เวินหว่านผิดนัดแล้ว
เขาไม่มาหาเ่ิูตอนเย็นอย่างที่บอก
เ่ิูชินกับนิสัยเชื่อถือไม่ได้ของคนๆ นี้เสียแล้ว เขาจึงไม่รีรออีกต่อไป
จวบจนท้องนภาเป็สีดำทมิฬทั้งหมด ไป๋หย่วนสิงก็ยังคงไม่กลับมา เ่ิูจึงเดินลงมาชั้นล่าง หาอะไรกินให้ตกถึงท้องแล้วเดินตรงไปหาฝ่ายพลาธิการ เด็กหนุ่มเดินไปตามถนนหนทาง เดินไปพลางมองสู่ทิศทางของฝ่ายพลาธิการไปพลาง
บนท้องถนนยามค่ำคืนนั้นหวงห้าม หน่วยลาดตระเวนเดินสวนกันไปมา ห้ามประชากรทหารออกมาจากนอกค่าย ต่อให้เป็นายทัพ แต่ถ้าไม่มีคำสั่งทหารมาเป็พิเศษก็ถูกห้ามไม่ให้ออกจากค่ายมาเทียวไปเทียวมายามค่ำคืนกันทั้งนั้น
ดีที่เ่ิูมีตำแหน่งทูตถือดาบตรวจการณ์อยู่กับตัว จึงพิเศษกว่าใครเพื่อน ไม่อยู่ในข้อจำกัดนั้นแต่อย่างใด
ระหว่างทางเด็กหนุ่มถูกซักถามจากทหารลาดตระเวนหลายครั้ง เ่ิูถามทางจากปากหน่วยลาดตระเวน สิบห้านาทีต่อมาจึงมาถึงค่ายใหญ่ของฝ่ายพลาธิการ
ฝ่ายพลาธิการถึงแม้นจะไม่ได้อยู่แนวหน้า ทัพหลัง ปีกซ้ายหรือปีกขวาค่ายตัวเต็งทั้งสี่ ทว่าตำแหน่งในด่านโยวเยี่ยนกลับสำคัญมากเช่นกัน วางแผนครอบคลุมเบี้ยหวัดทหารและการให้ยุทโธปกรณ์สนับสนุน นับได้ว่าเป็ไฉเสินเย่ เทพเ้าแห่งโชคลาภของกองทัพโดยแท้ เป็คู่บุญของทุกฝ่าย
ฝ่ายพลาธิการอยู่ห่างจากสำนักเ้าด่านประมาณสองพันกว่าเมตร เล่ากันว่าตัวอาคารส่วนมากแอบซ่อนน้ำแข็งและหิมะไว้ด้านใต้ อยู่ภายในโขดเขา แต่เปลือกนอกนั้นเป็เพียงคลังเก็บพัสดุสีดำไม่กี่สิบหลัง เพิ่มด้วยตำหนักศิลาอีกสามแห่ง
รั้วกั้นสิ่งปลูกสร้างนี้ไว้ในอาณัติ
มีทหารสวมชุดเกราะออกศึกสีดำตรวจตราอยู่รอบฝ่ายพลาธิการ ระแวดระวังและตรวจสอบเป็พัลวัน การคุ้มครองเข้มงวด และที่ทวารหลักแห่งรั้วกั้นหิมะน้ำแข็งนั้นเอง มีทหารปฏิบัติการประจำการอยู่ยี่สิบนาย ทั้งยี่สิบคนจะเปลี่ยนเวรกันทุกๆ ชั่วโมง ทหารเหล่านี้ครบทั้งพลังกายและติดอาวุธ ล้วนเป็ยอดหัวกะทิของหัวกะทิอีกทีหนึ่งทั้งสิ้น
“ใครน่ะ?”
เสียงะโเย็นเยียบดังมาจากด้านหน้า
เ่ิูเข้าใกล้ไม่ทันถึงร้อยเมตรแท้ๆ กลับถูกเจอจนได้
ทว่าเขาหามีเจตนาจะหลบซ่อนตัวไม่ เด็กหนุ่มเดินเข้าไปทีละก้าวๆ อย่างเชื่องช้า ขณะเดียวกันมือก็ถือป้ายนายทัพส่องประกาย กระตุ้นกำลังภายในให้อักขระบนป้ายหลั่งไหล กลายเป็แสงระยับรูปกระบี่ยาวสองเล่มไขว้กัน กลิ่นอายไพศาล อำนาจเหลือล้นจนััได้
เป็แสงอักขระตรานายทัพทูตถือดาบตรวจการณ์
จิตสังหารเย็นเฉียบโอบล้อมรอบด้านพลันเก็บอาการขึ้นหลายขุม
เ่ิูรู้ดี ว่าการเฝ้ายามอย่างเงียบๆ นั้นได้ถูกขจัดออกไปแล้ว
ด้วยไม่รีบร้อนและไม่เชื่องช้า เด็กหนุ่มจึงก้าวทีละก้าวมาจนถึงหน้าทวารประตู
บนรั้วกั้นหิมะน้ำแข็งขึ้นไปสี่เมตร แกะสลักด้วยน้ำแข็งเย็นสะท้านร้อยปี ้านั้นมีอักขระเพิ่มความแข็ง พลังปราณอากาศธาตุเป็ลูกคลื่นโคจร ผนังน้ำแข็งแห่งนี้ทรหดกว่าผนังจากเหล็กแท้เสียอีก ทวารประตูใหญ่เองก็สลักเสลาขึ้นด้วยความแข็งแกร่งเช่นเดียวกัน กลางไฟกลางแจ้งแห่งยามราตรี มันให้ความรู้สึกลึกลับ ทั้งแวววาวโปร่งแสงราวหยกแกะสลัก
หน้าทวารประตูมีเสาน้ำแข็งทรงพลังตั้งตระหง่านอยู่สิบต้นด้วยกัน
เสาน้ำแข็งนั้นสูงทะลุสิบเมตร
“ใต้เท้า” หัวหน้าทหารปฏิบัติหน้าที่หน้าทวารประตูเดินเข้ามา เขาโค้งกายให้เ่ิูเล็กน้อย ใบหน้าปิดบังด้วยเกราะสีดำเรืองแสงสีทอง อยู่ใต้แสงจันทร์ดูราวกับปีศาจราตรี อำมหิตมืดทึมอย่างเห็นได้ชัด เขาผายมือออก “ไม่ทราบว่าใต้เท้ามาที่ฝ่ายพลาธิการด้วยเหตุใดกัน? เชิญใต้เท้าแสดงป้ายคำสั่งด้วยขอรับ”
เ่ิูส่งตรานายทัพหลักให้เขาไป
ั์ตาเขาเหลือบมองทหารเข้าเวรไร้ความรู้สึกราวกับปีศาจราตรี เขาเงยหน้าขึ้นมอง้าเสาน้ำแข็งโดยไม่ตั้งใจ
เพียงได้มอง สายตากลับแข็งค้าง
ขณะเดียวกัน ทหารผู้ปฏิบัติหน้าที่เมื่อมองเห็นตราประทับของเ่ิูแล้วก็อึ้งเล็กน้อย อดเงยหน้าขึ้นมองเ่ิูไม่ได้ เห็นใบหน้าของทูตถือดาบตรวจการณ์ท่านนี้ใบหน้าอ่อนเยาว์ อายุยังน้อย ก็รู้ได้ในทันทีว่า น่าจะเป็ทูตถือดาบตรวจการณ์คนใหม่ที่มาแทนที่
นึกไปถึงเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนสายัณห์แล้ว หัวหน้าทหารปฏิบัติการเกิดรับรู้ว่าวันนี้เื่อาจจบไม่ค่อยสวย
เขาส่งตราประทับนายทัพคืนไปอย่างเคารพ...
ทว่าทันใดนั้นเอง กลับรู้สึกราวั์ตาพร่า พริบตานั้นเ่ิูก็หายวับไป
ทหารสวมเกราะคนอื่นอุทานขึ้นมา
เห็นร่างของเ่ิูดั่งปักษาั์บินขึ้นไปบนยอดเสาน้ำแข็งในชั่วแวบเดียว ตวัดมือดั่งมีดตัดโซ่น้ำแข็งขาดกระจาย โอบนักโทษที่ถูกโซ่น้ำแข็งห้อยไว้บนเสาไว้ในอก จากนั้นจึงโรยตัวลงเบื้องล่างอย่างแ่เบา
เท้าแตะพื้นไร้สุ้มเสียง เหยียบหิมะไร้ร่องรอย
เสาน้ำแข็งยี่สิบต้นหน้าทวารประตูใหญ่นี้นามว่า เสาลงทัณฑ์ประจาน เป็ที่ซึ่งฝ่ายพลาธิการใช้ลงโทษผู้กระทำความผิด ทหารที่ทำผิดสถานนักต้องถูกโซ่น้ำแข็งอักขระแขวนไว้บนยอดเสา ประจานให้ได้รู้โดยทั่วกัน ภายหลัง แม้แต่คนนอกที่มีเื่กับฝ่ายพลาธิการก็ตกกระไดพลอยโจนไปด้วย วิธีการลงโทษเช่นนี้มีเพื่อประกาศสิทธิอำนาจของฝ่ายพลาธิการให้แจ่มแจ้ง
เ่ิูมองทหารเข้าเวรนายนั้นอย่างระแคะระคาย “ทาสกระบี่อาชาขาว ไฉนถึงถูกแขวนไว้บนเสาน้ำแข็ง? ข้า้าคำอธิบาย”
คนที่เขาอุ้มไว้ในอกนั้น คือไป๋หย่วนสิง ทาสกระบี่อาชาขาวผู้หายใจรวยรินเต็มที
“คือ...” หัวหน้าทหารลังเล เขากำลังจะเอ่ยบางอย่าง
แต่เ่ิูนั้นกลับตรวจสอบอาการาเ็ของไป๋หย่วนสิง สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เขาไม่มัวรอโจนทะยานไปทางทิศหอคอยอาชาขาวในทันที
“ใครทำ ให้มันเสนอหน้าไปอธิบายกับข้าที่หอคอยอาชาขาว”
น้ำเสียงเจือความโกรธไว้เบื้องลึกสะท้อนมาจากฟากฟ้ายามราตรี
เพียงชั่วพริบตา ร่างเ่ิูก็หายไปบนท้องฟ้ามืดกว้างใหญ่นั่นเสียแล้ว
หัวหน้าทหารเข้าเวรนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง เขาถึงนึกอะไรออกแล้วกวักมือเรียกลูกน้องข้างกายเข้ามาหา กระซิบข้างหู ลูกน้องรับบัญชาแล้วหมุนตัววิ่งเข้าไปในประตูใหญ่...
ครู่ต่อมา ร่างชายหนุ่มอาภรณ์ดำก็เดินออกมา
หัวหน้าทหารเข้าเวรนายนั้นส่งตราประทับของเ่ิูให้กับเขา เอ่ยเสียงเบา จากนั้นจึงชี้ไปบนยอดเสาลงทัณฑ์ประจานซึ่งว่างเปล่า
ชายอายุน้อยในชุดดำพลันอึดอัดบอกไม่ถูก
เขากระโจนตามเสาน้ำแข็งขึ้นไปในแวบเดียว พอถึงครึ่งทางก็ดันเสาน้ำแข็งเพื่อยืมแรง ถึงได้มาถึงยอดเสาได้ เขาคว้าโซ่น้ำแข็งซึ่งถูกตัดขาดไปแล้วขึ้นมา มองรอยตัดของโซ่ มันวาวราวกับกระจกใส เขาขมวดคิ้วแน่นขึ้นอีก
โซ่เหล็กนี้มีอักขระเพิ่มความแข็งแรง ดาบหรือกระบี่ยังยากจะทำร่องรอยอะไรได้
แต่รอยตัดซึ่งคมเฉียบและมันวาวถึงขั้นนี้ จากที่ฟังหัวหน้าทหารเข้าเวรมา เหมือนจะเป็ใต้เท้าทูตถือดาบลาดตระเวนคนใหม่ที่ตัดมันขาดด้วยมือข้างเดียว...
ดูท่าแล้วใต้เท้าคนใหม่นี้ พลังจะไม่อาจดูถูกได้เลยกระมัง
ชายอายุน้อยในอาภรณ์ดำค่อยๆ ลอยลงสู่เบื้องล่าง
หัวหน้าทหารเข้าเวรที่มีเกราะวาวดำแสงดั่งทองปกปิดใบหน้า จึงมองไม่เห็นสีหน้า ทว่าเขาก็ดูออกแน่ว่า ก่อนหน้านี้ร่างของเ่ิูขึ้นไปบนเสาน้ำแข็งแบบเดียวกัน เ่ิูกายเนื้อล่องลอยดั่งมีจิติญญาแห่งปุยหิมะ แต่ของชายหนุ่มชุดดำกลับเทอะทะนัก
ห่างชั้นกันเกินไป
“ตอนเขาไปได้พูดอะไรไว้ไหม?” บุรุษหนุ่มชุดดำถาม
“เขาบอกว่า ใครทำร้ายคนของเขา ก็ให้เสนอหน้าไปอธิบายที่หอคอยอาชาขาว” หัวหน้าทหารเข้าเวรเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนั้นให้ฟังโดยละเอียด ไม่ปิดบังเลยแม้เพียงนิด
ชายหนุ่มชุดดำพยักหน้า เขาก้มหน้ามองตราประทับทูตถือดาบลาดตระเวนอีกครา สุดท้ายก็มิได้เอ่ยอันใด เพียงแต่ก้าวเข้าไปในทวารประตูใหญ่เท่านั้น
วายุยามค่ำโหยหวน
หิมะโปรยราวคมดาบ
“ใต้เท้า นี่มันเื่อะไรกันขอรับ?” ทหารเข้าเวรติดตามมา แล้วถามอย่างแปลกใจ
ชายหนุ่มชุดดำเมื่อครู่นี้คือจ้าวหรูอวิ๋น นายทัพฝ่ายจัดสรรทรัพยากรคนหนึ่งในหน่วยลาดตระเวน อำนาจในมือคือรับผิดชอบการจัดสรรทรัพย์สินประจำวันให้เขตหอคอยอาชาขาว เป็ดาวรุ่นหลังที่โดดเด่นกว่าคนอื่น พลังแกร่งกล้า พื้นเพก็ไม่ธรรมดา เป็ระดับสูงทรงคุณค่า และยังนับเป็ดาวในวันข้างหน้าของฝ่ายพลาธิการอีกด้วย
แต่คนหนุ่มได้ทองเหล่านี้ ยากนักจะหักห้ามความทะนงในตัวเองได้ สามารถเปลี่ยนเป็เย่อหยิ่งได้ขึ้นมา
จ้าวหรูอวิ๋นเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
แต่ละวันหนุ่มคนนี้ล้วนทำยโสและถือตัว แต่โชคไม่ดีที่ตำแหน่งเขานั้นคือของจริง อำนาจในการจัดสรรทรัพย์สินนั้นเพียงแค่เคลื่อนไหวนิดหน่อยก็ทำคนอื่นตกที่นั่งลำบากได้ง่ายๆ คนทั่วไปไม่กล้าเป็ปฏิปักษ์กับเขาแน่อยู่แล้ว แม้แต่พลทหารที่พลังสูงกว่าจ้าวหรูหวิ๋นยังไว้หน้าเขา
วันนี้ก็ไม่รู้เกิดอาเพศอะไรกันขึ้น ตอนที่ทาสกระบี่อาชาขาวมาแจ้งขอเบี้ยหวัด จ้าวหรูอวิ๋นถึงได้โกรธเป็ฟืนเป็ไฟ หาว่าทำการโดยมิชอบ สั่งคนให้เข้าจับกุมตัว กระทืบให้คางเหลืองแล้วห้อยไว้กับเสาน้ำแข็งลงทัณฑ์ประจาน ให้หนาวตายทั้งเป็ไปเสีย
แต่ดูสภาพแล้ว คราวนี้จ้าวหรูอวิ๋นคงปะทะกับของหนักเข้าให้แล้ว
หอคอยอาชาขาวที่ร้างรามาสี่ปี มีทูตถือดาบลาดตระเวนมาแล้วจริงๆ
และทูตถือดาบตรวจการณ์ผู้นี้ไม่อ่อนแอสักนิดเลยด้วย
หัวหน้าทหารเข้าเวรที่ติดตามมาชำเลืองทหารด้านข้าง เขาส่ายหน้าสั่งว่า “ถามให้มากความไปเพื่ออะไร ไม่ใช่เื่อะไรที่พวกเราจะยุ่งเกี่ยวด้วยได้ เข้าเวรยืนยามให้ดีๆ ก็พอ ความสงสัยฆ่าแมว รูดปากให้มิดอย่าให้เื่นี้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหากหายนะมาถึงก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
ทหารเข้าเวรยามคนอื่นพยักหน้าระรัว
เมื่อเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาแยกย้ายไปจนหมดแล้ว ในใจของหัวหน้าทหารเข้าเวรกลับคิดมากยิ่งกว่า
ตอนกลางวันได้ยินข่าวเื่ทูตถือดาบตรวจการณ์คนหนึ่งเป็หนุ่มน้อยยังไม่หย่านมแม่ จู่โจมหลินหลางแม่ทัพรบกองโจรไปไม่ใช่ย่อย ไม่นึกเลยว่าผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ตัวเขาจะได้พบกับทูตถือดาบตรวจการณ์ที่มาพักในหอคอยมรณะตัวจริง
ด่านโยวเยี่ยนจะว่าใหญ่ก็ทอดยาวออกไปหลายร้อยกิโลเมตร จะว่าเล็กก็เล็กเหลือใจ
ทูตถือดาบตรวจการณ์วัยละอ่อนคนใหม่นี้ กลายเป็จุดสนใจของคนทั้งด่านในเวลาอันรวดเร็วอย่างไม่ต้องสงสัย สายตาคนมากมายล้วนจับจ้องอยู่ที่เด็กหนุ่มผู้นี้ ไม่น่าแปลกใจเลยเพราะตำแหน่งทูตถือดาบตรวจการณ์นี้พิเศษเป็อย่างมาก มีคุณค่ามหาศาล หากหนุ่มละอ่อนคนนี้เป็พวกบ้าระห่ำ และมีเบื้องลึกเื้ั หนำซ้ำยังตัดสินใจเข้าทัพ สมดุลของด่านโยวเยี่ยนก็ถูกทำลายไปโดยปริยายแล้วล่ะ
เหมือนกับเหยาะเกลือลงกระทะที่มีน้ำมันเดือดอ่อนๆ การปรากฏตัวของทูตถือดาบตรวจการณ์ทำให้หม้อน้ำมันที่ใกล้เดือดเต็มทีกลับกลิ้ง
ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวหน้าทหารถึงมีลางสังหรณ์ว่า ด่านโยวเยี่ยนที่หยัดยืนดั่งหินผากลางลมฝนแห่งา กำลังจะเปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดฝัน
...
“อดทนไว้!”
เ่ิูเหาะกลับหอคอยม้าขาวอย่างเร็วรี่
ไป๋หย่วนสิงาเ็ แม้จะไม่ถึงตายแต่ก็คางเหลือง ถูกห้อยอยู่บนเสาลงทัณฑ์ประจานมานานหลายชั่วโมง สำหรับคนที่ไม่รู้วรยุทธ์แล้ว เป็การทรมานที่ยากจะทานทนได้ เ่ิูรู้สึกได้เลยว่า ร่างกายของไป๋หย่วนสิงใกล้จะแข็งเต็มที
นี่เองคือสาเหตุที่เ่ิูไม่ไปคิดบัญชีกับคนของฝ่ายพลาธิการทันที แต่กลับพาไป๋หย่วนสิงกลับมาก่อนเป็อันดับแรก
ช่วยคนต้องมาก่อน
ระหว่างทางก็รวบรวมกำลังภายในไปปกป้องหัวใจของไป๋หย่วนสิง ให้ความอบอุ่นกับชีพจร ยึดลมหายใจสุดท้ายเอาไว้ และเมื่อกลับถึงหอคอยอาชาขาวแล้ว เ่ิูก็กระตุ้นกำลังภายในทั้งหมดเข้าไปในร่างไป๋หย่วนสิง รักษาชีวิตของเขาเอาไว้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้