วันต่อมา
ไป๋เซี่ยเหอเพิ่งจะกินอาหารเช้ากับฮั่วเยี่ยนไหวในเรือนสองคนเสร็จ อิ๋งเฟิงก็รีบร้อนเข้ามา
“ท่านอ๋อง แม่นมต่งกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮั่วเยี่ยนไหววางตะเกียบลง ก่อนจะกุมมือเล็กขาวนุ่มที่อยู่ข้างๆ ไว้ในมือของตนเอง
“กินเสร็จแล้วเปิ่นหวังจะพาเ้าไปพบคนผู้หนึ่ง”
“ผู้ใดหรือ?”
ไป๋เซี่ยเหอรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เป็ผู้ใดที่ทำให้เขาพูดออกมาอย่างจริงจังว่า ‘จะพาเ้าไปพบ’
“แม่นมต่ง”
ดวงตาเล็กของไป๋เซี่ยเหอกลอกไปมาเล็กน้อย ก่อนจะตอบอย่างเชื่อฟัง “ได้สิ”
เมื่อทั้งสองคนเดินออกมาด้านนอก ก็พบว่านอกจากกลุ่มองครักษ์ในจวนแล้ว ยังมีองครักษ์เงาของอินทรีโลหิตที่กำลังยืนล้อมสตรีสองคนอยู่หน้าประตู
สตรีคนแรกอายุราวๆ สี่สิบกว่าปี สวมชุดเอ่าฉวินสีน้ำตาล เสียบปิ่นปักผมเรียบง่ายเล่มหนึ่งบนศีรษะ ทว่าถึงอย่างไรสตรีผู้นี้ก็เคยอยู่ในวัง บุคลิกจึงไม่ธรรมดา
ข้างกายของนางมีเด็กสาวอายุราวสิบห้าสิบหกปียืนอยู่ เด็กสาวส่งยิ้มอย่างสดใส ก่อนจะมอบของที่เตรียมมาให้กับเหล่าองค์รักษ์
เมื่อทุกคนเห็นไป๋เซี่ยเหอและฮั่วเยี่ยนไหวเดินมา ก็ทำความเคารพทันที “ถวายบังคมท่านอ๋อง พระชายา”
สตรีสองคนที่อยู่หน้าประตูก็เคลื่อนสายตามา
แม่นมต่งจูงเด็กสาวเดินมาตรงหน้าของทั้งสองคน ก่อนจะทำความเคารพอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย “บ่าวถวายบังคมท่านอ๋อง พระชายาเพคะ”
ไป๋เซี่ยเหอเบี่ยงกายก่อนจะทำความเคารพกลับ เป็การแสดงออกถึงความเคารพ
เนื่องจากฝูเอ๋อร์เคยสอบถามเกี่ยวกับแม่นมต่งผู้นี้จากอิ๋งเฟิงมานานแล้ว ดังนั้นไป๋เซี่ยเหอจึงพอรู้เื่ของนางมาบ้าง
แม่นมต่งอยู่ข้างกายมารดาของฮั่วเยี่ยนไหวมาั้แ่เล็ก ต่อมาก็ตามนางเข้าวังไปรับใช้ และได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ออกจากวังเพื่อตบแต่งกับบุรุษผู้หนึ่ง
เพียงแต่ต่อมาเกิดเื่กับมารดาของฮั่วเยี่ยนไหว หลงเหลือเพียงเขาคนเดียว แม่นมต่งไม่วางใจ จึงขอเข้าวังเพื่อไปรับใช้ฮั่วเยี่ยนไหวอีกครา
อดีตฮ่องเต้ไม่เพียงแต่อนุญาต ยังชื่นชมความมีน้ำใจของนางอีกด้วย แม้แต่งานเลี้ยงใหญ่ที่จัดขึ้นในวัง นางก็สามารถติดตามฮั่วเยี่ยนไหวไปร่วมงานได้
เพียงแต่ตอนนั้นไม่มีผู้ใดรู้ว่าแม่นมต่งเองก็ให้กำเนิดบุตรีเช่นเดียวกัน ทว่านางได้ละทิ้งบุตรีที่ยังเยาว์วัย เพื่อเข้าวังมาดูแลฮั่วเยี่ยนไหว
ดังนั้น ฮั่วเยี่ยนไหวจึงเคารพแม่นมต่งมาก
เด็กสาวข้างกายของแม่นมต่งไม่ขยับเขยื้อน ดวงตากลมโตกวาดมองไป๋เซี่ยเหอ ก่อนจะกัดริมฝีปากเล็กน้อย รู้สึกหงุดหงิดอย่างยิ่ง
พระชายางดงามจริงๆ งดงามเสียจนทำให้นางอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี
แม่นมต่งดึงแขนเสื้อของนาง “เซี่ยวเยี่ยน ไม่รู้จักกฎระเบียบหรือ? รีบทำความเคารพท่านอ๋องกับพระชายาเร็ว”
เซี่ยวเยี่ยนผงกศีรษะ นางยื่นกล่องอาหารในมือให้อิ๋งเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วกำชับว่าต้องมอบให้ท่านอ๋อง
จากนั้นก็ทำความเคารพ “ถวายบังคมท่านอ๋อง พระชายาเพคะ”
ดวงตาของนางกลิ้งกลอก พลางเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “เพราะไม่ทราบว่าพระชายาอยู่ด้วย จึงเตรียมของขาดไปหนึ่งชิ้น พระชายาคงไม่ถือสากับเื่เล็กน้อยกระมังเพคะ”
ใบหน้าเล็กมีรูปโฉมธรรมดา ดวงตาโค้งราวกับจันทร์เสี้ยวได้ฉายแววความมีชีวิตชีวาออกมาอย่างเห็นได้ชัด
น่าเสียดายที่ถูกความริษยาในแววตาทำลายความพิเศษนี้ไป
“ไม่หรอก”
ไป๋เซี่ยเหอเห็นแก่หน้าของแม่นมต่ง จึงคร้านที่จะคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กสาวนางนี้
นอกจากนี้ แม้ว่าในแววตาของนางจะแฝงความอิจฉาริษยา ทว่าไม่มีความไม่ประสงค์ดี ดูราวกับแม่นางน้อยที่มีนิสัยเอาแต่ใจและไม่สนใจสิ่งใดเท่านั้น
สีหน้าของแม่นมต่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย ใบหน้าชราแดงก่ำ
“บ่าวเดินทางมาแล้วครึ่งทางถึงได้ทราบเื่ของพระชายา ดังนั้นจึงเร่งรีบมาที่นี่ ไม่ได้เตรียมของมามอบให้ เพียงแต่มีของสิ่งหนึ่งที่ควรกลับคืนสู่เ้าของเพคะ”
ไป๋เซี่ยเหอเอียงศีรษะ กลับคืนสู่เ้าของ?
เ้าของคนไหน?
“ของอะไร?”
แม่นมต่งหยิบกล่องเล็กใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วหยิบกำไลวงหนึ่งออกมา จากนั้นก็สวมมันที่ข้อมือขาวผ่องของไป๋เซี่ยเหอ
“กำไลหยกดำวงนี้พระสนมทิ้งไว้ที่บ่าว ฝากฝังบ่าวให้มอบมันแก่ว่าที่พระชายาเพคะ”
กำไลมีขนาดพอดีกับข้อมือของไป๋เซี่ยเหออย่างคาดไม่ถึง ราวกับมันต้องเป็ของนาง
ไป๋เซี่ยเหอมองกำไลบนข้อมืออย่างยินดี ในใจราวกับมีหินก้อนใหญ่ตกลงมา
สำหรับนางแล้ว กำไลวงนี้ไม่เพียงเป็เครื่องประดับเท่านั้น ทว่าเป็เครื่องยืนยัน...
ยืนยันตัวตนของนาง
“ฮั่วเยี่ยนไหวเห็นหรือไม่? ท่านหนีข้าไม่พ้นแล้ว”
ท่าทีพึงพอใจเล็กน้อยของนางเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ดูน่ารักอย่างยิ่งในสายตาของฮั่วเยี่ยนไหว
“เปิ่นหวังไม่เคยคิดที่จะหนี”
น้ำเสียงอันเรียบเฉยของเขาดังขึ้นต่อหน้าทุกคน ทำให้คนเ่าั้เกิดความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
เอ่ยคำหวานอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะมาจากปากของเซ่อเจิ้งอ๋อง
ทว่าในความคิดของฮั่วเยี่ยนไหว สิ่งที่เขาควรทำไม่ใช่การหนุนหลังนางหรืออย่างไร?
เมื่อเห็นท่าทีของสองคนตรงหน้า ในใจของแม่นมต่งก็ยินดีเป็อย่างยิง จิตใจที่กังวลมาค่อนชีวิต ในที่สุดก็สงบใจได้แล้ว
หลังพบหน้ากันแล้ว
ฮั่วเยี่ยนไหวต้องเข้าวังไปจัดการธุระ ไป๋เซี่ยเหอจึงกลับมาที่เรือนฝูเซิงหย่าที่อยู่ถัดจากจวนของเขา
ฝูเอ๋อร์มองไป๋เซี่ยเหอที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ขอบหน้าต่าง จู่ๆ นางก็มีข้อสงสัยบางอย่าง
“คุณหนู บ่าวได้ยินว่าแม่นมต่งผู้นี้มีตำแหน่งสูงส่งในจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง ท่านไม่ไปตีสนิทนางหรือเ้าคะ?”
ไป๋เซี่ยเหอที่กำลังอ่านหนังสืออยู่นั้นไม่เงยหน้าขึ้นแม้แต่น้อย
“ไม่จำเป็”
“แต่ว่า...” ฝูเอ๋อร์ยังคงไม่ยอมแพ้
“บ่าวได้ยินว่า สตรีผู้นั้นที่เรือนพิงถิงได้ส่งของกำนัลกองใหญ่ไปให้แม่นมต่งเ้าค่ะ”
ฝูเอ๋อร์เบะปาก สีหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน
เมื่อก่อนดีร้ายอย่างไรก็ยังเสแสร้ง ตอนนี้ความคิดของสุมาเจียว คนสัญจรยังล่วงรู้[1]
ไป๋เซี่ยเหอเห็นฝูเอ๋อร์มีท่าทีโกรธเคือง ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปบีบแก้มนาง
“เ้าวางใจเถิด แม่นมต่งผู้นั้นเคยอยู่ในวังหลวง ดวงตาของนางเหมือนกระจกส่องปีศาจ ผีสางนางไม้อะไรมาอยู่ต่อหน้านาง ล้วนหนีไม่พ้นดวงตาแห่งธรรมของนางไปได้”
ั้แ่แวบแรกที่ได้เห็นแม่นมต่ง นางก็รู้ว่าสตรีผู้นี้ดีกับฮั่วเยี่ยนไหวด้วยใจจริง
“ในสายตาของแม่นมต่ง ทั้งหมดล้วนไม่สำคัญเท่าท่านอ๋อง ดังนั้น ขอเพียงท่านอ๋องชอบข้า นางก็ไม่มีทางเกลียดข้า”
ฝูเอ๋อร์เกาศีรษะ
ในเวลาเดียวกัน
หน้าประตูจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง แม่นมต่งถือสมุดบัญชีอยู่ในมือ นางค่อยๆ เดินไปทางเรือนฝูเซิงหย่า
เซี่ยวเยี่ยนที่อยู่ข้างกายนางเอ่ยเสียงดัง “ท่านแม่ เมื่อครู่จวิ้นจู่ผู้นั้นส่งของดีมาให้ตั้งมากมาย เหตุใดท่านถึงไม่รับไว้เ้าคะ?”
แม่นมต่งมองใบหน้าที่ดูใสซื่อของเซี่ยวเยี่ยนด้วยสีหน้าจริงจัง พอคิดว่าเมื่อครู่นางไม่เคารพพระชายา ในใจก็โกรธเคืองเล็กน้อย
ทว่าถึงอย่างไรนางก็เข้าใจกฎระเบียบอยู่บ้าง
“ข้าไม่รับสินบนใดๆ ทั้งสิ้น!”
“เ้าอาจมองว่าสิ่งของเ่าั้เป็ของกำนัล แต่ไม่รู้ว่าวันใดมันจะกลายเป็มีดอันแหลมคมที่สามารถแทงเ้าตายได้”
“ต้องจริงจังเช่นนั้นเชียวหรือ?”
เซี่ยวเยี่ยนพึมพำเสียงเบา นางไม่เคยเห็นทับทิมที่มีขนาดเท่าไข่นกพิราบมาก่อน เรียกได้ว่ามีของดีอยู่มากมาย
“ต้องสิ ทุกคนล้วนรู้ว่าข้าเป็นางกำนัลคนสนิทของท่านอ๋อง หากข้าออกหน้า ก็เท่ากับออกหน้าแทนท่านอ๋อง”
“หากวันนี้ข้ารับสิ่งของเ่าั้ไว้ ไม่ใช่ว่าข้ากำลังทำให้ผู้อื่นรับรู้หรอกหรือว่าจวนเซ่อเจิ้งอ๋องสายตาไม่กว้างไกล? จากนั้นคนเ่าั้ก็จะพากันส่งของมาให้เราบ้าง หลังจากเรารับของเอาไว้ ก็ต้องทำตามความ้าของพวกเขาเพราะไม่สามารถปฏิเสธได้!”
------------------------
[1] ความคิดของสุมาเจียว คนสัญจรยังล่วงรู้ เป็สำนวน หมายถึง เจตนาซ่อนเร้นเป็ที่รู้กันดี