเจียง (郎将) คือ เสนาธิการทหารในยุคสมัยจีนโบราณ
[3] ูเาไท่ซานถล่มลงมาตรงหน้าสีหน้าก็ไม่เปลี่ยน เป็การบรรยายถึงความเยือกเย็น สงบ เจออะไรก็ไม่แตกตื่น
[4] ชาวหว่าชื่อ (瓦刺) คือ ชาวมองโกลเผ่าออยรัต
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้