ในเวลานี้การต่อสู้เพื่อตำแหน่งราชินีแห่งการเต้นรำได้เริ่มขึ้นแล้ว บนเวที เนี่ยนไป๋ที่สวมชุดพลิ้วไสวสีขาวบริสุทธิ์ บนเวทีนั้นถูกแขวนด้วยผ้าม่านสีขาวบางๆ หมุนวนอยู่ในอากาศไปกับท่าเต้นของนาง ราวกับควันและหมอก คล้ายกับเทพธิดาที่เหาะมาจากฟากฟ้า เป็ความฝันที่งดงาม นางแตกต่างจากสตรีที่หลิวเยว่พบในห้องคืนนั้นอย่างสิ้นเชิง
กู้หนานเฟิงที่อยู่ด้านข้างน่าจะตกตะลึงกับความงามที่บริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปนนี้ เป็ครั้งแรกที่เขานั่งนิ่งโดยไม่พูดอะไรเลย
แม่นางเนี่ยนไป๋ทำให้ทุกคนปรบมือและโห่ร้องให้กำลังใจ ท่ามกลางเสียงปรบมือนางค่อยๆ ถอยออกไป
การแสดงต่อไปคือสตรีอีกนางหนึ่ง เป็การเต้นรำของแม่นางเตี๋ยเย่ผู้มาใหม่ เมื่อเทียบกับฐานผู้ชมจำนวนมากของเนี่ยนไป๋ ฐานผู้ชมของเตี๋ยเยว่คือลูกค้าที่มาใหม่ทั้งหมด
ม่านสีขาวที่พลิ้วอยู่บนเวทีถูกแทนที่ด้วยม่านสีแดงเข้มห้อยลงมาจากคาน้า เมื่อเสียงเพลงเพิ่งจะจบและทุกคนยังไม่ได้พัก พวกเขาก็เห็นแม่นางเตี๋ยเย่ลอยลงมาจากข้างบน นางใช้ม่านพันรอบตัวเอง หมุนวนรอบในอากาศอยู่กลางเวทีปราดเปรียวเช่นผีเสื้อ จากนั้นก็ร่อนลงมา
เหมือนกับผีเสื้อที่บินอยู่ในยามค่ำคืน และใบหน้าของนางก็ถูกปกคลุมไปด้วยผ้าคลุมสีดำแม้จะมองไม่เห็นแก้มของนาง แต่ก็รู้สึกว่านางเป็หญิงสาวที่งดงามคนหนึ่ง
นางถูกห่อหุ้มด้วยม่านสีแดงเข้ม ร่างกายทั้งหมดถูกโอบล้อมด้วยความสง่างาม ราวกับผีเสื้อที่บินออกมาจากรังไหม นางงดงาม เสน่ห์ของนางนั้นทำให้จิตใจของผู้คนพลุ่งพล่าน
เมื่อแม่นางเตี๋ยเย่ลงมาบนเวที ไม่นาน ทุกคนก็ส่งเสียงปรบมือและทักทาย
แม่นางทั้งสองเต้นรำกันจบแล้ว จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนการลงคะแนน กู้หนานเฟิงเหมือนจะได้สติกลับมา ด้านนอกเวทีมีกลุ่มคนอยู่สองกลุ่ม ทุกคนล้วนมีแม่นางที่ตนอยากสนับสนุน ต่างลงคะแนนกันอย่างเอาเป็เอาตาย
บนอาคาร หลิวเยว่ได้ค้นพบว่าบนอาคารแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ห้องของพวกเขาห้องเดียว เฉพาะชนชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถนั่งชมตรงนี้ได้
หรือพูดได้อีกอย่างก็คือนอกจากกู้หนานเฟิงแล้วยังมีคนอื่นอีกสามคน
การลงคะแนนเสียงได้รับการคัดเลือกจากผู้ชมด้านล่าง คะแนนของเตี๋ยเย่และเนี่ยนไป๋เท่ากัน ดังนั้นจึงต้องให้คนบนอาคารลงคะแนนเสียงเพื่อตัดสิน
กู้หนานเฟิงดูเหมือนจะไม่รีบร้อนตัดสินใจ เขาดื่มสุราด้วยท่าทีนิ่งสงบ
หลิวเยว่คิดในใจว่า เขาจะต้องลงคะแนนให้เนี่ยนไป๋สหายเก่าของเขาอย่างแน่นอน
“ตรงข้ามคือองค์ชายรอง”
กู้หนานเฟิงแนะนำคนในห้องทั้งสามคนให้หลิวเยว่ฟัง เขาพูดเสียงเบามาก แต่มันกลับเหมือนไม้ที่เคาะลงมาที่ศีรษะของหลิวเยว่อย่างจัง องค์ชายรอง อวิ๋นเจ๋อ? ย้อนกลับไปในสมัยนั้น องค์ชายรองที่ไร้ความปรานีเขาปรารถนาให้อวิ๋นซู่ตายใจจะขาด
นางยังไม่ทันได้สติ กู้หนานเฟิงก็บอกข่าวสำคัญกับนางอีกเื่
“ส่วนห้องทางด้านซ้ายมือคือบุตรชายของแม่ทัพใหญ่เจิน แม่ทัพเจิน เจินลิ่วเจิ้ง”
พี่ชายของนาง?
ทันใดนั้นร่างกายของหลิวเยว่พลันสั่นสะท้าน นางเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ นางพยายามต่อต้านความกลัวในหัวใจของตนและบังคับตัวเองให้มองไปที่กู้หนานเฟิงอย่างสงบ
ขณะที่นางคิดว่ากู้หนานเฟิงจะพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้นางไม่สามารถยอมรับได้ ทว่าเขากลับพูดประโยคสบายๆ ออกมา
“พวกเขาคือแขกประจำของที่นี่”
หลิวเยว่เงียบไป จิตใจของนางสับสนมากในตอนนี้ ไม่เพียงเพราะพี่ชายของนางเป็แขกประจำของหอนางโลมแห่งนี้ แต่ยังแปลกใจที่เห็นองค์ชายรองมาที่นี่ด้วย เหตุใดพี่ชายของนางก็อยู่ด้วย? มันเป็ความบังเอิญระหว่างพวกเขาหรือพวกเขามีความเกี่ยวข้องอะไรกัน?
หากมีความเกี่ยวข้องกัน แล้วเกี่ยวข้องกันเื่อะไร?
ตอนนี้ราชวงศ์ทงเป็แคว้นที่สงบสุขและเจริญรุ่งเรือง การค้าขายของหลายร้อยแคว้นล้วนได้มาถึงแผ่นดินของแคว้นทง ความแข็งแกร่งทางทหารไม่มีใครเทียบได้ นางกลัวว่าพี่ชายของนางจะเดินทางผิด และไม่มีวันหวนกลับไปได้อีก
ไม่ว่าพวกเขาจะบังเอิญหรือตั้งใจ หลิวเยว่คิดว่าควรหาเวลากลับตระกูลเจินและพูดเื่นี้กับท่านพ่อท่านแม่
สติของนางไม่อยู่กับร่องกับรอย จนลืมเื่ลงคะแนนเสียงมานานและยิ่งลืมจุดประสงค์ของกู้หนานเฟิงที่พานางมา
“หลิวเยว่ เ้าลองััหัวใจข้าอีกสิ แม้ว่าข้าจะเห็นสตรีงดงาม แต่ข้าก็ไม่สนใจเลยสักนิด”
เขาไม่ละอายใจกับสิ่งที่เขาพูด ไม่รู้ว่าฉายาชายสำส่อนนอนกับสตรีหน้าตาดีทั่วเมืองเทียนเฉิงนั้นมาจากไหน
“เ้าเชื่อว่าข้านอนกับสตรีหลายคนหรือไม่?” ภายนอกจะมีข่าวลืออย่างไร เขาไม่เคยสนใจ กระทั่งมีความสุขที่ได้เห็นว่าข่าวลือนี้ประสบความสำเร็จ แต่ตอนนี้เขากลับอยากอธิบายให้หลิวเยว่ฟัง
“ข้าไม่เชื่อ”
ขณะที่เขามีความสุข หลิวเยว่ก็พูดต่อ
“ถ้าเ้านอนกับสตรีหลายคน เ้าอาจตายไปนานแล้ว”
คำพูดของหลิวเยว่นั้นนับว่าบังอาจอย่างมากในยุคนี้ ทำให้กู้หนานเฟิงเถียงไม่ออก เขาไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับมันแต่โดยดี
ผลแพ้ชนะของการแข่งขันเต้นรำออกมาทันที น่าแปลกใจที่กู้หนานเฟิงไม่ได้เลือกเนี่ยนไป๋ แต่กลับเป็เตี๋ยเย่ที่มีเสน่ห์
คนที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด สามารถเป็ราชินีดอกไม้ได้หนึ่งวัน
เตี๋ยเย่คนนี้ คือคนที่แม่เล้าพูดถึงก่อนหน้านี้ นางเป็ดอกไม้งามที่ยังไม่เบ่งบานเต็มที่เหมือนดอกไม้ปลอม นางขายศิลป์มิได้ขายตัว ดังนั้นกู้หนานเฟิงที่ได้รับการตอบรับจากนางหนึ่งวัน ทำให้บุรุษที่อยู่ด้านล่างนั้นเหมือนจะยินดีในความโชคร้ายของคนอื่น เพราะต่อให้จ่ายในราคาสูงแค่ไหน ก็ทำได้แค่มองทว่าแตะต้องไม่ได้ นับเป็การสิ้นเปลืองเงินเสียเปล่า
เตี๋ยเย่ถูกแม่เล้าพาไปยังห้องส่วนตัวของพวกเขา นางสวมชุดสีแดงเข้มและบนไหล่แต่ละข้างประดับผีเสื้อสีดำที่ดูเหมือนกำลังจะโบยบิน ความงามของนางดูมีเสน่ห์น่าค้นหา
เมื่อนางเดินเข้าไป พวกเขาก็ได้กลิ่นจางๆ ของดอกไม้ชุนจิ่น [1] บนร่างกายของนาง
กลิ่นชุนจิ่น?
ในอดีต หลิวเยว่ได้กลิ่นนี้เฉพาะจากบนร่างกายของเหย่เลี่ย องค์ชายแห่งแคว้นเสวียน หรือไต้ซืออู๋เสวียนในยุคปัจจุบัน นางจำได้ดี ปีนั้นเหย่เลี่ยเคยพูดเอาไว้ว่าดอกไม้ชุนจิ่นจะบานแค่ในแคว้นเสวียน สี่ปีจะบานหนึ่งครั้งพวกเขาจึงจะเด็ดดอกไม้เหล่านี้มาตากเป็ดอกไม้แห้ง บดเป็ผงและรมควันใส่เสื้อผ้า
นางเงยหน้าขึ้นมองเตี๋ยเย่อย่างอดไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าเตี๋ยเย่เองก็มองมาเช่นกัน พวกนางสบตากันทันที หลิวเยว่ดูเหมือนจะมองเห็นคำสองคำที่คุ้นเคยจากแววตาของนาง เตี๋ยเย่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับนางอย่างบอกไม่ถูก หรือว่านางจะมาจากแคว้นเสวียน
ตอนนี้พอได้มองใกล้ๆ ก็รู้สึกว่านางนั้นงดงามมากจริงๆ ความงามของนางมีเสน่ห์น่าค้นหา
การปรนนิบัติของนางที่เรียกว่าการขายงานศิลป์แต่ไม่ขายตัว เป็เพียงการดื่มสุราสองสามจอกแสดงความเคารพ จากนั้นก็เต้นรำและบรรเลงบทเพลงหนึ่งบทเพลงเท่านั้น
หลิวเยว่เห็นท่าทางการเต้นและบทเพลงของเตี๋ยเย่ นางก็อดคิดถึงเหย่เลี่ยไม่ได้ เขาสอนให้นางบรรเลงบทเพลงและเต้นรำมาก่อน กระทั่งหลังจากที่นางติดตามอวิ๋นซู่ อวิ๋นซู่ก็เอ่ยชมไม่ขาดปาก
“การเต้นรำของเ้าดูไม่เหมือนของราชวงศ์ทง แต่กลับมีท่าทางประหลาดคล้ายจากต่างแดนแฝงมาด้วย”
เตี๋ยเย่มาจากที่ใด? กลิ่นดอกชุนจิ่นบนร่างกายของนางเหมือนกับของเหย่เลี่ย เื่ทั้งหมดนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับไต้ซืออู๋เซวียนหรือไม่? นางจมอยู่ในความคิดของตน อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกู้หนานเฟิงเอ่ยข้างหูนาง
“ชอบหรือไม่? ให้ข้าซื้อนางกลับไปเป็สาวใช้ของเ้าเป็อย่างไร?”
หลิวเยว่ไม่ตอบเพราะเตี๋ยเย่มองนางอยู่ สายตานั้นสงบนิ่ง ไม่มีแววตาของการขอร้องให้ช่วยพาออกจากสถานที่แห่งนี้เหมือนสตรีคนอื่นๆ ที่อยู่ในหอนางโลม เพียงแต่มองหลิวเยว่อย่างเงียบๆ ไม่ทะนงตนเกินไปหรือต่ำต้อยเกินไป ทำให้จิตใจของหลิวเยว่สั่นไหวมาก แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เป็ไร ข้าเป็แค่สาวใช้คนหนึ่ง...”
ยกโทษให้นางด้วย นางในตอนนี้ยังไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ต้องคอยระมัดระวังตลอด ไม่เหมาะจะสานสัมพันธ์กับใคร
บทเพลงเดียว และเต้นรำหนึ่งบทเพลง เตี๋ยเย่ยังไม่ทันจากไปก็ได้ยินเสียงคนสองคนบุกเข้ามาในห้อง
“คุณชายเฟิง พวกเราก็อยากชื่นชมราชินีดอกไม้เช่นกัน”
แขกที่ไม่ได้รับเชิญ คือพี่ชายของนางและองค์ชายรองที่ผลักประตูเข้ามา หัวใจของหลิวเยว่พลันหวาดกลัวมาก แต่ยังดีที่นางได้สติกลับมาเร็ว
นางรีบโผเข้าไปซบกับอกของกู้หนานเฟิงทันที เอาใบหน้าของนางซุกเข้าไปในอกและสองมือนางก็โอบรอบเอวของเขา ทำเหมือนชายหญิงกำลังพลอดรักกัน แต่นางลืมไปว่านางแต่งกายเป็บุรุษอยู่ นางเพียง้าซ่อนตัวเองให้มิดชิด มิฉะนั้นเกรงว่าพี่ชายของนางจะจำนางได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าองค์ชายรอง ผลที่ตามมานั้นยากจะรับมือได้
โชคดีที่แม้ว่ากู้หนานเฟิงจะไม่ได้เตรียมตัว แต่เขายังร่วมมือกับหลิวเยว่ โอบร่างเล็กๆ ของนางเอาไว้ในอ้อมแขน และดูท่าทางเหมือนจะมีความสุขไม่น้อย
เมื่อเห็นเช่นนี้ เตี๋ยเย่ที่มองเห็นฉากนี้ยังคงยืนเงียบอยู่ด้านข้าง
องค์ชายรองและเจินลิ่วเจิ้งที่บุกเข้ามาต่างมองภาพนี้ด้วยความตะลึงงัน เห็นเพียงว่าคุณชายเฟิงไม่สนใจเตี๋ยเย่ที่อยู่ด้านข้าง แต่กลับโอบกอดชายหนุ่มคนหนึ่งแทน ดูจะรักกันไม่น้อย หลังจากตกตะลึงอยู่นานทั้งคู่จึงหัวเราะอย่างคลุมเครือ
“ที่แท้คุณชายเฟิงก็มีงานอดิเรกเช่นนี้ เช่นนั้นไม่รบกวนแล้ว เชิญพวกเ้าเถอะ”
เมื่อทั้งสองคนจากไป
หลิวเยว่ที่หลบพ้นหายนะครั้งนี้ได้ นางจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่เมื่อมองแผ่นหลังของพี่ชายที่จากไป นางกลับรู้สึกกังวลขึ้นมา
ตอนที่นางยังเด็ก ทุกครั้งที่บิดาพวกเขาเข้าวัง เขามักจะพานางและพี่ชายติดตามไปด้วย ในเวลานั้นทันทีที่นางเข้าวัง นางจะต้องตรงไปเล่นกับอวิ๋นซู่ ในขณะที่พี่ชายของนางก็จะตรงไปหาองค์ชายใหญ่ ในเวลานั้นหากไม่ใช่เพราะพระราชอำนาจของฮ่องเต้ ความสัมพันธ์ของพี่ชายกับองค์ชายใหญ่ สามารถเรียกว่าพี่น้องได้เลยทีเดียว
พี่ชายเป็คนรอบคอบ มีเมตตาและจงรักภักดี ทั้งเขายังจงรักภักดีต่อองค์ชายใหญ่มาโดยตลอด แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป องค์ชายใหญ่ไม่ใช่ฮ่องเต้ นางกลัวว่าพี่ชายของนางจะหูเบา ถูกคนชั่วยั่วยุให้ทำเื่ที่ไม่อาจหันกลับไปแก้ไขได้ ยิ่งนางคิดเื่นี้มากเท่าไร นางก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น กระทั่งสายตาของนางจดจ้องไปยังใบหน้าของกู้หนานเฟิง นางถึงได้สติกลับมา
ในขณะนี้ กู้หนานเฟิงกําลังจ้องมองใบหน้าของนาง ใบหน้าของทั้งสองอยู่ใกล้มาก ใกล้จนอีกเพียงเล็กน้อยริมฝีปากของเขาจะัักับริมฝีปากของนาง นางไม่ได้หันหน้าไปทางอื่น แต่กลับผลักเขาออก และเอ่ยประโยคที่ไม่อาจเข้าใจได้
“ขอบคุณ” นางขอบคุณที่เขาช่วยเหลือนางเมื่อครู่
อ้อมกอดของกู้หนานเฟิงว่างเปล่า หัวใจเขาก็ว่างเปล่าและรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้น
“กลับจวน”
ทิ้งให้เตี๋ยเย่อยู่เพียงลำพัง
เชิงอรรถ
[1] ดอกชุนจิ่น คือดอกวิโอลา