คืนนั้น กงกงท่านหนึ่งเข้ามาประกาศพระราชโองการสั่งให้เหยียนอู๋อวี้สนองพระโอษฐ์ในคืนนี้
หลี่ว์เหลียงฝู่ หลี่ว์กงกงผู้นี้กล่าวกันว่าเป็บุตรบุญธรรมของเว่ยหรูไห่ ทว่าเติบโตมาพร้อมกับซ่งอี้เฉิน การที่พระองค์ส่งเขามาแสดงให้เห็นถึงความจริงจังอย่างยิ่ง
ผู้ที่สามารถครองตำแหน่งสูงในวังได้ล้วนมีหูตาเป็สับปะรด ความเคลื่อนไหวในตำหนักเฟิ่งชัยไม่มีทางรอดพ้นหูตาของคนที่อยู่รอบๆ ได้เป็แน่ เมืองหลวงที่ดูผิวเผินเงียบสงบย่อมมีคลื่นใต้น้ำไหลเวียนอยู่ คนในตำหนักเฟิ่งชัยผู้นี้เพียงทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้ รับพระราชโองการอย่างมีความสุขเป็พอ นางยัดก้อนทองขนาดเล็กก้อนหนึ่งใส่มือหลี่ว์กงกงก่อนเอ่ยปากถามเขาอย่างไร้เดียงสา “ฝ่าาชื่นชอบข้าหรือไม่?”
หลี่ว์เหลียงฝู่เหลือบมองก้อนทองปราดหนึ่งแล้วจึงยัดเข้าไปในแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว ก่อนจะมองเหยียนอู๋อวี้ด้วยสายตาเหยียดหยามเล็กน้อย ทว่าวาจาที่เอ่ยออกมากลับสุภาพยิ่งนัก “ฝ่าาใกล้เสด็จมาถึงแล้ว ท่านยังไม่ชัดเจนอีกหรือ?”
เหยียนอู๋อวี้หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ตื่นเต้นยิ่งกว่าเด็กเล็กเสียอีก
ก็เพียงแค่เป้าธนูเป้าหนึ่ง น่าสงสารที่ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าตนเองถูกย่างบนกองไฟแล้วถึงได้มีความสุขเพียงนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าท้ายที่สุดแล้ว คนในตำหนักอวี้ซิ่วผู้นั้นจะจัดการเ้าอย่างไร หลี่ว์เหลียงฝู่ทอดถอนใจให้คนเบื้องหน้าผู้นี้ แต่กระนั้นสีหน้ากลับยังคงเรียบเฉย เมื่อกล่าวขอบคุณเสร็จก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปทันที
เหยียนอู๋อวี้ส่งหลี่ว์เหลียงฝู่ไปแล้ว จากนั้นนางจึงสั่งให้จื่ออินไปเตรียมของเสวย ส่วนตนเองนั่งให้ซูอิ่งแต่งตัวอยู่หน้ากระจก รูปโฉมหญิงงามล่มเมืองที่สะท้อนในกระจกดูแปลกตานัก ทว่าใบหน้านี้กลับมีประโยชน์มากจริงๆ อย่างน้อยก็มีคนหิ้วนางออกมาจากฝูงชน
สีหน้าของหญิงสาวในกระจกฉายแววอึมครึม ไร้ซึ่งกลิ่นอายความอ่อนต่อโลกอย่างสิ้นเชิง เสมือนคนชราที่อยู่ในวัยร่วงโรย ภาพบนกระจกทองเหลืองอันพร่ามัวหาได้สะท้อนความกร้านโลกภายในดวงตาของนางออกมาไม่ ทว่าเงาร่างของป้าโฉ่วกลับโผล่เข้าไปในนั้นแทน
ป้าโฉ่วเกิดความลังเล มือที่ถือถ้วยชาสั่นเทาเล็กน้อย ทว่านางยังคงเอ่ยปากพูดตามปกติ “นายหญิง นี่คือชายอดอ่อนใบม่วงจากเขากู้จู่ที่พระสนมซูเฟยส่งมาให้ท่านเ้าค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้กะพริบตาพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มระรื่น “อืม ข้าขอลองดื่มดูก่อน หากรสชาติดี เช่นนั้นเ้าค่อยชงให้ฝ่าาสักแก้ว ปริมาณมากมายเพียงนี้เรามิอาจเก็บไว้ส่วนตัวได้”
ยังไม่ทันได้เปิดฝา กลิ่นหอมของใบชาพลันโชยมาแตะจมูก เครื่องเคลือบหยกขาวโปร่งเข้าคู่กับชาสีม่วงอ่อนอย่างน่าดึงดูด เหยียนอู๋อวี้ยกมือขึ้น น้ำชากว่าครึ่งถูกดื่มลงไปในท้อง หลังจากที่นางได้ลิ้มลองรสัันั้นแล้ว นางพลันเอ่ยพลางแย้มยิ้มว่า “รสชาติดียิ่งนัก รีบชงให้ฝ่าาสักแก้วเถิด พระองค์มาถึงจะได้เสวยพอดี”
ป้าโฉ่วตอบรับก่อนเดินจากไป ความกังวลใจในดวงตาของนางส่งไปถึงแสงจันทร์กระจ่างบนท้องนภาลัย
ทว่าเหยียนอู๋อวี้กลับมีสีหน้าตื่นเต้น นางหยิบปิ่นทองหลากหลายชิ้นขึ้นมาพลางถามซูอิ่งว่าชิ้นไหนสวย จากนั้นก็ชูปิ่นเงินลายเมฆาพลางเอ่ยถามว่าชิ้นนี้เหมาะสมกว่าใช่หรือไม่ ซูอิ่งเอ่ยเออออไม่ขาดปาก ทว่าสุดท้ายนางกลับเลือกหยิบปิ่นหยกขึ้นมาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ “มวยผมแบบธรรมดาเถิด ข้าคิดว่าฝ่าาจะต้องชอบปิ่นหยกอันนี้เป็แน่!”
ซูอิ่งมิได้ตอบกลับอันใด กลับเป็เสียงบุรุษคมเข้มดังกระซิบข้างหูนางแ่เบา “ก็ดี เวลาดึงออกจะได้ไม่ลำบาก”
“ฝ่าา…” เหยียนอู๋อวี้รีบหันศีรษะกลับไปด้วยท่าทางดีอกดีใจ ริมฝีปากสีสดเฉียดผ่านใบหน้าเขา ลมหายใจที่รินรดพัดพาความหอมหวานนุ่มนวลเข้าผสานเป็หนึ่งเดียวกับลมหายใจเขา
ดวงตาของซ่งอี้เฉินพลันเปล่งประกาย เขาบีบข้อมือบอบบางไร้กระดูกของนาง ก่อนจะฝังใบหน้าซุกไซ้ลำคอระหงพลางสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเอ่ยปากถาม “นี่คือกลิ่นหอมอันใดหรือ?”
“ฝ่าา...…จั๊กจี้…...” เหยียนอู๋อวี้หัวเราะคิกคัก เอ่ยเสียงติดๆ ขัดๆ “พระสนมซูเฟยส่งมาให้เพคะ บอกว่าเป็ชายอดอ่อนใบม่วงเขากู้จู่ บรรณาการจากเมืองหูโจว พระสนมมีเมตตาประทานให้หม่อมฉันทั้งหมด หม่อมฉันไม่มีของดีอันใดมากนัก จึงอยากชงสิ่งนี้ให้ฝ่าา...…”
ซ่งอี้เฉินกวาดสายตามองบนโต๊ะ ชาครึ่งถ้วยยังคงมีควันลอยฟุ้ง เขาแย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “แมวน้อยจะกละตัวใดขโมยดื่มไปครึ่งถ้วยแล้วเล่า?”
เหยียนอู๋อวี้ยกมุมปากไม่พอใจ ก่อนจะกล่าวอย่างน้อยใจว่า “หม่อมฉันต้องลองชิมดูว่าดีหรือไม่ดี หม่อมฉันให้ป้าโฉ่วไปชงใหม่อีกถ้วย ฝ่าาทรงมาเร็วเกินไปต่างหากเพคะ!”
“ไม่ต้องชงแล้ว เจิ้นจะดื่มครึ่งถ้วยนี้ของเ้า” ขณะที่เอ่ย ซ่งอี้เฉินพลันยื่นมือมาจับถ้วยชาไว้ระหว่างสองนิ้ว กลิ่นชาคละคลุ้ง ทว่า...…
“โอ้กอ้าก…...”
ครู่ก่อนหน้านี้เหยียนอู๋อวี้ยังแย้มยิ้ม ทว่าครู่ต่อมานางกลับสีหน้าเปลี่ยนสี กระอักเืออกมาจากริมฝีปากประหนึ่งดอกกุหลาบเฉียงเวย[1]ดอกหนึ่งร่วงหล่นอย่างน่าสยดสยอง ร่างกายนางโอนเอนง่อนแง่น ซ่งอี้เฉินรีบยื่นมือโอบร่างนางไว้ในอ้อมแขน นางฝืนลืมตาแย้มยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยอย่างยากลำบาก “ฝ่าา…...อย่ากลัว หม่อมฉัน…...ไม่เป็ไร...…”
นางยังเอ่ยไม่ทันจบประโยคก็ล้มพับหมดสติในอ้อมแขนเขาทันที
“รีบตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของซ่งอี้เฉินเ็า เขาเงยหน้ามองหลี่ว์เหลียงฝู่ที่ยังยืนตะลึงงันอยู่แล้วพลันขึ้นเสียงใส่ “หลี่ว์เหลียงฝู่ ตามหมอหลวง!”
“พ่ะย่ะค่ะ……บ่าว...…” หลี่ว์เหลียงฝู่ตั้งสติ รีบวิ่งล้มลุกคลุกคลานออกไป
บนใบหน้าซีดขาวของหญิงสาวมีเพียงหางตาที่ขึ้นสีแดงเข้ม ยิ่งเพิ่มความโศกเศร้าถึงขีดสุดให้กับใบหน้าที่งามพริ้งของนาง เสียงของนางยังคงดังอื้ออึงวนเวียนอยู่ข้างหูของเขาไม่หยุด
‘ฝ่าา อย่ากลัว หม่อมฉันไม่เป็ไร’ เสียงในความทรงจำเสียดแทงหัวใจคน ซ่งอี้เฉินกอดนางแน่นอย่างควบคุมไม่ได้
“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว หมอหลวงใกล้มาถึงแล้ว!” คนเป็ฮ่องเต้มือสั่นเทา พยายามใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดใบหน้าของนาง เขาไม่ทันได้สังเกตเลยสักนิดว่าผ้าเช็ดหน้าในมือเขาถูกอาบย้อมเป็สีแดงสดจนเต็มผืนแล้ว ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นสายตาเ็าของเขาขณะที่เขาก้มหน้า ผู้คนล้วนได้ยินเพียงเสียงร้องเรียกด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งของเขา “อวี้เอ๋อร์...…อวี้เอ๋อร์......”
หลี่ว์เหลียงฝู่ลากหมอหลวงเข้ามาเห็นท่าทางตื่นใของฝ่าา ภายในใจพลันรู้สึกลนลานตามไปด้วย สนมผู้นี้ต้องสำคัญมากเป็แน่ เกรงว่าวันนี้คงต้องห้อยศีรษะไว้บนเอวแล้วกระมัง[2]
หมอหลวงรีบเดินไปตรวจชีพจรวินิจฉัยอาการ จากนั้นจึงหยิบยาเม็ดเล็กสีดำหนึ่งเม็ดออกมาจากล่วมยาที่พกติดตัวส่งให้หลี่ว์เหลียงฝู่ทันทีพลางกล่าวอย่างระมัดระวัง “สนมท่านนี้ชีพจรผิดปกติ ทั่วทั้งร่างเกร็งกระตุก ริมฝีปากคล้ำม่วง ใบหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย...…คล้ายกับ...…”
“พูด!” ซ่งอี้เฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าเ็าอย่างยิ่ง
“อาการของสนม...…คล้ายถูกพิษพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งอี้เฉินถามกลับอย่างร้อนใจ “คล้ายหรือ?”
“ยาเม็ดนี้กำจัดพิษได้พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงรีบกล่าว “เพียงแต่ยังต้องตรวจดูอาการอย่างละเอียดในสิ่งที่สนมเสวยเข้าไปในวันนี้จึงจะยืนยันได้ รบกวนฝ่าาช่วยเรียกผู้ดูแลใกล้ชิดของสนมมาให้กระหม่อมสอบถามอย่างละเอียดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ดียิ่ง ย้ายเข้าตำหนักเฟิ่งชัยวันแรกก็ถูกวางยาพิษเสียแล้ว นางใจอำมหิตพวกนี้เห็นเจิ้นอยู่ในสายตาบ้างหรือไม่!” ซ่งอี้เฉินเผยสีหน้าโเี้พร้อมเอ่ยคำพูดชั่วร้าย หมายจะเข้าไปสั่งสอนคนทั้งตำหนักหลังจริงๆ
ป้าโฉ่วรีบก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมกับคุกเข่าลงกระแทกพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่น
ซ่งอี้เฉินมองหัวหน้าหมอหลวงที่ตัวสั่นงันงกอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเ็า “มีอันใดจะถามก็รีบถาม ชักช้าเสียเวลา หากเกิดอันใดขึ้นกับอวี้เอ๋อร์ ระวังศีรษะเ้าให้ดี”
“พ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าหมอหลวงปาดเม็ดเหงื่อเย็นวาบที่ผุดออกมาบนหน้าผาก เนื่องด้วยท่าทีของฝ่าา เขาจึงปฏิบัติต่อป้าโฉ่วด้วยท่าทีที่สุภาพขึ้น “รบกวนท่านป้าช่วยทวนสิ่งที่สนมเสวยไปวันนี้อย่างละเอียดสักรอบ บอกอาการและ่เวลาที่สนมมีอาการสักหน่อยขอรับ”
“วันนี้นายหญิงรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อยเ้าค่ะ จึงไม่ค่อยอยากอาหาร ่เช้าเสวยเพียงนมตุ๋นน้ำตาลครึ่งถ้วย ่บ่ายกินข้าวฟ่างต้ม ตั้งโอ๋ผัดน้ำมันหอย ยำกระเพาะหมูเส้น ่เย็นดื่มรังนกตุ๋นน้ำตาลกรวดไปไม่กี่คำเ้าค่ะ...…” ป้าโฉ่วกัดฟันกรอด หมอบลงไปทางซ่งอี้เฉิน “ฝ่าา พระองค์ต้องตัดสินแทนนายหญิงของกระหม่อมนะเ้าคะ ตอนบ่ายท่านป้าหงเหลียนจากตำหนักอวี้ซิ่วมาประทานชายอดอ่อนใบม่วงเขากู้จู่หนึ่งกล่องให้นายหญิงเรา นายหญิงเห็นแล้วดีใจมาก เมื่อครู่จึงให้บ่าวไปชงมาให้ดื่ม ผ่านไปครู่หนึ่ง...…นายหญิงก็…...กลายเป็เช่นนี้แล้วเ้าค่ะ”
เมื่อสิ้นเสียงป้าโฉ่ว ทั่วทั้งตำหนักพลันเงียบสนิท หมอหลวงแต่ละคนต่างคุกเข่ากับพื้นโดยพร้อมเพรียง เื่ราวเกี่ยวพันถึงพระสนมซูเฟย ฝ่าาจะจัดการอย่างไรนั้นยากที่จะกล่าว อย่างไรเสียไม่ว่าครั้งใดที่เื่ตำหนักหลังเกี่ยวพันถึงพระสนมซูเฟย ฝ่าาก็มักจะปล่อยให้เื่นั้นผ่านไปง่ายๆ มิใช่หรือ?
ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้ซ่งอี้เฉินจะกำหมัดแน่น สีหน้าบูดบึ้งถึงขีดสุด เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงกริ้วมาก “เจิ้นจะตรวจสอบเอง!”
เมื่อคำพูดนี้เปล่งออกมา อย่าว่าแต่เหล่าหมอหลวงกับเหยียนอู๋อวี้เลย แม้กระทั่งหลี่ว์เหลียงฝู่ก็ยังมีสีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ฝ่าาโปรดปรานสนมเหยียนถึงขั้นละทิ้งพระสนมซูเฟยได้ถึงเพียงนั้นเลยหรือ?
“ยังต้องรบกวนให้ป้าโฉ่วนำชามาให้ข้าตรวจสอบสักหน่อย” หัวหน้าหมอหลวงได้รับคำสั่งแล้ว แน่นอนว่าไม่ได้รีรออีกต่อไป
ป้าโฉ่วลุกขึ้นไปหยิบกล่องผ้าที่ใส่ใบชาจากชั้นวางของโบราณยื่นให้หมอหลวง จากนั้นจึงวางน้ำชาที่เหลือครึ่งถ้วยลงบนโต๊ะ
เหล่าหมอหลวงล้อมวงตรวจสอบทีละคน จากนั้นจึงกระซิบหารือกันอยู่ครู่หนึ่ง หัวหน้าหมอหลวงโค้งคำนับซ่งอี้เฉินทูลว่า “กราบทูลฝ่าา ในใบชามีผงฟานมู่เปีย ซึ่งสอดคล้องกับอาการของสนม เป็การถูกพิษไม่ผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของซ่งอี้เฉินในเวลานี้บึ้งตึงดำมืดมากเสียจนสามารถบิดน้ำหมึกออกมาได้ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงแค่นเสียงลอดไรฟันออกมาว่า “ถอนพิษได้หรือไม่?”
“ฝ่าาอย่าทรงเป็กังวล พิษนี้ถอนง่าย เพียงแต่…...” หัวหน้าหมอหลวงลังเลในคำพูด คล้ายจะเป็เื่ยากที่จะเอ่ยออกมา
“หือ?”
“เพียงแต่ปริมาณผงฟานมู่เปียในชานั้นมีน้อยมาก คนทั่วไปส่วนใหญ่มักจะมีอาการวิงเวียนศีรษะหลังจากรับประทาน ที่สนมมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้คาดว่าคงเป็เพราะร่างกายอ่อนแอ หรือมีสาเหตุจากอาการเจ็บป่วยแต่เดิมพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าหมายความว่าซูเฟยวางยาพิษอวี้เอ๋อร์เล่นเช่นนั้นหรือ? ทำเพียงเพื่อให้นางวิงเวียนศีรษะเช่นนั้นหรือ?” ซ่งอี้เฉินหัวเราะเยาะเ็า
หัวหน้าหมอหลวงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยกชายเสื้อขึ้นพร้อมกับคุกเข่าลงไปอีกครั้ง “ทูลฝ่าา ปริมาณเท่านี้ไม่เป็อันตรายต่อผู้ใหญ่ ทว่าหากผู้ใช้มีครรภ์ รับรองได้ว่าจะแท้งบุตรโดยไม่ทำร้ายมารดาพ่ะย่ะค่ะ”
ตึง เพล้ง…... ซ่งอี้เฉินที่โกรธเป็ฟืนเป็ไฟยกเท้าขึ้นเตะชั้นวางดอกไม้เนื้อไม้จินซือหนานที่อยู่ด้านข้าง กระถางเครื่องเคลือบสีเขียวตกลงมาแตกเกลื่อนพื้น “หลี่ว์เหลียงฝู่ รีบไปเชิญซูเฟยมาสอบถามที่ตำหนักเฟิ่งชัย!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“พวกเ้ามัวตะลึงอันใดอยู่? รีบถอนพิษให้อวี้เอ๋อร์” ซ่งอี้เฉินเอ่ยจบก็มองไปที่หมอหลวงหนุ่มคนหนึ่ง คนผู้นี้ใบหน้าขาวไร้เครา อายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกปี เวลานี้ยากจะปิดบังความตื่นตระหนกบนใบหน้า จึงได้ดูเด่นสะดุดตาท่ามกลางกลุ่มหมอหลวงที่สงบจิตสงบใจอย่างเห็นได้ชัด “หมอหลวงซาง”
“พ่ะย่ะค่ะ” ซางจือิแอบเช็ดเหงื่อที่ฝ่ามือบนแขนเสื้อ ทว่าสีหน้ากลับยิ่งกระวนกระวาย
“อวี้เอ๋อร์สุขภาพไม่ดี ต่อไปเ้ามาตรวจชีพจรที่ตำหนักเฟิ่งชัยตรงเวลา หากวันข้างหน้าสุขภาพนางเกิดปัญหาใดอีก เจิ้นจะถามเพียงเ้าเท่านั้น” ซ่งอี้เฉินสีหน้าคลุมเครืออ่านยาก ั์ตาดำขลับไร้ซึ่งแสงสว่าง
“กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”
เชิงอรรถ
[1] ดอกกุหลาบเฉียงเวย หมายถึง ดอกเบบี้โรส
[2] ห้อยศีรษะไว้บนเอว หมายถึง มีโอกาสหัวหลุดออกจากบ่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้