“อือ...”
เยี่ยเฉินเฟิงเดินจากไปได้เพียงไม่นาน เฉียวจิ้งยวนที่เพิ่งรอดชีวิตมาอย่างหวุดหวิดก็ตื่นจากการหลับใหล
เสี้ยววินาทีที่นางลืมตาตื่นขึ้น ร่างเล็กก็ขดเข้าหากันจนเป็ก้อนกลมทันที ใบหน้าของนางซีดเซียวไร้เืฝาด ความวิตกกังวลถาโถมเข้าใส่ หยาดน้ำตาพรั่งพรูลงมาจากหางตาอย่างไม่ขาดสาย
“เสื้อนี่...เสื้อคลุมตัวนี้เป็ของใครกัน หรือว่าข้าจะไม่ได้ถูกล่วงเกิน”
ขณะที่เฉียวจิ้งยวนกล้ำกลืนความขื่นขมเอาไว้ในใจและสำรวจสภาพร่างกายของตนเอง ก็พบว่ามีเสื้อคลุมของใครบางคนวางพาดตัวของนางอยู่ อีกทั้งตามร่างกายก็ไม่มีร่องรอยถูกล่วงละเมิดแต่อย่างใด
“เป็เขาสินะ เขาเป็คนช่วยข้าเอาไว้”
เฉียวจิ้งยวนหวนระลึกภาพที่ชายคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นแล้วโจมตีใส่ชายชุดดำ ทำให้เศษเสี้ยวความหวังในใจผุดขึ้นมาอีกครั้ง นางจึงรีบตรวจสอบร่างกายของตัวเองต่อ
“ขอบคุณฟ้าดินที่ข้ายังไม่โดนไอ้โจรชั่วนั่นข่มเหง คนผู้นั้นช่วยข้าไว้จริงๆ ด้วย”
เมื่อยืนยันได้ว่าร่างกายยังไร้ราคี เฉียวจิ้งยวนก็ร่ำไห้ออกมาด้วยความยินดี รู้สึกขอบคุณชายคนที่ช่วยนางให้รอดพ้นจากเงื้อมมือมารเป็อย่างยิ่ง
“คนที่ช่วยข้าไว้เขาเป็ใครกันแน่นะ? ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ อย่างกับเคยรู้จักกันมาก่อนทั้งที่เขาเป็คนแปลกหน้าแท้ๆ”
“หรือว่าจะเป็เขา?”
คิดไปคิดมา จู่ๆ ภาพของเยี่ยเฉินเฟิงก็โผล่ขึ้นมาในความคิดของเฉียวจิ้งยวน นางสะบัดศีรษะไล่ความคิดดังกล่าวทิ้งไปและบ่นพึมพำ “ไม่ใช่เขาหรอก เขาเป็แค่คนไร้ค่าที่ไม่มีแม้แต่จิตอสูร จะมีปัญญามาช่วยข้าได้อย่างไร”
หลังจากช่วยเฉียวจิ้งยวนแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่ได้ออกไปจากเทือกเขาไป๋อวิ๋น กลับกันเขาเลือกที่จะเข้าไปยังส่วนลึกของูเา หาสถานที่เหมาะๆ อย่างเช่นสระน้ำลึกที่แสนเปลี่ยวร้างวังเวง
“ตรงนี้ไม่เลวเลย ดูดซับเม็ดยาเพลิงผลาญที่นี่ก็แล้วกัน”
เยี่ยเฉินเฟิงลงไปแช่ในน้ำที่หนาวเหน็บจนเสียดแทงกระดูก หยิบขวดยาออกมาแล้วเปิดจุกออก เทยาเพลิงผลาญเม็ดกลมเกลี้ยงสีแดงฉานลงบนฝ่ามือ
เมื่อััโดนความร้อนระอุที่หลอมรวมอยู่ในเม็ดยา เยี่ยเฉินเฟิงจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ปรับจังหวะการหายใจให้คงที่ แล้วกลืนเม็ดยาเพลิงผลาญลงท้องไปอย่างรวดเร็ว
เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งนาทีเท่านั้น กระเพาะของเยี่ยเฉินเฟิงก็เริ่มจะปะทุเดือด ความร้อนแผดเผาขุมหนึ่งแพร่กระจายไปทั่วกระเพาะอาหาร ก่อนจะแทรกซึมไปยังอวัยวะอื่นๆ ของร่างกายทั้งภายในและภายนอก
ยามนี้ เยี่ยเฉินเฟิงรู้สึกเหมือนตัวเองตกลงไปในขุมนรกอเวจี ความร้อนแผดเผาไปทั่วร่างของเขาภายในชั่วพริบตาราวกับจะเผาให้มอดไหม้เป็จุณ ความปวดร้าวทรมานส่งผลให้กล้ามเนื้อทั่วร่างของเขาสั่นระริก
หากไม่มีน้ำเย็นเฉียบในสระคอยหักล้างพลังงานความร้อนของเม็ดยาเพลิงผลาญ เยี่ยเฉินเฟิงคงทนรับความเ็ปเหล่านี้ไม่ไหวแน่
ชีวิตของเขาเคยผ่านพ้น่เวลาที่เป็จุดสูงสุดเหนือใครและต่ำต้อยด้อยค่ายิ่งกว่าใคร ดังนั้นจึงถูกหล่อหลอมให้กลายเป็คนที่หนักเอาเบาสู้ จิตใจเข้มแข็งไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่กีดขวาง แต่ขั้นตอนการหลอมรวมร่างกายกับพลังจากเม็ดยามันเ็ปทรมานจนเขาอยากจะกัดลิ้นตาย
เยี่ยเฉินเฟิงที่กำลังเผชิญหน้ากับความเ็ปอย่างแสนสาหัสทำได้เพียงกัดฟันอดทน ใช้เคล็ดวิชาเทพดาราหกชีพจรดึงพลังจากเม็ดยาเข้าสู่ร่างกาย พัฒนาเซลล์กล้ามเนื้อให้ก้าวหน้า
เพียงไม่นาน เืสีดำคล้ำจำนวนมากก็ซึมออกมาทางิัของเขา เซลล์กล้ามเนื้อในร่างกายมีความบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ
พลังงานความร้อนระอุที่ปะทุออกจากร่างกายของเยี่ยเฉินเฟิงเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ ทำให้น้ำเย็นเฉียบในสระเริ่มเดือดปุดๆ ไอน้ำจำนวนมากก่อตัวขึ้นบนผิวน้ำ ลอยอ้อยอิ่งตามกระแสลมที่พัดผ่าน
“อดทนไว้ ความเ็ปแค่นี้ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ข้าจะต้องทำสำเร็จสิ”
เยี่ยเฉินเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ โคจรเคล็ดวิชาเทพดาราหกชีพจรอย่างสุดกำลัง ควบคุมเซลล์กล้ามเนื้อให้ผสานรวมกับพลังจากเม็ดยาเพลิงผลาญ
หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง...
ตอนที่เยี่ยเฉินเฟิงกัดฟันทนมาจนถึงชั่วโมงที่สาม ในภาวะที่สภาพจิตใจเกือบจะแหลกสลายอยู่รอมร่อ ทันใดนั้น เซลล์กล้ามเนื้อในร่างของเขาก็เกิดการแบ่งตัว ของเหลวสีดำส่งกลิ่นเหม็นโฉ่จำนวนมากก็ถูกขับออกมาจากร่างกาย
“เปลี่ยนกายหยาบ ชำระไขกระดูก”
เขาผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อรับรู้ถึงร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป อดทนรับความเ็ปต่อจนกว่าร่างกายจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างเสร็จสมบูรณ์
ในที่สุด พลังเสี้ยวสุดท้ายของเม็ดยาเพลิงผลาญก็หลอมรวมเข้ากับร่างของเขาได้สำเร็จ เซลล์กล้ามเนื้อทั่วร่างแตกตัวสร้างเซลล์ใหม่เกือบสองเท่าตัว ของเสียและสิ่งสกปรกจำนวนมากถูกขับออกมานอกร่างกาย
ทั้งที่ร่างกายเหนื่อยล้าไร้กำลังแต่เยี่ยเฉินเฟิงกลับเบิกบานใจยิ่งนัก เมื่อร่างกายได้รับการชำระล้างพลัง จึงดีดตัวสูงขึ้นมาก แม้จะยังห่างไกลจากการเลื่อนระดับขั้นใหญ่ของเคล็ดวิชาก็ตาม
“เคล็ดวิชาเทพดาราหกชีพจรขั้นที่สองไม่ได้ฝึกฝนกันง่ายๆ สินะ” เยี่ยเฉินเฟิงบ่นกับตัวเองหลังค้นพบการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
เขาไม่ผิดหวังกับผลลัพธ์เพราะรู้ดีว่า หากมีทรัพยากรเพียงพอ เขามั่นใจว่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพดาราหกชีพจรได้ครบทั้งหกขั้นใหญ่ และเพิ่มพลังกายได้จนถึงขั้นสูงสุด
เมื่อพลังกายเพิ่มพูนแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงก็ชำระร่างกายที่เพิ่งจะขับของเสียออกมาให้สะอาดหมดจด ลุกออกจากสระมรกตไปหาที่ทดสอบพลังกายของตน โดยเลือกต้นไม้เก่าแก่ขนาดสี่คนโอบและสูงราวสิบเมตรกว่า ต้นหนึ่ง
“ย๊าก!”
เยี่ยเฉินเฟิงส่งเสียงคำรามลั่น กล้ามเนื้อทั่วร่างต่างพากันกู่ร้อง เขาใช้หมัดที่เปี่ยมพลังชกเข้าใส่ต้นไม้สูงอย่างสุดแรง มวลอากาศรอบกำปั้นหมุนวนเป็วงกลม
เสียง “โครม” ดังสนั่น ต้นไม้ไม่อาจทนรับการโจมตีจากพลังหมัดอันรุนแรงได้ รอยแตกร้าวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนลำต้นหนาก่อนจะแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ
เมื่อรอยแตกร้าวแผ่ขยายไปทั่วลำต้น ต้นไม้เก่าแก่สูงสิบกว่าเมตรหักครึ่งท่อน แมกไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาเชียวชอุ่มล้มกระแทกพื้นอย่างหนักหน่วง พื้นดินสั่นะเืเลื่อนลั่น พุ่มไม้แตกกระจายออกเป็ท่อนเล็กท่อนน้อย
“พลังกายสองพันห้าร้อยจิน ไม่รู้ว่าพลังระดับนี้จะทำให้ข้าต่อกรกับเขตแดนปรมาจารย์อสูรมายาได้หรือยัง”
ใบหน้าของเยี่ยเฉินเฟิงเผยรอยยิ้มกว้างเมื่อััได้ถึงพลังกายที่พุ่งสูงอย่างฉับพลัน ด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียว ในตอนนี้เขาสามารถบดขยี้ผู้ใช้อสูริญญาระดับหกหรือท้าต่อยตีกับปรมาจารย์อสูรมายาระดับหนึ่งได้แล้ว
แต่ผู้ที่อยู่ในระดับเขตแดนปรมาจารย์อสูรมายา จะสามารถฝึกฝนเคล็ดิญญาที่ขึ้นชื่อว่าทรงพลังอำนาจได้ หากเขาคิดจะใช้พลังกายอย่างเดียวเอาชนะปรมาจารย์อสูรมายาน่าจะเป็ไปได้ยาก
ศักยภาพของร่างกายไม่อาจเพิ่มสูงได้ในเวลาอันสั้น เยี่ยเฉินเฟิงจึงคิดจะลองทะลวงระดับพลังให้ถึงเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับสามเพื่อเพิ่มพูนศักยภาพให้มากขึ้นเสียก่อน
ในทางตรงข้าม สำหรับเยี่ยเฉินเฟิงนั้นการเพิ่มพลังิญญาด้วยทักษะกลืนิญญาดูท่าจะเป็เื่ง่ายกว่าการเพิ่มพลังกาย
เขาควบคุมทักษะกลืนิญญาให้ดูดซึมพลังจากผลึกก้อนแล้วก้อนเล่า พลังิญญาไหลบ่าเข้าสู่ร่างของเยี่ยเฉินเฟิงและถูกไข่โลหิตดูดกลืนจนเกลี้ยง
เมื่อผลึกิญญาก้อนสุดท้ายหมดสิ้นพลังและสลายกลายเป็ผุยผง จึงปรากฏรอยแตกร้าวที่สองขึ้นบนผิวของไข่โลหิต
พลังิญญาที่ล้นทะลักออกมาจากไข่โลหิตซึมเข้าไปหลอมรวมกับร่างกายของเขา เป็การช่วยเสริมสร้างพลังิญญาให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพียงไม่นานกำแพงระดับขั้นก็พังทลาย เยี่ยเฉินเฟิงบรรลุสู่เขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับสามได้สำเร็จ
เขาเลื่อนขั้นจากผู้ใช้อสูริญญาระดับสองเป็ระดับสามได้ภายในหนึ่งวัน ความเร็วในการบ่มเพาะระดับนี้เป็ได้เพียงเื่เพ้อฝันสำหรับแคว้นจื่อจิน
เห็นได้ชัดเลยว่าทักษะิญญาที่สืบทอดต่อกันมาสำคัญและล้ำค่าเพียงใด
“ถึงเวลาต้องกลับไปแล้วสินะ”
เยี่ยเฉินเฟิงสูดอากาศให้เต็มปอด ลุกขึ้นยืนบิดร่างกายขับไล่ความเมื่อยล้า และก้าวออกจากเทือกเขาไป๋อวิ๋นไปพร้อมกับแสงตะวันที่ใกล้ลับขอบฟ้า
ระหว่างทางกลับมายังเมืองไป๋ตี้ เยี่ยเฉินเฟิงก็ได้พบกับใครบางคนเข้า ซึ่งเป็คนที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้พบเจอเสียด้วย
