วันต่อมา….
09:30น.
เซฟเฮ้าส์ของไดร์ฟ….
“พวกนายไปจับตัวของไดร์ฟได้ที่ไหน?” เสียงทรงอำนาจของผู้บริหารค่ายเพลงั์ใหญ่เอ่ยขึ้นท่ามกลางห้องประชุมขนาดใหญ่ที่มีผู้จัดการวง THE PRINCEและโปรดิวเซอร์ประจำวงอีกหนึ่งคน รวมเป็สามคน กำลังนั่งกันอยู่ด้วยท่าทางเกรงกลัว
“การ์ดไปจับได้ที่สวนพฤกษ์แก้วครับ….” เสียงผู้จัดการวงเอ่ยขึ้นรายงานผู้เป็นายไป
“แล้วมันเป็บ้าอะไรถึงกล้าประกาศลาออกจากวงท่ามกลางคอนเสิร์ตแบบนั้น!!” เสียงทรงอำนาจและไม่พอใจของธยศเอ่ยออกมาเสียงดังด้วยแววตาเกรี้ยวกราดทำให้ทั้งโปรดิวเซอร์และผู้จัดการวงถึงกับสะดุ้งสุดตัวด้วยความกลัว
“ไดร์ฟมีอาการเก็บตัวอยู่คนเดียวมาเกือบเดือนแล้วครับ….”
“ไม่ค่อยสังสรรค์กับเพื่อนในวงเหมือนเมื่อก่อน…”
“ไม่พูดไม่จากับใคร…”
“ล่าสุด….เราเจอยานอนหลับในห้องนอนของเขาครับ…”
“แล้วยังไง!” เสียงของธยศตวาดเสียงดังลั่นห้องประชุมพร้อมกับเอามือตบโต๊ะไปอย่างไม่พอใจ
ปัง
เพราะเมื่อคืนคอนเสิร์ตได้รับความเสียหายเป็อย่างมากเพราะไดร์ฟวิ่งลงจากเวทีทำให้แฟนคลับใจเสียและไม่ได้ทำการแสดงคอนเสิร์ตต่อโดยทางค่ายจะจัดการแถลงข่าวใน่บ่ายวันนี้
“ผมคาดว่า…ไดร์ฟน่าจะกำลังป่วยเป็โรคซึมเศร้าครับ” เสียงลนลานของผู้จัดการวงเอ่ยออกไปพลางก้มหน้าลงอย่างเกรงกลัวเ้าของบริษัทค่ายเพลงั์ใหญ่ที่เส้นทางของเขาก็มาจากนักร้องที่เคยผ่านการเดบิวต์มาแล้วเช่นกัน
ก๊อกๆๆๆ
“เข้ามา!” เสียงทรงอิทธิพลของธยศเอ่ยออกไปอย่างหงุดหงิดที่ได้ยืนเสียงคนเคาะประตูจากด้านนอก
“นายครับ….!” เสียงร้อนรนของการ์ดชุดดำที่คอยทำหน้าที่ยืนเฝ้าหน้าห้องไดร์ฟเอ่ยออกมาทันทีที่เขาเปิดประตูออกตามคำอนุญาตจากผู้เป็นายใหญ่
“มีอะไร!”
“คุณไดร์ฟ….กินยานอนหลับครับ”
“แล้วมาบอกฉันทำไม?” ธยศเอ่ยเสียงเรียบตึงอย่างรำคาญถามกลับการ์ดชายชุดดำไป
“กินยาเกินขนาดครับ….”
“ผมเห็นกระปุกยาที่มีอยู่ร้อยกว่าเม็ด…ถูกคุณไดร์ฟกินหมดเลยครับ…”
“แล้วทีนี้จะทำยังไงกับคอนเสิร์ตคืนนี้!!” ธยศเอ่ยเสียงเข้มอย่างไม่พอใจกับข่าวที่เขาได้ยินว่าไดร์ฟหัวหน้าวงที่กำลังโด่งดังและสร้างรายได้ให้เขามหาศาลกินยานอนหลับเกินขนาด
“พาไดร์ฟไปหาหมอ!” เสียงใและร้อนรนของผู้จัดการวงเอ่ยขึ้นและเป็ห่วงไดร์ฟเป็อย่างมาก
“ไปให้มันเป็ข่าวหรือไง!” เสียงของธยศเ้าของค่ายเพลงเอ่ยขัดขึ้นมาเสียงดังทำให้ทุกคนถึงกับเงียบสงบลงทันที
ผู้จัดการที่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงถึงกับต้องทรุดตัวลงไปนั่งบนเก้าอี้ตามเดิมพร้อมกับก้มหน้าก้มตาหลบสายตาดุดันของผู้เป็เ้านาย
ธยศไต่เต้าจากการเป็นักร้องบอยแบนด์จนมาเป็เ้าของค่ายเพลงได้อย่างทุกวันนี้โดยเขายึดมั่นไม่ให้มีข่าวเสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่ให้ตัวเองโด่งดังจากการข่าวอื้อฉาว เขาเลยค่อนข้างจะรับไม่ได้กับการทำให้นักร้องในค่ายของเขาเป็ข่าวอื้อฉาวแบบนี้
“เดี๋ยวพอยามันหมดฤทธิ์มันก็ตื่นขึ้นมาเองแหละ….” ธยศเอ่ยขึ้นออกมาด้วยท่าทางไม่ใส่ใจกับอาการของไดร์ฟ แต่กลับนั่งเครียดถึงงานคอนเสิร์ตในค่ำคืนนี้และไหนจะค่าเสียหายที่ไดร์ฟทำลงไปเมื่อคืนนี้อีก ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจไดร์ฟเป็อย่างมากและเขายังต้องคิดหาคำแก้ตัวในการแถลงข่าวใน่บ่ายนี้อีกด้วย
พรึบ
“ไปเอาตัวผู้หญิงที่กอดกับไดร์ฟเมื่อคืนนี้มาหาฉัน….” เสียงกระซิบแ่เบาของผู้จัดการวงเอ่ยบอกโปรดิวเซอร์ให้เงียบที่สุดเพื่อให้เขาได้ยินกันแค่สองคนไม่ให้รู้ถึงหูเ้าของค่ายเพลงที่นั่งทำหน้าจริงจังเคร่งเครียดอยู่ในขณะนี้
“ได้ครับ….” โปรดิวเซอร์ตอบรับคำก่อนจะหันไปกดโทรศัพท์เครื่องหรูเพื่อทำการสั่งการการ์ดของเขาเพื่อให้ไปนำตัวของเด็กผู้หญิงที่นั่งกอดกับไดร์ฟเมื่อคืนนี้มาให้ผู้จัดการวงตามคำสั่ง
16:00น.
คาเฟ่A
ไอริส อันฤดี…..
“คุณแม่….สวัสดีค่ะ…” ฉันยกมือไหว้สวัสดีคุณแม่ของลูกหว้าด้วยท่าทางเคารพท่านที่ท่านยืนประจำตำแหน่งเคาน์เตอร์ของร้านแทนที่ของยัยลูกหว้าที่เธอจะต้องยืนประจำอยู่ทุกวัน
“อ้าว…หนูไอสวัสดีจ้า^_^” คุณแม่ของลูกหว้ารับไหว้ฉัน ฉันก็ยิ้มให้ท่าน ฉันสนิทกับท่านเพราะฉันจะมาหายัยลูกหว้าเป็ประจำแต่วันนี้กลับแปลกไปที่เธอหายไปไหนไม่ได้มาทำงานหน้าเคาน์เตอร์ของเธอเหมือนทุกที
“ยัยลูกหว้านอนอยู่บนห้องน่ะจ้ะ…หนูจะขึ้นไปหาไหม?”
“ลูกหว้าไม่สบายเหรอคะ?”
“น่าจะทำนองนั้นจ้ะ…หนูไอเดินขึ้นไปหาเลย…”
“ได้ค่ะแม่…ขอบคุณนะคะ…”
“จ้า^_^” ฉันยกมือไหว้ลาคุณแม่ของลูกหว้าและเดินหมุนทิศทางไปยังบันไดที่อยู้ด้านหลังของห้องครัวเพื่อจะขึ้นไปหายัยลูกหว้า
บ้านของเธอด้านล่างถูกเปิดเป็คาเฟ่ส่วน้าเป็ที่พักอาศัยของลูกหว้าและแม่ของเธอ ฉันที่มาบ้านของเธอบ่อยจึงรู้ว่าห้องของลูกหว้าอยู่ตรงไหนจึงรีบมุ่งเดินไปหาเธอด้วยความเป็ห่วง
ก๊อกกกกก
“ลูกหว้า” ฉันเคาะประตูและเอ่ยเรียกชื่อของเ้าห้องไปด้วย แต่ก็ไร้การตอบกลับได้ยินแต่เสียงของโทรทัศน์ดังแว่วออกมา
“เราเข้าไปนะ…” ฉันเอ่ยบอกเธอและเอื้อมมือไปหมุดประตูลูกบิดและเปิดเข้าไปเลย ก็เห็นยัยลูกหว้ากำลังนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่บนเตียงนอนสีขาวของเธอ สายตาของเธอจับจ้องไปที่หน้าจอโทรทัศน์จอแบนขนาดสามสิบเมตรที่กำลังฉายภาพการแสดงคอนเสิร์ตของวงอะไรสักวงและก็มีคนกำลังพูดว่าลาออกจากวงนั้นยิ่งทำให้ยัยลูกหว้าร้องไห้หนักมากขึ้นไปกว่าเดิมอีก มันเศร้าั้แ่เมื่อคืนที่ฉันโทรให้มันไปรับฉันที่สวนสาธารณะแล้ว
และนี่วันใหม่แล้ว ยังไม่เลิกเศร้าโศกเสียใจอีกเหรอ
“ฮืฮๆๆๆๆๆๆ”
“แกเป็อะไรยัยลูกหว้า?” ฉันเอ่ยถามลูกหว้าไปอย่างใและรีบร้อนไปจับร่างของเธอ
พรึบ
“ยัยไอ….ก็ท่านไดร์ฟของฉันน่ะสิ…อยู่ดีๆ ก็ประกาศลาออกจากวง…”
“ฮืฮๆๆๆๆ เพราะอะไร….ใครทำอะไรไดร์ฟของฉัน!!” เธอเอ่ยออกมาเสียงเข้มแววตาดุดันอย่างไม่พอใจ ฉันก็มองไปยังในจอโทรทัศน์และมองหน้าคนที่ยืนอยู่ตรงกลางเวทีด้วย หน้าตาของเขาหล่อเหลาผิวขาวเปล่งออร่าแต่แววตาเศร้าสร้อยและการแต่งตัวที่เหมือนกันกับผู้ชายคนเมื่อคืนนี้
“เขาลบบัญชีไอจีของเขาทิ้ง…”
“ลบบัญชีทวิตเตอร์”
“ลบทุกอย่างที่สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเขาได้….”
“ฮืฮๆๆๆๆ” ยัยลูกหว้าพร่ำเพ้อพร้อมร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง หน้าตาของเธอบวมแดงขอบตาแดงช้ำจนน่าสงสารฉันก็ทำได้เพียงแค่กอดปลอบโยนเธอและลูบแผ่นหลังของเธอไปอย่างทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ไดร์ฟแห่งTHE PRINCEคือผู้ชายคนเมื่อคืนเหรอ
เ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้ใช่ไหมคือคนที่วิ่งชนฉันและทำโทรศัพท์ของฉันแตก ดูจากอาการของเขาแล้ว เขาน่าจะเป็โรคซึมเศร้านะ
“ไดร์ฟ…เปลี่ยนไปจากเดิมใช่ไหม?” ฉันเอ่ยถามลูกหว้าไป เธอก็ค่อยๆ ดันร่างของเธอออกไปจากอ้อมกอดฉัน
“สูดดด…ใช่…หลังๆ มาไดร์ฟออกสื่อน้อยมาก…พูดก็น้อยลง…” ลูกหว้าสูดขี้มูกเอามือเช็ดน้ำตาของเธอก่อนจะเอ่ยตอบฉันมา ฉันก็มองหน้าเธออย่างรอฟังคำพูดของเธอต่ออย่างตั้งใจฟัง
“ไม่โพสต์เพลง…หรืออะไรเลย…ซึ่งมันผิดแปลกไปจากเดิมของเขามาก”
“เขาอาจจะกำลังป่วยอยู่ก็ได้….” ฉันโผงออกไป ลูกหว้าก็จ้องฉันตาเขม่นอย่างไม่เชื่อในคำพูดของฉัน
“ไม่จริงหรอก….ถ้าไดร์ฟป่วย…ทางต้นสังกัดคงจะแจ้งข่าวไปแล้ว…” เธอเถียงฉันกลับอย่างมีเหตุผล นั่นน่ะสิ ถ้าเขาป่วยจริง ก็คงจะเป็ข่าวไปแล้วสิ แต่ฉันมั่นใจว่าอาการของเขา เป็อาการของคนที่ป่วยเป็ซึมเศร้าแน่ๆ
“เมื่อกี้ฉันฟัง…เขาบอกว่ามันเป็แค่คอนเท้นต์และเดี๋ยวเขาจะจัดคอนเสิร์ตให้กับผู้ที่ซื้อบัตรเมื่อวานนี้ได้เข้าชมอีกครั้ง…แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่….” เสียงของลูกหว้าเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เศร้าลงปะปนไปกับอาการโล่งใจ บางทีฉันไม่ควรจะพูดในสิ่งที่ฉันรู้ไม่จริงจะดีกว่า เดี๋ยวจะทำให้ไดร์ฟเสียชื่อเสียงไปมากกว่านี้
เพราะทางต้นสังกัดเขาแถลงข่าวแบบนั้น ก็คงจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างแหละ ฉันไม่ควรเข้าไปยุ่งดีกว่าเพราะมันไม่ใช่เื่ของฉันหนิเนอะ
“แกชอบไดร์ฟมากเลยเหรอ?” ฉันเอ่ยถามลูกหว้าไปพลางมองไปรอบๆ ห้องนอนของเธอที่มีรูปภาพของไดร์ฟติดอยู่ทั่วทุกมุมผนังของห้อง
รวมไปถึงกรอบรูปที่มีแต่รูปภาพของไดร์ฟวางอยู่ทั่วทุกมุมของห้องอีกด้วย ฉันก็ว่าแล้วว่าทำไมหน้าเขาดูคุ้นๆ เหมือนฉันเคยเห็นที่ไหนก็จะไม่ให้ฉันเห็นบ่อยได้ไงก็ยัยลูกหว้าคลั่งไคล้ไดร์ฟมากขนาดไหนน่ะ
ถ้าฉันบอกเธอว่าเบอร์ที่ฉันใช่โทรหาเธอเมื่อคืน คือเบอร์โทรศัพท์ของไดร์ฟาาแห่ง THE PRINCEน่ะมีหวังยัยลูกหว้าช็อคตายคาบ้านเธอแน่
“ใช่….”
“เขาหล่อหนิเนอะ…” ฉันว่าต่อ
“ความหล่อของไดร์ฟก็เป็อีกอย่างหนึ่งที่ฉันชอบเขามาก….แต่ที่ตกหลุมรักแบบถอนตัวไม่ขึ้น…”
“คือไดร์ฟมีความสามารถและความขยันความอดทนมากเขาแข่งขันและทุ่มเทกับเพลงแร็พและเพลงร็อคจนสามารถชนะและได้เดบิวต์มาเป็สมาชิกหนึ่งในวง THE PRINCE…ได้….” ลูกหว้าว่าไปพลางยิ้มกว้างไปด้วยแววตาที่เธอพูดถึงไดร์ฟดูเป็ประกายแวววาวเหมือนเด็กสาวที่ตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง นี่ฉันได้พล็อตนิยายอีกแล้วเหรอเนี่ย ศิลปินกับแฟนคลับของเขาอิอิ^^
“แกยิ้มแบบมีเลศนัยแบบนี้?” ยัยลูกหว้าหรี่ตามองหน้าฉันอย่างจับผิด
“อะไรยะ?” ฉันถามยัยลูกหว้ากลับที่เธอชี้หน้าฉันและจับทางฉันได้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่
พรึบ
“ฉันนึกขึ้นได้ว่าต้องเข้าไปที่สำนักพิมพ์…ฉันไปก่อนนะ…”
“ไว้เจอกัน….” ฉันเอ่ยออกมาอย่างรีบร้อนและลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเป้ของฉันเพื่อจะหนีจากแววตาจับผิดของยัยลูกหว้า มีหวังยัยลูกหว้ารู้ว่าฉันกำลังจะเอาเื่ราวของเธอที่ตกหลุมเมนตัวเองไปเขียนเป็นิยายน่ะมีหวังมันเอาฉันตายแน่
“บ๊ายยยยย” ฉันโบกมือลายัยลูกหว้าและรีบวิ่งออกจากห้องของเธอมาอย่างไว ฉันสวัสดีคุณแม่ของลูกหว้าและรีบวิ่งออกมาจากร้านคาเฟ่ของยัยลูกหว้าทันทีเพื่อจะไปหาสถานที่เงียบๆ เพื่อนำจินตนาการของฉันเป็ตัวอักษร^_^