แคว้นเป่ยเยี่ยนให้ความสำคัญกับบุ๋นและบู๊เท่าๆ กัน หากมีความสามารถด้านบุ๋นและบู๊ย่อมสามารถเข้าสอบเป็ขุนนางเพื่อได้รับเกียรติยศความร่ำรวย เป็เส้นทางสู่ชื่อเสียงและผลประโยชน์
ในสามสิบห้าคนนี้ ครึ่งหนึ่งมีวิชาการต่อสู้ไม่ธรรมดา การแข่งขันดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งสนุกขึ้นเรื่อยๆ
ดาบกระบี่ไร้ตา ระหว่างการแข่งขันจึงยากจะหลีกเลี่ยงการได้รับาเ็ ดังนั้นก่อนจะเริ่มการแข่งขันจึงมีการประกาศกฎออกมาว่า : โปรดระวัง ห้ามใช้กำลังภายในโดยเด็ดขาด
หากมีคนได้รับาเ็ ขอเพียงไม่าเ็จนถึงอวัยวะภายในก็จะไม่สืบสาวเอาความ
เสียงกระบี่ยาวดังกระทบกัน ประกายแสงสะท้อนราวหิมะ ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวจึงเพิ่มไอเย็นขึ้นมาอีกหลายส่วน
สามคนมะรุมมะตุ้มต่อสู้กัน หาก้าเป็ผู้ชนะก็ต้องเอาชนะอีกสองคนให้ได้
ดังนั้นจึงมีหลายกลุ่มที่คนฝีมืออ่อนสองคนร่วมมือกันกำจัดคนที่แข็งแกร่งออกก่อน ทว่าแม้จะคิดคำนวนมาดีมากเพียงใดก็ยังต้องดูกันที่ความสามารถอยู่ดี
ในตอนนี้เอง ด้านหน้ามีเสียงประกาศของขันทีขึ้น “องค์หญิงจาวฮวาเสด็จ!”
ในใจของมู่หรงฉือไม่พอใจ มาช้าขนาดนี้ไม่มาตอนการแข่งขันเสร็จสิ้นเสียเลยเล่า?
การแข่งขันต่อสู้ทั้งสองรอบเสด็จพ่อรับสั่งให้องค์หญิงจาวฮวามาที่ลานแข่งด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมให้เหล่าบุรุษฮึกเหิมในการต่อสู้
ในลานเพิ่งจะแข่งเสร็จไปหนึ่งกลุ่ม นอกจากมู่หรงอวี้กับมู่หรงฉือแล้ว ทุกคนต่างโค้งคำนับต้อนรับองค์หญิงจาวฮวา
เกี้ยวถูกวางลงกับพื้น สตรีในชุดองค์หญิงสะกดสายตาผู้คนค่อยๆ เยื้องย่างลงมา
มือเรียวยาวสวยราวแกะสลักโดยเทพเซียนค่อยๆ วางลงที่ข้อมือของหยวนซิ่วนางกำนัลหญิงข้างกาย ดึงดูดสายตาผู้คนมากมาย
เสื้อคอจีนสีเหลืองอ่อนตัวบนปักด้วยดิ้นเงินลายดอกเฉียงเวย ตัวล่างเป็กระโปรงสีเดียวกันปักลายดอกเฉียงเวยเลื้อยพัน คลุมด้วยผ้าสีขาวบางเบาดูแล้วสง่างาม สดชื่น บ่าเล็กมน เอวคอดกิ่วราวกับถูกมัดไว้ ใบหน้างดงามบอบบาง ดูอ่อนนุ่มราวกับสายน้ำ เป็ความงดงามอันสูงศักดิ์ไม่สามัญ บวกกับท่าทางที่แสดงออกมาอย่างสง่างามเหนือผู้คน
สีเหลืองอ่อนนั้นทำให้นางดูอ้อนแอ่นนุ่มนิ่ม เรือนร่างสูงเพรียว ดวงหน้าแต่งออกมาอย่างงดงาม สวยสะกดจนคนไม่กล้ามองตรงๆ
ชายหนุ่มที่เข้าแข่งขันเ่าั้ต่างพากันมองจนตาค้าง น้ำลายแทบจะไหลออกมา การได้เห็นองค์หญิงจาวฮวาผู้เป็ธิดารักของฮ่องเต้ ทั้งยังมีความงามล้ำใกล้ๆ เช่นนี้ ก็เหมือนเป็การฉีดความกล้าให้กับพวกเขา ยิ่งทำให้พวกเขามีพลังต่อสู้เต็มเปี่ยม ความมั่นใจเต็มร้อย
เหล่าบุตรีตระกูลใหญ่พากันก้มหน้าลง ละอายต่อความงาม เรือนร่าง และความสูงศักดิ์ของนางที่ตนมิอาจสู้ได้ แต่ละคนเจ็บใจจนแทบจะกระอักเื
บรรดาสตรีที่อยากอวี้หวางสุดท้ายก็ต้องดึงสายตากลับมา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคนเอาไปเปรียบเทียบกับองค์หญิงจาวฮวา
ข้างกายของมู่หรงฉือมีเก้าอี้หนึ่งตัว เป็ที่นั่งสำหรับองค์หญิงจาวฮวานั่นเอง
มู่หรงฉางในตอนนี้กำลังถูกขันทีนำทางมายังที่นั่ง ระหว่างทางที่เดินมาสายตาก็หยุดลงที่ใบหน้าไม่ยี่หระของมู่หรงอวี้
หากเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ นางไม่มีทางมาดูการแข่งขันอันน่าเบื่อนี้หรอก
“เสด็จพี่ ตรงนี้น้องมองเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ น้องอยากจะไปนั่งตรงนั้นได้หรือไม่เพคะ?
นางถามความเห็นของพี่ชายเสียงอ่อนโยน ความจริงแล้วนางอยากจะสั่งให้ขันทีเอาเก้าอี้ไปวางข้างมู่หรงอวี้เสียประเดี๋ยวนั้น จะได้นั่งอยู่ใกล้เขา ได้พูดคุยใกล้ชิดกับเขา ยิ่งสามารถมองเขาได้บ่อยๆ
มู่หรงฉือมีหรือจะไม่เข้าใจความคิดของน้องสาวคนนี้?
ตอนที่นางกำลังจะเอ่ยปากกลับได้ยินเสียงเ็าดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน “เปิ่นหวางไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมเครื่องสำอาง ดมมากแล้วเวียนหัว”
พูดจาไร้สาระ!
ก่อนหน้านี้เหตุใดนางถึงไม่เคยได้ยิน ไม่เคยเห็นเขารังเกียจกลิ่นน้ำหอมเครื่องสำอางมาก่อนเล่า?
ได้ยินประโยคนี้แล้ว มู่หรงฉางพลันกัดริมฝีปากล่างสีชมพูของตัวเองอย่างเขินอาย ดวงหน้าเล็กที่แต่งมาอย่างงดงามพลันแดงก่ำ ก่อนจะเปลี่ยนเป็สีเขียวแล้วกลายเป็ขาวซีด สุดท้ายก็เปลี่ยนมาเป็สีดำของตับหมู
มู่หรงฉือมองนางด้วยความเอ็นดู ถึงตนมีใจอยากจะช่วยนาง แต่ก็ทำอะไรกับบุรุษที่ใจแข็งดั่งเหล็กนั้นไม่ได้ อ๊ากกกก
“เสด็จพี่ ไม่เป็ไรเพคะ น้องนั่งตรงนี้ก็ได้”
มู่หรงฉางเลื่อนสายตาออกแล้วหัวเราะเบาๆ ตอนที่นั่งลงก็มองไปทางคนที่อยู่ในใจด้วยความกังวลเสียใจ ก่อนจะรีบตั้งสติ
เห็นเหล่าบุรุษมองมายังน้องสาวด้วยความรักใคร่หลงใหล แต่ครั้นคิดถึงอวี้หวางผู้มีบารมีล้นเหลือแล้วก็ให้ปวดใจจริงๆ
มู่หรงฉือคิดไป การแข่งขันก็ดำเนินต่อไป
สี่ตระกูลใหญ่ สกุลกง สกุลหยาง สกุลถัง สกุลหรง คนในตระกูลที่ยังเป็ชายหนุ่มไม่ได้มาเข้าร่วมเพียงแค่คนเดียว มีหลายคนที่เอาชนะจนเข้ารอบการแข่งขันรอบสุดท้ายไปได้ในวันพรุ่งนี้
ด้านล่างบันไดหยกมีคนใช้กระบี่ยาวต่อสู้กันจะเป็จะตาย ส่วนตรงหน้าของมู่หรงฉือกลับมีสายตาที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำอันนุ่มนวลไล่ผ่านปลายจมูกของนาง
นางถอนหายใจหลายที น้องสาว เคารพตัวเองหน่อย
จาวฮวามีหรือจะสนใจการต่อสู้? นางกำลังชื่นชมความหล่อเหลาของบุรุษอยู่ต่างหาก
การแข่งขันดำเนินมาจนถึงกลุ่มสุดท้าย หวังเจิง กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียน
หากพูดกันจากความสามารถด้านการต่อสู้ ความสามารถในการรบ แน่นอนว่าหวังเจิงนั้นแข็งแกร่งที่สุด แต่ว่าฝีมือการต่อสู้ของกงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนเองก็ไม่ธรรมดา
ที่ทำให้คนประหลาดใจก็คือ ถังฉางเทียนคือบุตรอนุจากครอบครัวชิ่งกั๋วกงสกุลถัง ไม่ค่อยมีชื่อเสียงนัก เขาเป็คนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ปกติมักจะแสดงสีหน้านิ่งเฉยราวน้ำแข็ง ดูเป็คนธรรมดาไม่มีความสามารถ แม้แต่บิดาที่เป็ใต้เท้าถังของจวนชิ่งกั๋วกงก็ไม่ได้ตั้งความหวังอะไรกับบุตรที่เกิดจากอนุผู้นี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าวิทยายุทธ์ของเขาจะไม่ธรรมดา แต่ละกระบวนท่ารุนแรง ร่วมมือกับกงจวิ้นหาวจัดการให้หวังเจิงค่อยๆ ถอยร่นไป
การแข่งขันสิบสองกลุ่ม กลุ่มนี้จัดว่าเป็กลุ่มที่น่าสนใจที่สุด
คนดูทั้งสองฝั่งส่งเสียงโห่ร้องเป่าปากออกมาอยู่ตลอด กระทั่งบรรดาสตรีที่หันไปมองอวี้หวางอยู่บ่อยๆ ก็ถูกการต่อสู้กลุ่มนี้ดึงความสนใจไป มองการแข่งขันที่เดาไม่ออกว่าใครจะชนะตาไม่กะพริบ
กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนมองตากัน ทันใดนั้นก็พุ่งตัวออกไป กระบี่ในมือแทงไปยังศัตรูฝั่งตรงข้าม
การโจมตีนี้เป็การใช้กำลังของพวกเขาทั้งหมด
หนึ่งกระบวนท่าคือหนึ่งสุริยะจันทราไร้แสง อีกกระบวนท่าคือสายน้ำซัดสาด เมื่อใช้กระบวนท่าพร้อมกันทำให้เกิดเป็ลมแรง
เสียงลมหวีดหวิวอยู่ในลาน ความหวาดกลัวพุ่งขึ้นสูงอยู่ในใจทุกคน ราวกับรู้สึกได้ว่าลมพัดรุนแรงราวกับพายุระดับสิบสองนั้นจะโหมกระหน่ำไปยังหวังเจิง
หวังเจิงรู้สึกแค่ว่ามีสายลมรุนแรงพุ่งเข้ามา ดวงตาทั้งสองข้างปรากฏความดุดันเ็า
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมีฝีมือฉกาจ เขาจึงใช้กระบวนท่าขโมยฟ้าเปลี่ยนตะวัน ยิงสายฟ้าออกไปโจมตีคู่ต่อสู้
อีกฝ่ายไม่หลบหลีก กลับกันยังพุ่งตรงเข้ามาอีก ความกล้าหาญนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีได้
“กรี๊ดดดด”
สตรีคนหนึ่งตื่นเต้นกังวลจนเกินไปถึงกับกรีดร้องออกมา
คู่ต่อสู้ตรงหน้าส่งสายฟ้ามา กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนเดิมไม่คิดว่าเขาจะหลบหลีกได้ จึงเตรียมตัวจะออกกระบวนท่าต่อไปเพื่อตัดสินแพ้ชนะกับเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ กระทั่งทำลายแผนของพวกเขาเสียแล้ว
ทันใดนั้น พวกเขาเห็นหวังเจิงที่พุ่งเข้ามาตรงหน้าจู่ๆ ก็หายวับไป จึงอดหวาดระแวงไม่ได้ ร่างทั้งร่างเย็นเฉียบ
พวกเขาต่างเป็ยอดฝีมือจึงสามารถรับรู้ได้ถึงภัยอันตรายที่ย่างกรายเข้ามา
หวังเจิงหลบซ้ายหลีกขวา ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน นี่ก็คือขโมยฟ้าเปลี่ยนตะวัน
ในตอนที่กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนรู้สึกตัว แสงสีเงินก็ฟาดลงมา หวังเจิงใช้กระบวนท่ากุ้งัออกทะเล ปราณกระบี่รุนแรง ก่อนจะมีน้ำพุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม
พวกเขาถอยหนีหลบหลีกการโจมตีอย่างทุลักทุเล
สองคนกัดฟันแน่น ลอบจ้องตากันก่อนจะร่วมมือกันโจมตีกลับไป
ทุกคนเห็นภาพนี้ก็ใไปตามๆ กัน เสียงปรบมือดังสนั่น นี่สิถึงจะเป็การทดสอบที่แท้จริง
ทั้งสามคนประหัตปะากันอยู่อีกครู่หนึ่ง หวังเจิงเหมือนไม่ยินดีที่จะสู้กันต่อไปเช่นนี้ จึงออกกระบวนท่าอันรุนแรงออกมาติดต่อกัน คู่ต่อสู้ทั้งสองคนถูกบีบให้หนีซุกหัวซุน
แพ้ชนะยังไม่ถูกตัดสิน เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นมาติดๆ กัน บรรดาสตรีที่ชื่นชอบวีรบุรุษผู้กล้าต่างมีใจให้กับหวังเจิง อีกทั้งหวังเจิงหน้าตาหล่อเหลา เกิดในครอบครัวแม่ทัพ ดังนั้นจึงพากันเริ่มให้ความสนใจเขา
ฝีมือการต่อสู้แข็งแกร่งเสมอต้นเสมอปลาย มู่หรงฉือมองอย่างสนุกสนาน หากตนกับหวังเจิงต่อสู้กัน ก็คงจะตัดสินยากจริงๆ
บุรุษข้างกายกลับดูเกียจคร้าน ราวกับเขารู้สึกว่าการแข่งนี้เป็เพียงการเตะต่อยของเด็กน้อย ไม่มีค่าพอให้ดู
นางจับตามองเขา ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเสด็จพ่อถึงได้สั่งให้เขามาควบคุม เสด็จพ่อไม่วางใจนางถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ส่วนน้องสาวที่อยู่อีกด้านหนึ่งเห็นคนอื่นๆ เป็คนโปร่งแสงไปแล้วเรียบร้อย ในสายตาของนางมีแค่อวี้หวางเท่านั้น
มู่หรงฉือดึงแขนเสื้อกว้างของนาง พูดเสียงเบา “ระวังหน่อย”
มู่หรงฉางเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะเบนสายตาหวานล้ำออกมาด้วยใบหน้าแดงแจ๋
ตอนนี้เองที่การแข่งขันในลานดุเดือดจนมองเห็นประตูแห่งความตาย อันตรายยิ่งนัก กระบี่ยาวแหลมคมสาดแสงสีเงินร่ายรำอยู่กลางอากาศที่เต็มไปด้วยหมอกควัน ทั้งสามคนโจมตีกันอย่างใจเย็น
บรรยากาศดุดันแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีศูนย์กลางจากพวกเขาสามคน
ทันใดนั้นเอง กงจวิ้นหาวไม่รู้ว่าเป็อะไร เขาเผยช่องโหว่ครั้งใหญ่ การกระทำเช่นนี้เป็สิ่งที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง สำหรับคู่ต่อสู้แล้วย่อมเป็ผลดีมาก หวังเจิงราวกับเคลือบแคลงสงสัยแต่ก็ยังสะบัดปราณกระบี่ออกไป ใช้กระบวนท่าัดำดิ่งหุบเหวปล่อยลำแสงสีเขียวออกมา
แสงดาบสีเงินตวัดวาบ เย็นเยียบราวกับหิมะ ทำเอาใจคนหวาดกลัว
กงจวิ้นหาวเหินทะยานหลบหลีกเป็วงกลม ในขณะเดียวกันถังฉางเทียนก็พุ่งตัวมาจากด้านข้าง หลบหลีกกระบี่แหลมคมก่อนจะแทงกระบี่เข้าไปทางหวังเจิง
ในชั่วพริบตานั้น ทุกคนต่างหยุดหายใจ จ้องมองภาพนั้นตาไม่กระพริบกลัวว่าจะพลาดจุดที่สนุกที่สุด อันตรายที่สุดไป
เนื่องจากทั้งสามเป็คนจากตระกูลยอดฝีมือ ในชั่วพริบตาแห่งความเป็ความตาย การเปลี่ยนแปลงมากมายอยู่ห่างเพียงแค่เส้นหนึ่งกั้น อีกอย่างการเคลื่อนไหวของถังฉางเทียนก็รวดเร็วมาก ทำเอาคนไม่ทันป้องกัน หวังเจิงตอนนี้จึงตกอยู่ในอันตราย
หากหวังเจิงหลบไม่ทัน หรือโจมตีถังฉางเทียนให้ถอยไปไม่ได้ เช่นนั้นก็จะแพ้ แล้วถูกตัดสิทธิ์ไป
มู่หรงฉือรู้นานแล้วว่าก่อนหน้านี้ที่กงจวิ้นหาวเปิดช่องโหว่นั้นเป็สิ่งที่เขาจงใจ เป็แผนล่อศัตรู ถึงแม้หวังเจิงจะเคลือบแคลงสงสัย แต่ก็ไม่ยอมสละโอกาสอันดีนี้ แม้เขาอยากจะหลบการโจมตีที่ร้ายแรงถึงชีวิตของถังฉางเทียน แต่ก็ยากยิ่งนัก
ทว่า ยอดฝีมือก็คือยอดฝีมือ ยอดฝีมือมักจะสร้างปาฏิหาริย์เสมอ
หวังเจิงยกกระบี่ขึ้นบัง ส่วนตัวถอยหลังออกไปเป็เส้นตรง
ทุกคนพร้อมใจกันถอนหายใจเฮือกใหญ่ หัวใจที่กังวลถึงชีวิตของหวังเจิงในที่สุดก็กลับมาที่เดิม
ถังฉางเทียนไม่ได้ตามโจมตีต่อ เพราะว่ากงจวิ้นหาวที่อยู่ข้างๆ ได้เข้าไปใกล้หวังเจิงอย่างเงียบเชียบ
แสงสว่างเย็นเยียบราวกับหิมะ!
แควก!
ปลายกระบี่แหลมบาดเข้าที่แขนของหวังเจิงจนเสื้อขาด เืไหลออกมาเป็ทางน่าใ
เช่นนั้น หวังเจิงก็จะแพ้ที่ตรงนี้แล้ว
ทว่า ในตอนที่ทุกคนคิดว่าเขาไม่มีวาสนาที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ เขากลับใช้ท่าทางแปลกๆ ส่งสายฟ้าเข้าไปใกล้อีกสองคน กระบี่ยาวร่ายรำ ปราณกระบี่ประหนึ่งสายรุ้ง ในชั่วพริบตา กงจวิ้นหาวกลับลอยออกไปก่อนจะตกกระแทกกับพื้นอย่างแรง
จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ ปฏิกิริยาตอบโต้ของหวังเจิงรวดเร็วปานเทพขนาดนั้น แค่เพียงพริบตาเดียวก็ชนะได้
“ดี! ดี!”
ทั้งสองฝั่งของคนดูกระหน่ำไปด้วยเสียงกู่ร้องกับเสียงปรบมือดังสนั่น
เสียงกลองดังขึ้นเป็สัญญาณว่าการทดสอบได้จบสิ้นลง เหอกวงประกาศให้หวังเจิงเป็ผู้ชนะ แล้วเข้าสู่การทดสอบสุดท้ายในวันพรุ่งนี้
หวังเจิงรับสายตาชื่นชม ความใ และความนับถือจากของผู้คนมากมาย ก่อนจะทำมือคำนับพร้อมส่งรอยยิ้มเขินอายให้กับทุกคน แต่จู่ๆ เขาก็กระอักเืสดๆ ออกมา ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะแข็งทื่อ
หยดเืแดงฉานกระจายออกไปทั่ว เกิดเป็เส้นโค้งงดงาม
ต่อมาก็กลายเป็ะเิโลหิตสาดกระจายแล้วร่างทั้งร่างก็ล้มลงไป
เล่มที่ 3 ตอนที่ 62 การต่อสู้ดุเดือด
แคว้นเป่ยเยี่ยนให้ความสำคัญกับบุ๋นและบู๊เท่าๆ กัน หากมีความสามารถด้านบุ๋นและบู๊ย่อมสามารถเข้าสอบเป็ขุนนางเพื่อได้รับเกียรติยศความร่ำรวย เป็เส้นทางสู่ชื่อเสียงและผลประโยชน์
ในสามสิบห้าคนนี้ ครึ่งหนึ่งมีวิชาการต่อสู้ไม่ธรรมดา การแข่งขันดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งสนุกขึ้นเรื่อยๆ
ดาบกระบี่ไร้ตา ระหว่างการแข่งขันจึงยากจะหลีกเลี่ยงการได้รับาเ็ ดังนั้นก่อนจะเริ่มการแข่งขันจึงมีการประกาศกฎออกมาว่า : โปรดระวัง ห้ามใช้กำลังภายในโดยเด็ดขาด
หากมีคนได้รับาเ็ ขอเพียงไม่าเ็จนถึงอวัยวะภายในก็จะไม่สืบสาวเอาความ
เสียงกระบี่ยาวดังกระทบกัน ประกายแสงสะท้อนราวหิมะ ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวจึงเพิ่มไอเย็นขึ้นมาอีกหลายส่วน
สามคนมะรุมมะตุ้มต่อสู้กัน หาก้าเป็ผู้ชนะก็ต้องเอาชนะอีกสองคนให้ได้
ดังนั้นจึงมีหลายกลุ่มที่คนฝีมืออ่อนสองคนร่วมมือกันกำจัดคนที่แข็งแกร่งออกก่อน ทว่าแม้จะคิดคำนวนมาดีมากเพียงใดก็ยังต้องดูกันที่ความสามารถอยู่ดี
ในตอนนี้เอง ด้านหน้ามีเสียงประกาศของขันทีขึ้น “องค์หญิงจาวฮวาเสด็จ!”
ในใจของมู่หรงฉือไม่พอใจ มาช้าขนาดนี้ไม่มาตอนการแข่งขันเสร็จสิ้นเสียเลยเล่า?
การแข่งขันต่อสู้ทั้งสองรอบเสด็จพ่อรับสั่งให้องค์หญิงจาวฮวามาที่ลานแข่งด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมให้เหล่าบุรุษฮึกเหิมในการต่อสู้
ในลานเพิ่งจะแข่งเสร็จไปหนึ่งกลุ่ม นอกจากมู่หรงอวี้กับมู่หรงฉือแล้ว ทุกคนต่างโค้งคำนับต้อนรับองค์หญิงจาวฮวา
เกี้ยวถูกวางลงกับพื้น สตรีในชุดองค์หญิงสะกดสายตาผู้คนค่อยๆ เยื้องย่างลงมา
มือเรียวยาวสวยราวแกะสลักโดยเทพเซียนค่อยๆ วางลงที่ข้อมือของหยวนซิ่วนางกำนัลหญิงข้างกาย ดึงดูดสายตาผู้คนมากมาย
เสื้อคอจีนสีเหลืองอ่อนตัวบนปักด้วยดิ้นเงินลายดอกเฉียงเวย ตัวล่างเป็กระโปรงสีเดียวกันปักลายดอกเฉียงเวยเลื้อยพัน คลุมด้วยผ้าสีขาวบางเบาดูแล้วสง่างาม สดชื่น บ่าเล็กมน เอวคอดกิ่วราวกับถูกมัดไว้ ใบหน้างดงามบอบบาง ดูอ่อนนุ่มราวกับสายน้ำ เป็ความงดงามอันสูงศักดิ์ไม่สามัญ บวกกับท่าทางที่แสดงออกมาอย่างสง่างามเหนือผู้คน
สีเหลืองอ่อนนั้นทำให้นางดูอ้อนแอ่นนุ่มนิ่ม เรือนร่างสูงเพรียว ดวงหน้าแต่งออกมาอย่างงดงาม สวยสะกดจนคนไม่กล้ามองตรงๆ
ชายหนุ่มที่เข้าแข่งขันเ่าั้ต่างพากันมองจนตาค้าง น้ำลายแทบจะไหลออกมา การได้เห็นองค์หญิงจาวฮวาผู้เป็ธิดารักของฮ่องเต้ ทั้งยังมีความงามล้ำใกล้ๆ เช่นนี้ ก็เหมือนเป็การฉีดความกล้าให้กับพวกเขา ยิ่งทำให้พวกเขามีพลังต่อสู้เต็มเปี่ยม ความมั่นใจเต็มร้อย
เหล่าบุตรีตระกูลใหญ่พากันก้มหน้าลง ละอายต่อความงาม เรือนร่าง และความสูงศักดิ์ของนางที่ตนมิอาจสู้ได้ แต่ละคนเจ็บใจจนแทบจะกระอักเื
บรรดาสตรีที่อยากอวี้หวางสุดท้ายก็ต้องดึงสายตากลับมา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคนเอาไปเปรียบเทียบกับองค์หญิงจาวฮวา
ข้างกายของมู่หรงฉือมีเก้าอี้หนึ่งตัว เป็ที่นั่งสำหรับองค์หญิงจาวฮวานั่นเอง
มู่หรงฉางในตอนนี้กำลังถูกขันทีนำทางมายังที่นั่ง ระหว่างทางที่เดินมาสายตาก็หยุดลงที่ใบหน้าไม่ยี่หระของมู่หรงอวี้
หากเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ นางไม่มีทางมาดูการแข่งขันอันน่าเบื่อนี้หรอก
“เสด็จพี่ ตรงนี้น้องมองเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ น้องอยากจะไปนั่งตรงนั้นได้หรือไม่เพคะ?
นางถามความเห็นของพี่ชายเสียงอ่อนโยน ความจริงแล้วนางอยากจะสั่งให้ขันทีเอาเก้าอี้ไปวางข้างมู่หรงอวี้เสียประเดี๋ยวนั้น จะได้นั่งอยู่ใกล้เขา ได้พูดคุยใกล้ชิดกับเขา ยิ่งสามารถมองเขาได้บ่อยๆ
มู่หรงฉือมีหรือจะไม่เข้าใจความคิดของน้องสาวคนนี้?
ตอนที่นางกำลังจะเอ่ยปากกลับได้ยินเสียงเ็าดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน “เปิ่นหวางไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมเครื่องสำอาง ดมมากแล้วเวียนหัว”
พูดจาไร้สาระ!
ก่อนหน้านี้เหตุใดนางถึงไม่เคยได้ยิน ไม่เคยเห็นเขารังเกียจกลิ่นน้ำหอมเครื่องสำอางมาก่อนเล่า?
ได้ยินประโยคนี้แล้ว มู่หรงฉางพลันกัดริมฝีปากล่างสีชมพูของตัวเองอย่างเขินอาย ดวงหน้าเล็กที่แต่งมาอย่างงดงามพลันแดงก่ำ ก่อนจะเปลี่ยนเป็สีเขียวแล้วกลายเป็ขาวซีด สุดท้ายก็เปลี่ยนมาเป็สีดำของตับหมู
มู่หรงฉือมองนางด้วยความเอ็นดู ถึงตนมีใจอยากจะช่วยนาง แต่ก็ทำอะไรกับบุรุษที่ใจแข็งดั่งเหล็กนั้นไม่ได้ อ๊ากกกก
“เสด็จพี่ ไม่เป็ไรเพคะ น้องนั่งตรงนี้ก็ได้”
มู่หรงฉางเลื่อนสายตาออกแล้วหัวเราะเบาๆ ตอนที่นั่งลงก็มองไปทางคนที่อยู่ในใจด้วยความกังวลเสียใจ ก่อนจะรีบตั้งสติ
เห็นเหล่าบุรุษมองมายังน้องสาวด้วยความรักใคร่หลงใหล แต่ครั้นคิดถึงอวี้หวางผู้มีบารมีล้นเหลือแล้วก็ให้ปวดใจจริงๆ
มู่หรงฉือคิดไป การแข่งขันก็ดำเนินต่อไป
สี่ตระกูลใหญ่ สกุลกง สกุลหยาง สกุลถัง สกุลหรง คนในตระกูลที่ยังเป็ชายหนุ่มไม่ได้มาเข้าร่วมเพียงแค่คนเดียว มีหลายคนที่เอาชนะจนเข้ารอบการแข่งขันรอบสุดท้ายไปได้ในวันพรุ่งนี้
ด้านล่างบันไดหยกมีคนใช้กระบี่ยาวต่อสู้กันจะเป็จะตาย ส่วนตรงหน้าของมู่หรงฉือกลับมีสายตาที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำอันนุ่มนวลไล่ผ่านปลายจมูกของนาง
นางถอนหายใจหลายที น้องสาว เคารพตัวเองหน่อย
จาวฮวามีหรือจะสนใจการต่อสู้? นางกำลังชื่นชมความหล่อเหลาของบุรุษอยู่ต่างหาก
การแข่งขันดำเนินมาจนถึงกลุ่มสุดท้าย หวังเจิง กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียน
หากพูดกันจากความสามารถด้านการต่อสู้ ความสามารถในการรบ แน่นอนว่าหวังเจิงนั้นแข็งแกร่งที่สุด แต่ว่าฝีมือการต่อสู้ของกงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนเองก็ไม่ธรรมดา
ที่ทำให้คนประหลาดใจก็คือ ถังฉางเทียนคือบุตรอนุจากครอบครัวชิ่งกั๋วกงสกุลถัง ไม่ค่อยมีชื่อเสียงนัก เขาเป็คนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ปกติมักจะแสดงสีหน้านิ่งเฉยราวน้ำแข็ง ดูเป็คนธรรมดาไม่มีความสามารถ แม้แต่บิดาที่เป็ใต้เท้าถังของจวนชิ่งกั๋วกงก็ไม่ได้ตั้งความหวังอะไรกับบุตรที่เกิดจากอนุผู้นี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าวิทยายุทธ์ของเขาจะไม่ธรรมดา แต่ละกระบวนท่ารุนแรง ร่วมมือกับกงจวิ้นหาวจัดการให้หวังเจิงค่อยๆ ถอยร่นไป
การแข่งขันสิบสองกลุ่ม กลุ่มนี้จัดว่าเป็กลุ่มที่น่าสนใจที่สุด
คนดูทั้งสองฝั่งส่งเสียงโห่ร้องเป่าปากออกมาอยู่ตลอด กระทั่งบรรดาสตรีที่หันไปมองอวี้หวางอยู่บ่อยๆ ก็ถูกการต่อสู้กลุ่มนี้ดึงความสนใจไป มองการแข่งขันที่เดาไม่ออกว่าใครจะชนะตาไม่กะพริบ
กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนมองตากัน ทันใดนั้นก็พุ่งตัวออกไป กระบี่ในมือแทงไปยังศัตรูฝั่งตรงข้าม
การโจมตีนี้เป็การใช้กำลังของพวกเขาทั้งหมด
หนึ่งกระบวนท่าคือหนึ่งสุริยะจันทราไร้แสง อีกกระบวนท่าคือสายน้ำซัดสาด เมื่อใช้กระบวนท่าพร้อมกันทำให้เกิดเป็ลมแรง
เสียงลมหวีดหวิวอยู่ในลาน ความหวาดกลัวพุ่งขึ้นสูงอยู่ในใจทุกคน ราวกับรู้สึกได้ว่าลมพัดรุนแรงราวกับพายุระดับสิบสองนั้นจะโหมกระหน่ำไปยังหวังเจิง
หวังเจิงรู้สึกแค่ว่ามีสายลมรุนแรงพุ่งเข้ามา ดวงตาทั้งสองข้างปรากฏความดุดันเ็า
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมีฝีมือฉกาจ เขาจึงใช้กระบวนท่าขโมยฟ้าเปลี่ยนตะวัน ยิงสายฟ้าออกไปโจมตีคู่ต่อสู้
อีกฝ่ายไม่หลบหลีก กลับกันยังพุ่งตรงเข้ามาอีก ความกล้าหาญนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีได้
“กรี๊ดดดด”
สตรีคนหนึ่งตื่นเต้นกังวลจนเกินไปถึงกับกรีดร้องออกมา
คู่ต่อสู้ตรงหน้าส่งสายฟ้ามา กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนเดิมไม่คิดว่าเขาจะหลบหลีกได้ จึงเตรียมตัวจะออกกระบวนท่าต่อไปเพื่อตัดสินแพ้ชนะกับเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ กระทั่งทำลายแผนของพวกเขาเสียแล้ว
ทันใดนั้น พวกเขาเห็นหวังเจิงที่พุ่งเข้ามาตรงหน้าจู่ๆ ก็หายวับไป จึงอดหวาดระแวงไม่ได้ ร่างทั้งร่างเย็นเฉียบ
พวกเขาต่างเป็ยอดฝีมือจึงสามารถรับรู้ได้ถึงภัยอันตรายที่ย่างกรายเข้ามา
หวังเจิงหลบซ้ายหลีกขวา ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน นี่ก็คือขโมยฟ้าเปลี่ยนตะวัน
ในตอนที่กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนรู้สึกตัว แสงสีเงินก็ฟาดลงมา หวังเจิงใช้กระบวนท่ากุ้งัออกทะเล ปราณกระบี่รุนแรง ก่อนจะมีน้ำพุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม
พวกเขาถอยหนีหลบหลีกการโจมตีอย่างทุลักทุเล
สองคนกัดฟันแน่น ลอบจ้องตากันก่อนจะร่วมมือกันโจมตีกลับไป
ทุกคนเห็นภาพนี้ก็ใไปตามๆ กัน เสียงปรบมือดังสนั่น นี่สิถึงจะเป็การทดสอบที่แท้จริง
ทั้งสามคนประหัตปะากันอยู่อีกครู่หนึ่ง หวังเจิงเหมือนไม่ยินดีที่จะสู้กันต่อไปเช่นนี้ จึงออกกระบวนท่าอันรุนแรงออกมาติดต่อกัน คู่ต่อสู้ทั้งสองคนถูกบีบให้หนีซุกหัวซุน
แพ้ชนะยังไม่ถูกตัดสิน เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นมาติดๆ กัน บรรดาสตรีที่ชื่นชอบวีรบุรุษผู้กล้าต่างมีใจให้กับหวังเจิง อีกทั้งหวังเจิงหน้าตาหล่อเหลา เกิดในครอบครัวแม่ทัพ ดังนั้นจึงพากันเริ่มให้ความสนใจเขา
ฝีมือการต่อสู้แข็งแกร่งเสมอต้นเสมอปลาย มู่หรงฉือมองอย่างสนุกสนาน หากตนกับหวังเจิงต่อสู้กัน ก็คงจะตัดสินยากจริงๆ
บุรุษข้างกายกลับดูเกียจคร้าน ราวกับเขารู้สึกว่าการแข่งนี้เป็เพียงการเตะต่อยของเด็กน้อย ไม่มีค่าพอให้ดู
นางจับตามองเขา ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเสด็จพ่อถึงได้สั่งให้เขามาควบคุม เสด็จพ่อไม่วางใจนางถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ส่วนน้องสาวที่อยู่อีกด้านหนึ่งเห็นคนอื่นๆ เป็คนโปร่งแสงไปแล้วเรียบร้อย ในสายตาของนางมีแค่อวี้หวางเท่านั้น
มู่หรงฉือดึงแขนเสื้อกว้างของนาง พูดเสียงเบา “ระวังหน่อย”
มู่หรงฉางเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะเบนสายตาหวานล้ำออกมาด้วยใบหน้าแดงแจ๋
ตอนนี้เองที่การแข่งขันในลานดุเดือดจนมองเห็นประตูแห่งความตาย อันตรายยิ่งนัก กระบี่ยาวแหลมคมสาดแสงสีเงินร่ายรำอยู่กลางอากาศที่เต็มไปด้วยหมอกควัน ทั้งสามคนโจมตีกันอย่างใจเย็น
บรรยากาศดุดันแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีศูนย์กลางจากพวกเขาสามคน
ทันใดนั้นเอง กงจวิ้นหาวไม่รู้ว่าเป็อะไร เขาเผยช่องโหว่ครั้งใหญ่ การกระทำเช่นนี้เป็สิ่งที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง สำหรับคู่ต่อสู้แล้วย่อมเป็ผลดีมาก หวังเจิงราวกับเคลือบแคลงสงสัยแต่ก็ยังสะบัดปราณกระบี่ออกไป ใช้กระบวนท่าัดำดิ่งหุบเหวปล่อยลำแสงสีเขียวออกมา
แสงดาบสีเงินตวัดวาบ เย็นเยียบราวกับหิมะ ทำเอาใจคนหวาดกลัว
กงจวิ้นหาวเหินทะยานหลบหลีกเป็วงกลม ในขณะเดียวกันถังฉางเทียนก็พุ่งตัวมาจากด้านข้าง หลบหลีกกระบี่แหลมคมก่อนจะแทงกระบี่เข้าไปทางหวังเจิง
ในชั่วพริบตานั้น ทุกคนต่างหยุดหายใจ จ้องมองภาพนั้นตาไม่กระพริบกลัวว่าจะพลาดจุดที่สนุกที่สุด อันตรายที่สุดไป
เนื่องจากทั้งสามเป็คนจากตระกูลยอดฝีมือ ในชั่วพริบตาแห่งความเป็ความตาย การเปลี่ยนแปลงมากมายอยู่ห่างเพียงแค่เส้นหนึ่งกั้น อีกอย่างการเคลื่อนไหวของถังฉางเทียนก็รวดเร็วมาก ทำเอาคนไม่ทันป้องกัน หวังเจิงตอนนี้จึงตกอยู่ในอันตราย
หากหวังเจิงหลบไม่ทัน หรือโจมตีถังฉางเทียนให้ถอยไปไม่ได้ เช่นนั้นก็จะแพ้ แล้วถูกตัดสิทธิ์ไป
มู่หรงฉือรู้นานแล้วว่าก่อนหน้านี้ที่กงจวิ้นหาวเปิดช่องโหว่นั้นเป็สิ่งที่เขาจงใจ เป็แผนล่อศัตรู ถึงแม้หวังเจิงจะเคลือบแคลงสงสัย แต่ก็ไม่ยอมสละโอกาสอันดีนี้ แม้เขาอยากจะหลบการโจมตีที่ร้ายแรงถึงชีวิตของถังฉางเทียน แต่ก็ยากยิ่งนัก
ทว่า ยอดฝีมือก็คือยอดฝีมือ ยอดฝีมือมักจะสร้างปาฏิหาริย์เสมอ
หวังเจิงยกกระบี่ขึ้นบัง ส่วนตัวถอยหลังออกไปเป็เส้นตรง
ทุกคนพร้อมใจกันถอนหายใจเฮือกใหญ่ หัวใจที่กังวลถึงชีวิตของหวังเจิงในที่สุดก็กลับมาที่เดิม
ถังฉางเทียนไม่ได้ตามโจมตีต่อ เพราะว่ากงจวิ้นหาวที่อยู่ข้างๆ ได้เข้าไปใกล้หวังเจิงอย่างเงียบเชียบ
แสงสว่างเย็นเยียบราวกับหิมะ!
แควก!
ปลายกระบี่แหลมบาดเข้าที่แขนของหวังเจิงจนเสื้อขาด เืไหลออกมาเป็ทางน่าใ
เช่นนั้น หวังเจิงก็จะแพ้ที่ตรงนี้แล้ว
ทว่า ในตอนที่ทุกคนคิดว่าเขาไม่มีวาสนาที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ เขากลับใช้ท่าทางแปลกๆ ส่งสายฟ้าเข้าไปใกล้อีกสองคน กระบี่ยาวร่ายรำ ปราณกระบี่ประหนึ่งสายรุ้ง ในชั่วพริบตา กงจวิ้นหาวกลับลอยออกไปก่อนจะตกกระแทกกับพื้นอย่างแรง
จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ ปฏิกิริยาตอบโต้ของหวังเจิงรวดเร็วปานเทพขนาดนั้น แค่เพียงพริบตาเดียวก็ชนะได้
“ดี! ดี!”
ทั้งสองฝั่งของคนดูกระหน่ำไปด้วยเสียงกู่ร้องกับเสียงปรบมือดังสนั่น
เสียงกลองดังขึ้นเป็สัญญาณว่าการทดสอบได้จบสิ้นลง เหอกวงประกาศให้หวังเจิงเป็ผู้ชนะ แล้วเข้าสู่การทดสอบสุดท้ายในวันพรุ่งนี้
หวังเจิงรับสายตาชื่นชม ความใ และความนับถือจากของผู้คนมากมาย ก่อนจะทำมือคำนับพร้อมส่งรอยยิ้มเขินอายให้กับทุกคน แต่จู่ๆ เขาก็กระอักเืสดๆ ออกมา ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะแข็งทื่อ
หยดเืแดงฉานกระจายออกไปทั่ว เกิดเป็เส้นโค้งงดงาม
ต่อมาก็กลายเป็ะเิโลหิตสาดกระจายแล้วร่างทั้งร่างก็ล้มลงไป
เล่มที่ 3 ตอนที่ 62 การต่อสู้ดุเดือด
แคว้นเป่ยเยี่ยนให้ความสำคัญกับบุ๋นและบู๊เท่าๆ กัน หากมีความสามารถด้านบุ๋นและบู๊ย่อมสามารถเข้าสอบเป็ขุนนางเพื่อได้รับเกียรติยศความร่ำรวย เป็เส้นทางสู่ชื่อเสียงและผลประโยชน์
ในสามสิบห้าคนนี้ ครึ่งหนึ่งมีวิชาการต่อสู้ไม่ธรรมดา การแข่งขันดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งสนุกขึ้นเรื่อยๆ
ดาบกระบี่ไร้ตา ระหว่างการแข่งขันจึงยากจะหลีกเลี่ยงการได้รับาเ็ ดังนั้นก่อนจะเริ่มการแข่งขันจึงมีการประกาศกฎออกมาว่า : โปรดระวัง ห้ามใช้กำลังภายในโดยเด็ดขาด
หากมีคนได้รับาเ็ ขอเพียงไม่าเ็จนถึงอวัยวะภายในก็จะไม่สืบสาวเอาความ
เสียงกระบี่ยาวดังกระทบกัน ประกายแสงสะท้อนราวหิมะ ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวจึงเพิ่มไอเย็นขึ้นมาอีกหลายส่วน
สามคนมะรุมมะตุ้มต่อสู้กัน หาก้าเป็ผู้ชนะก็ต้องเอาชนะอีกสองคนให้ได้
ดังนั้นจึงมีหลายกลุ่มที่คนฝีมืออ่อนสองคนร่วมมือกันกำจัดคนที่แข็งแกร่งออกก่อน ทว่าแม้จะคิดคำนวนมาดีมากเพียงใดก็ยังต้องดูกันที่ความสามารถอยู่ดี
ในตอนนี้เอง ด้านหน้ามีเสียงประกาศของขันทีขึ้น “องค์หญิงจาวฮวาเสด็จ!”
ในใจของมู่หรงฉือไม่พอใจ มาช้าขนาดนี้ไม่มาตอนการแข่งขันเสร็จสิ้นเสียเลยเล่า?
การแข่งขันต่อสู้ทั้งสองรอบเสด็จพ่อรับสั่งให้องค์หญิงจาวฮวามาที่ลานแข่งด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมให้เหล่าบุรุษฮึกเหิมในการต่อสู้
ในลานเพิ่งจะแข่งเสร็จไปหนึ่งกลุ่ม นอกจากมู่หรงอวี้กับมู่หรงฉือแล้ว ทุกคนต่างโค้งคำนับต้อนรับองค์หญิงจาวฮวา
เกี้ยวถูกวางลงกับพื้น สตรีในชุดองค์หญิงสะกดสายตาผู้คนค่อยๆ เยื้องย่างลงมา
มือเรียวยาวสวยราวแกะสลักโดยเทพเซียนค่อยๆ วางลงที่ข้อมือของหยวนซิ่วนางกำนัลหญิงข้างกาย ดึงดูดสายตาผู้คนมากมาย
เสื้อคอจีนสีเหลืองอ่อนตัวบนปักด้วยดิ้นเงินลายดอกเฉียงเวย ตัวล่างเป็กระโปรงสีเดียวกันปักลายดอกเฉียงเวยเลื้อยพัน คลุมด้วยผ้าสีขาวบางเบาดูแล้วสง่างาม สดชื่น บ่าเล็กมน เอวคอดกิ่วราวกับถูกมัดไว้ ใบหน้างดงามบอบบาง ดูอ่อนนุ่มราวกับสายน้ำ เป็ความงดงามอันสูงศักดิ์ไม่สามัญ บวกกับท่าทางที่แสดงออกมาอย่างสง่างามเหนือผู้คน
สีเหลืองอ่อนนั้นทำให้นางดูอ้อนแอ่นนุ่มนิ่ม เรือนร่างสูงเพรียว ดวงหน้าแต่งออกมาอย่างงดงาม สวยสะกดจนคนไม่กล้ามองตรงๆ
ชายหนุ่มที่เข้าแข่งขันเ่าั้ต่างพากันมองจนตาค้าง น้ำลายแทบจะไหลออกมา การได้เห็นองค์หญิงจาวฮวาผู้เป็ธิดารักของฮ่องเต้ ทั้งยังมีความงามล้ำใกล้ๆ เช่นนี้ ก็เหมือนเป็การฉีดความกล้าให้กับพวกเขา ยิ่งทำให้พวกเขามีพลังต่อสู้เต็มเปี่ยม ความมั่นใจเต็มร้อย
เหล่าบุตรีตระกูลใหญ่พากันก้มหน้าลง ละอายต่อความงาม เรือนร่าง และความสูงศักดิ์ของนางที่ตนมิอาจสู้ได้ แต่ละคนเจ็บใจจนแทบจะกระอักเื
บรรดาสตรีที่อยากอวี้หวางสุดท้ายก็ต้องดึงสายตากลับมา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคนเอาไปเปรียบเทียบกับองค์หญิงจาวฮวา
ข้างกายของมู่หรงฉือมีเก้าอี้หนึ่งตัว เป็ที่นั่งสำหรับองค์หญิงจาวฮวานั่นเอง
มู่หรงฉางในตอนนี้กำลังถูกขันทีนำทางมายังที่นั่ง ระหว่างทางที่เดินมาสายตาก็หยุดลงที่ใบหน้าไม่ยี่หระของมู่หรงอวี้
หากเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ นางไม่มีทางมาดูการแข่งขันอันน่าเบื่อนี้หรอก
“เสด็จพี่ ตรงนี้น้องมองเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ น้องอยากจะไปนั่งตรงนั้นได้หรือไม่เพคะ?
นางถามความเห็นของพี่ชายเสียงอ่อนโยน ความจริงแล้วนางอยากจะสั่งให้ขันทีเอาเก้าอี้ไปวางข้างมู่หรงอวี้เสียประเดี๋ยวนั้น จะได้นั่งอยู่ใกล้เขา ได้พูดคุยใกล้ชิดกับเขา ยิ่งสามารถมองเขาได้บ่อยๆ
มู่หรงฉือมีหรือจะไม่เข้าใจความคิดของน้องสาวคนนี้?
ตอนที่นางกำลังจะเอ่ยปากกลับได้ยินเสียงเ็าดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน “เปิ่นหวางไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมเครื่องสำอาง ดมมากแล้วเวียนหัว”
พูดจาไร้สาระ!
ก่อนหน้านี้เหตุใดนางถึงไม่เคยได้ยิน ไม่เคยเห็นเขารังเกียจกลิ่นน้ำหอมเครื่องสำอางมาก่อนเล่า?
ได้ยินประโยคนี้แล้ว มู่หรงฉางพลันกัดริมฝีปากล่างสีชมพูของตัวเองอย่างเขินอาย ดวงหน้าเล็กที่แต่งมาอย่างงดงามพลันแดงก่ำ ก่อนจะเปลี่ยนเป็สีเขียวแล้วกลายเป็ขาวซีด สุดท้ายก็เปลี่ยนมาเป็สีดำของตับหมู
มู่หรงฉือมองนางด้วยความเอ็นดู ถึงตนมีใจอยากจะช่วยนาง แต่ก็ทำอะไรกับบุรุษที่ใจแข็งดั่งเหล็กนั้นไม่ได้ อ๊ากกกก
“เสด็จพี่ ไม่เป็ไรเพคะ น้องนั่งตรงนี้ก็ได้”
มู่หรงฉางเลื่อนสายตาออกแล้วหัวเราะเบาๆ ตอนที่นั่งลงก็มองไปทางคนที่อยู่ในใจด้วยความกังวลเสียใจ ก่อนจะรีบตั้งสติ
เห็นเหล่าบุรุษมองมายังน้องสาวด้วยความรักใคร่หลงใหล แต่ครั้นคิดถึงอวี้หวางผู้มีบารมีล้นเหลือแล้วก็ให้ปวดใจจริงๆ
มู่หรงฉือคิดไป การแข่งขันก็ดำเนินต่อไป
สี่ตระกูลใหญ่ สกุลกง สกุลหยาง สกุลถัง สกุลหรง คนในตระกูลที่ยังเป็ชายหนุ่มไม่ได้มาเข้าร่วมเพียงแค่คนเดียว มีหลายคนที่เอาชนะจนเข้ารอบการแข่งขันรอบสุดท้ายไปได้ในวันพรุ่งนี้
ด้านล่างบันไดหยกมีคนใช้กระบี่ยาวต่อสู้กันจะเป็จะตาย ส่วนตรงหน้าของมู่หรงฉือกลับมีสายตาที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำอันนุ่มนวลไล่ผ่านปลายจมูกของนาง
นางถอนหายใจหลายที น้องสาว เคารพตัวเองหน่อย
จาวฮวามีหรือจะสนใจการต่อสู้? นางกำลังชื่นชมความหล่อเหลาของบุรุษอยู่ต่างหาก
การแข่งขันดำเนินมาจนถึงกลุ่มสุดท้าย หวังเจิง กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียน
หากพูดกันจากความสามารถด้านการต่อสู้ ความสามารถในการรบ แน่นอนว่าหวังเจิงนั้นแข็งแกร่งที่สุด แต่ว่าฝีมือการต่อสู้ของกงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนเองก็ไม่ธรรมดา
ที่ทำให้คนประหลาดใจก็คือ ถังฉางเทียนคือบุตรอนุจากครอบครัวชิ่งกั๋วกงสกุลถัง ไม่ค่อยมีชื่อเสียงนัก เขาเป็คนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ปกติมักจะแสดงสีหน้านิ่งเฉยราวน้ำแข็ง ดูเป็คนธรรมดาไม่มีความสามารถ แม้แต่บิดาที่เป็ใต้เท้าถังของจวนชิ่งกั๋วกงก็ไม่ได้ตั้งความหวังอะไรกับบุตรที่เกิดจากอนุผู้นี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าวิทยายุทธ์ของเขาจะไม่ธรรมดา แต่ละกระบวนท่ารุนแรง ร่วมมือกับกงจวิ้นหาวจัดการให้หวังเจิงค่อยๆ ถอยร่นไป
การแข่งขันสิบสองกลุ่ม กลุ่มนี้จัดว่าเป็กลุ่มที่น่าสนใจที่สุด
คนดูทั้งสองฝั่งส่งเสียงโห่ร้องเป่าปากออกมาอยู่ตลอด กระทั่งบรรดาสตรีที่หันไปมองอวี้หวางอยู่บ่อยๆ ก็ถูกการต่อสู้กลุ่มนี้ดึงความสนใจไป มองการแข่งขันที่เดาไม่ออกว่าใครจะชนะตาไม่กะพริบ
กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนมองตากัน ทันใดนั้นก็พุ่งตัวออกไป กระบี่ในมือแทงไปยังศัตรูฝั่งตรงข้าม
การโจมตีนี้เป็การใช้กำลังของพวกเขาทั้งหมด
หนึ่งกระบวนท่าคือหนึ่งสุริยะจันทราไร้แสง อีกกระบวนท่าคือสายน้ำซัดสาด เมื่อใช้กระบวนท่าพร้อมกันทำให้เกิดเป็ลมแรง
เสียงลมหวีดหวิวอยู่ในลาน ความหวาดกลัวพุ่งขึ้นสูงอยู่ในใจทุกคน ราวกับรู้สึกได้ว่าลมพัดรุนแรงราวกับพายุระดับสิบสองนั้นจะโหมกระหน่ำไปยังหวังเจิง
หวังเจิงรู้สึกแค่ว่ามีสายลมรุนแรงพุ่งเข้ามา ดวงตาทั้งสองข้างปรากฏความดุดันเ็า
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมีฝีมือฉกาจ เขาจึงใช้กระบวนท่าขโมยฟ้าเปลี่ยนตะวัน ยิงสายฟ้าออกไปโจมตีคู่ต่อสู้
อีกฝ่ายไม่หลบหลีก กลับกันยังพุ่งตรงเข้ามาอีก ความกล้าหาญนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีได้
“กรี๊ดดดด”
สตรีคนหนึ่งตื่นเต้นกังวลจนเกินไปถึงกับกรีดร้องออกมา
คู่ต่อสู้ตรงหน้าส่งสายฟ้ามา กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนเดิมไม่คิดว่าเขาจะหลบหลีกได้ จึงเตรียมตัวจะออกกระบวนท่าต่อไปเพื่อตัดสินแพ้ชนะกับเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ กระทั่งทำลายแผนของพวกเขาเสียแล้ว
ทันใดนั้น พวกเขาเห็นหวังเจิงที่พุ่งเข้ามาตรงหน้าจู่ๆ ก็หายวับไป จึงอดหวาดระแวงไม่ได้ ร่างทั้งร่างเย็นเฉียบ
พวกเขาต่างเป็ยอดฝีมือจึงสามารถรับรู้ได้ถึงภัยอันตรายที่ย่างกรายเข้ามา
หวังเจิงหลบซ้ายหลีกขวา ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน นี่ก็คือขโมยฟ้าเปลี่ยนตะวัน
ในตอนที่กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนรู้สึกตัว แสงสีเงินก็ฟาดลงมา หวังเจิงใช้กระบวนท่ากุ้งัออกทะเล ปราณกระบี่รุนแรง ก่อนจะมีน้ำพุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม
พวกเขาถอยหนีหลบหลีกการโจมตีอย่างทุลักทุเล
สองคนกัดฟันแน่น ลอบจ้องตากันก่อนจะร่วมมือกันโจมตีกลับไป
ทุกคนเห็นภาพนี้ก็ใไปตามๆ กัน เสียงปรบมือดังสนั่น นี่สิถึงจะเป็การทดสอบที่แท้จริง
ทั้งสามคนประหัตปะากันอยู่อีกครู่หนึ่ง หวังเจิงเหมือนไม่ยินดีที่จะสู้กันต่อไปเช่นนี้ จึงออกกระบวนท่าอันรุนแรงออกมาติดต่อกัน คู่ต่อสู้ทั้งสองคนถูกบีบให้หนีซุกหัวซุน
แพ้ชนะยังไม่ถูกตัดสิน เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นมาติดๆ กัน บรรดาสตรีที่ชื่นชอบวีรบุรุษผู้กล้าต่างมีใจให้กับหวังเจิง อีกทั้งหวังเจิงหน้าตาหล่อเหลา เกิดในครอบครัวแม่ทัพ ดังนั้นจึงพากันเริ่มให้ความสนใจเขา
ฝีมือการต่อสู้แข็งแกร่งเสมอต้นเสมอปลาย มู่หรงฉือมองอย่างสนุกสนาน หากตนกับหวังเจิงต่อสู้กัน ก็คงจะตัดสินยากจริงๆ
บุรุษข้างกายกลับดูเกียจคร้าน ราวกับเขารู้สึกว่าการแข่งนี้เป็เพียงการเตะต่อยของเด็กน้อย ไม่มีค่าพอให้ดู
นางจับตามองเขา ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเสด็จพ่อถึงได้สั่งให้เขามาควบคุม เสด็จพ่อไม่วางใจนางถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ส่วนน้องสาวที่อยู่อีกด้านหนึ่งเห็นคนอื่นๆ เป็คนโปร่งแสงไปแล้วเรียบร้อย ในสายตาของนางมีแค่อวี้หวางเท่านั้น
มู่หรงฉือดึงแขนเสื้อกว้างของนาง พูดเสียงเบา “ระวังหน่อย”
มู่หรงฉางเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะเบนสายตาหวานล้ำออกมาด้วยใบหน้าแดงแจ๋
ตอนนี้เองที่การแข่งขันในลานดุเดือดจนมองเห็นประตูแห่งความตาย อันตรายยิ่งนัก กระบี่ยาวแหลมคมสาดแสงสีเงินร่ายรำอยู่กลางอากาศที่เต็มไปด้วยหมอกควัน ทั้งสามคนโจมตีกันอย่างใจเย็น
บรรยากาศดุดันแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีศูนย์กลางจากพวกเขาสามคน
ทันใดนั้นเอง กงจวิ้นหาวไม่รู้ว่าเป็อะไร เขาเผยช่องโหว่ครั้งใหญ่ การกระทำเช่นนี้เป็สิ่งที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง สำหรับคู่ต่อสู้แล้วย่อมเป็ผลดีมาก หวังเจิงราวกับเคลือบแคลงสงสัยแต่ก็ยังสะบัดปราณกระบี่ออกไป ใช้กระบวนท่าัดำดิ่งหุบเหวปล่อยลำแสงสีเขียวออกมา
แสงดาบสีเงินตวัดวาบ เย็นเยียบราวกับหิมะ ทำเอาใจคนหวาดกลัว
กงจวิ้นหาวเหินทะยานหลบหลีกเป็วงกลม ในขณะเดียวกันถังฉางเทียนก็พุ่งตัวมาจากด้านข้าง หลบหลีกกระบี่แหลมคมก่อนจะแทงกระบี่เข้าไปทางหวังเจิง
ในชั่วพริบตานั้น ทุกคนต่างหยุดหายใจ จ้องมองภาพนั้นตาไม่กระพริบกลัวว่าจะพลาดจุดที่สนุกที่สุด อันตรายที่สุดไป
เนื่องจากทั้งสามเป็คนจากตระกูลยอดฝีมือ ในชั่วพริบตาแห่งความเป็ความตาย การเปลี่ยนแปลงมากมายอยู่ห่างเพียงแค่เส้นหนึ่งกั้น อีกอย่างการเคลื่อนไหวของถังฉางเทียนก็รวดเร็วมาก ทำเอาคนไม่ทันป้องกัน หวังเจิงตอนนี้จึงตกอยู่ในอันตราย
หากหวังเจิงหลบไม่ทัน หรือโจมตีถังฉางเทียนให้ถอยไปไม่ได้ เช่นนั้นก็จะแพ้ แล้วถูกตัดสิทธิ์ไป
มู่หรงฉือรู้นานแล้วว่าก่อนหน้านี้ที่กงจวิ้นหาวเปิดช่องโหว่นั้นเป็สิ่งที่เขาจงใจ เป็แผนล่อศัตรู ถึงแม้หวังเจิงจะเคลือบแคลงสงสัย แต่ก็ไม่ยอมสละโอกาสอันดีนี้ แม้เขาอยากจะหลบการโจมตีที่ร้ายแรงถึงชีวิตของถังฉางเทียน แต่ก็ยากยิ่งนัก
ทว่า ยอดฝีมือก็คือยอดฝีมือ ยอดฝีมือมักจะสร้างปาฏิหาริย์เสมอ
หวังเจิงยกกระบี่ขึ้นบัง ส่วนตัวถอยหลังออกไปเป็เส้นตรง
ทุกคนพร้อมใจกันถอนหายใจเฮือกใหญ่ หัวใจที่กังวลถึงชีวิตของหวังเจิงในที่สุดก็กลับมาที่เดิม
ถังฉางเทียนไม่ได้ตามโจมตีต่อ เพราะว่ากงจวิ้นหาวที่อยู่ข้างๆ ได้เข้าไปใกล้หวังเจิงอย่างเงียบเชียบ
แสงสว่างเย็นเยียบราวกับหิมะ!
แควก!
ปลายกระบี่แหลมบาดเข้าที่แขนของหวังเจิงจนเสื้อขาด เืไหลออกมาเป็ทางน่าใ
เช่นนั้น หวังเจิงก็จะแพ้ที่ตรงนี้แล้ว
ทว่า ในตอนที่ทุกคนคิดว่าเขาไม่มีวาสนาที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ เขากลับใช้ท่าทางแปลกๆ ส่งสายฟ้าเข้าไปใกล้อีกสองคน กระบี่ยาวร่ายรำ ปราณกระบี่ประหนึ่งสายรุ้ง ในชั่วพริบตา กงจวิ้นหาวกลับลอยออกไปก่อนจะตกกระแทกกับพื้นอย่างแรง
จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ ปฏิกิริยาตอบโต้ของหวังเจิงรวดเร็วปานเทพขนาดนั้น แค่เพียงพริบตาเดียวก็ชนะได้
“ดี! ดี!”
ทั้งสองฝั่งของคนดูกระหน่ำไปด้วยเสียงกู่ร้องกับเสียงปรบมือดังสนั่น
เสียงกลองดังขึ้นเป็สัญญาณว่าการทดสอบได้จบสิ้นลง เหอกวงประกาศให้หวังเจิงเป็ผู้ชนะ แล้วเข้าสู่การทดสอบสุดท้ายในวันพรุ่งนี้
หวังเจิงรับสายตาชื่นชม ความใ และความนับถือจากของผู้คนมากมาย ก่อนจะทำมือคำนับพร้อมส่งรอยยิ้มเขินอายให้กับทุกคน แต่จู่ๆ เขาก็กระอักเืสดๆ ออกมา ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะแข็งทื่อ
หยดเืแดงฉานกระจายออกไปทั่ว เกิดเป็เส้นโค้งงดงาม
ต่อมาก็กลายเป็ะเิโลหิตสาดกระจายแล้วร่างทั้งร่างก็ล้มลงไป
เล่มที่ 3 ตอนที่ 62 การต่อสู้ดุเดือด
แคว้นเป่ยเยี่ยนให้ความสำคัญกับบุ๋นและบู๊เท่าๆ กัน หากมีความสามารถด้านบุ๋นและบู๊ย่อมสามารถเข้าสอบเป็ขุนนางเพื่อได้รับเกียรติยศความร่ำรวย เป็เส้นทางสู่ชื่อเสียงและผลประโยชน์
ในสามสิบห้าคนนี้ ครึ่งหนึ่งมีวิชาการต่อสู้ไม่ธรรมดา การแข่งขันดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งสนุกขึ้นเรื่อยๆ
ดาบกระบี่ไร้ตา ระหว่างการแข่งขันจึงยากจะหลีกเลี่ยงการได้รับาเ็ ดังนั้นก่อนจะเริ่มการแข่งขันจึงมีการประกาศกฎออกมาว่า : โปรดระวัง ห้ามใช้กำลังภายในโดยเด็ดขาด
หากมีคนได้รับาเ็ ขอเพียงไม่าเ็จนถึงอวัยวะภายในก็จะไม่สืบสาวเอาความ
เสียงกระบี่ยาวดังกระทบกัน ประกายแสงสะท้อนราวหิมะ ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวจึงเพิ่มไอเย็นขึ้นมาอีกหลายส่วน
สามคนมะรุมมะตุ้มต่อสู้กัน หาก้าเป็ผู้ชนะก็ต้องเอาชนะอีกสองคนให้ได้
ดังนั้นจึงมีหลายกลุ่มที่คนฝีมืออ่อนสองคนร่วมมือกันกำจัดคนที่แข็งแกร่งออกก่อน ทว่าแม้จะคิดคำนวนมาดีมากเพียงใดก็ยังต้องดูกันที่ความสามารถอยู่ดี
ในตอนนี้เอง ด้านหน้ามีเสียงประกาศของขันทีขึ้น “องค์หญิงจาวฮวาเสด็จ!”
ในใจของมู่หรงฉือไม่พอใจ มาช้าขนาดนี้ไม่มาตอนการแข่งขันเสร็จสิ้นเสียเลยเล่า?
การแข่งขันต่อสู้ทั้งสองรอบเสด็จพ่อรับสั่งให้องค์หญิงจาวฮวามาที่ลานแข่งด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมให้เหล่าบุรุษฮึกเหิมในการต่อสู้
ในลานเพิ่งจะแข่งเสร็จไปหนึ่งกลุ่ม นอกจากมู่หรงอวี้กับมู่หรงฉือแล้ว ทุกคนต่างโค้งคำนับต้อนรับองค์หญิงจาวฮวา
เกี้ยวถูกวางลงกับพื้น สตรีในชุดองค์หญิงสะกดสายตาผู้คนค่อยๆ เยื้องย่างลงมา
มือเรียวยาวสวยราวแกะสลักโดยเทพเซียนค่อยๆ วางลงที่ข้อมือของหยวนซิ่วนางกำนัลหญิงข้างกาย ดึงดูดสายตาผู้คนมากมาย
เสื้อคอจีนสีเหลืองอ่อนตัวบนปักด้วยดิ้นเงินลายดอกเฉียงเวย ตัวล่างเป็กระโปรงสีเดียวกันปักลายดอกเฉียงเวยเลื้อยพัน คลุมด้วยผ้าสีขาวบางเบาดูแล้วสง่างาม สดชื่น บ่าเล็กมน เอวคอดกิ่วราวกับถูกมัดไว้ ใบหน้างดงามบอบบาง ดูอ่อนนุ่มราวกับสายน้ำ เป็ความงดงามอันสูงศักดิ์ไม่สามัญ บวกกับท่าทางที่แสดงออกมาอย่างสง่างามเหนือผู้คน
สีเหลืองอ่อนนั้นทำให้นางดูอ้อนแอ่นนุ่มนิ่ม เรือนร่างสูงเพรียว ดวงหน้าแต่งออกมาอย่างงดงาม สวยสะกดจนคนไม่กล้ามองตรงๆ
ชายหนุ่มที่เข้าแข่งขันเ่าั้ต่างพากันมองจนตาค้าง น้ำลายแทบจะไหลออกมา การได้เห็นองค์หญิงจาวฮวาผู้เป็ธิดารักของฮ่องเต้ ทั้งยังมีความงามล้ำใกล้ๆ เช่นนี้ ก็เหมือนเป็การฉีดความกล้าให้กับพวกเขา ยิ่งทำให้พวกเขามีพลังต่อสู้เต็มเปี่ยม ความมั่นใจเต็มร้อย
เหล่าบุตรีตระกูลใหญ่พากันก้มหน้าลง ละอายต่อความงาม เรือนร่าง และความสูงศักดิ์ของนางที่ตนมิอาจสู้ได้ แต่ละคนเจ็บใจจนแทบจะกระอักเื
บรรดาสตรีที่อยากอวี้หวางสุดท้ายก็ต้องดึงสายตากลับมา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคนเอาไปเปรียบเทียบกับองค์หญิงจาวฮวา
ข้างกายของมู่หรงฉือมีเก้าอี้หนึ่งตัว เป็ที่นั่งสำหรับองค์หญิงจาวฮวานั่นเอง
มู่หรงฉางในตอนนี้กำลังถูกขันทีนำทางมายังที่นั่ง ระหว่างทางที่เดินมาสายตาก็หยุดลงที่ใบหน้าไม่ยี่หระของมู่หรงอวี้
หากเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ นางไม่มีทางมาดูการแข่งขันอันน่าเบื่อนี้หรอก
“เสด็จพี่ ตรงนี้น้องมองเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ น้องอยากจะไปนั่งตรงนั้นได้หรือไม่เพคะ?
นางถามความเห็นของพี่ชายเสียงอ่อนโยน ความจริงแล้วนางอยากจะสั่งให้ขันทีเอาเก้าอี้ไปวางข้างมู่หรงอวี้เสียประเดี๋ยวนั้น จะได้นั่งอยู่ใกล้เขา ได้พูดคุยใกล้ชิดกับเขา ยิ่งสามารถมองเขาได้บ่อยๆ
มู่หรงฉือมีหรือจะไม่เข้าใจความคิดของน้องสาวคนนี้?
ตอนที่นางกำลังจะเอ่ยปากกลับได้ยินเสียงเ็าดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน “เปิ่นหวางไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมเครื่องสำอาง ดมมากแล้วเวียนหัว”
พูดจาไร้สาระ!
ก่อนหน้านี้เหตุใดนางถึงไม่เคยได้ยิน ไม่เคยเห็นเขารังเกียจกลิ่นน้ำหอมเครื่องสำอางมาก่อนเล่า?
ได้ยินประโยคนี้แล้ว มู่หรงฉางพลันกัดริมฝีปากล่างสีชมพูของตัวเองอย่างเขินอาย ดวงหน้าเล็กที่แต่งมาอย่างงดงามพลันแดงก่ำ ก่อนจะเปลี่ยนเป็สีเขียวแล้วกลายเป็ขาวซีด สุดท้ายก็เปลี่ยนมาเป็สีดำของตับหมู
มู่หรงฉือมองนางด้วยความเอ็นดู ถึงตนมีใจอยากจะช่วยนาง แต่ก็ทำอะไรกับบุรุษที่ใจแข็งดั่งเหล็กนั้นไม่ได้ อ๊ากกกก
“เสด็จพี่ ไม่เป็ไรเพคะ น้องนั่งตรงนี้ก็ได้”
มู่หรงฉางเลื่อนสายตาออกแล้วหัวเราะเบาๆ ตอนที่นั่งลงก็มองไปทางคนที่อยู่ในใจด้วยความกังวลเสียใจ ก่อนจะรีบตั้งสติ
เห็นเหล่าบุรุษมองมายังน้องสาวด้วยความรักใคร่หลงใหล แต่ครั้นคิดถึงอวี้หวางผู้มีบารมีล้นเหลือแล้วก็ให้ปวดใจจริงๆ
มู่หรงฉือคิดไป การแข่งขันก็ดำเนินต่อไป
สี่ตระกูลใหญ่ สกุลกง สกุลหยาง สกุลถัง สกุลหรง คนในตระกูลที่ยังเป็ชายหนุ่มไม่ได้มาเข้าร่วมเพียงแค่คนเดียว มีหลายคนที่เอาชนะจนเข้ารอบการแข่งขันรอบสุดท้ายไปได้ในวันพรุ่งนี้
ด้านล่างบันไดหยกมีคนใช้กระบี่ยาวต่อสู้กันจะเป็จะตาย ส่วนตรงหน้าของมู่หรงฉือกลับมีสายตาที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำอันนุ่มนวลไล่ผ่านปลายจมูกของนาง
นางถอนหายใจหลายที น้องสาว เคารพตัวเองหน่อย
จาวฮวามีหรือจะสนใจการต่อสู้? นางกำลังชื่นชมความหล่อเหลาของบุรุษอยู่ต่างหาก
การแข่งขันดำเนินมาจนถึงกลุ่มสุดท้าย หวังเจิง กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียน
หากพูดกันจากความสามารถด้านการต่อสู้ ความสามารถในการรบ แน่นอนว่าหวังเจิงนั้นแข็งแกร่งที่สุด แต่ว่าฝีมือการต่อสู้ของกงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนเองก็ไม่ธรรมดา
ที่ทำให้คนประหลาดใจก็คือ ถังฉางเทียนคือบุตรอนุจากครอบครัวชิ่งกั๋วกงสกุลถัง ไม่ค่อยมีชื่อเสียงนัก เขาเป็คนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ปกติมักจะแสดงสีหน้านิ่งเฉยราวน้ำแข็ง ดูเป็คนธรรมดาไม่มีความสามารถ แม้แต่บิดาที่เป็ใต้เท้าถังของจวนชิ่งกั๋วกงก็ไม่ได้ตั้งความหวังอะไรกับบุตรที่เกิดจากอนุผู้นี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าวิทยายุทธ์ของเขาจะไม่ธรรมดา แต่ละกระบวนท่ารุนแรง ร่วมมือกับกงจวิ้นหาวจัดการให้หวังเจิงค่อยๆ ถอยร่นไป
การแข่งขันสิบสองกลุ่ม กลุ่มนี้จัดว่าเป็กลุ่มที่น่าสนใจที่สุด
คนดูทั้งสองฝั่งส่งเสียงโห่ร้องเป่าปากออกมาอยู่ตลอด กระทั่งบรรดาสตรีที่หันไปมองอวี้หวางอยู่บ่อยๆ ก็ถูกการต่อสู้กลุ่มนี้ดึงความสนใจไป มองการแข่งขันที่เดาไม่ออกว่าใครจะชนะตาไม่กะพริบ
กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนมองตากัน ทันใดนั้นก็พุ่งตัวออกไป กระบี่ในมือแทงไปยังศัตรูฝั่งตรงข้าม
การโจมตีนี้เป็การใช้กำลังของพวกเขาทั้งหมด
หนึ่งกระบวนท่าคือหนึ่งสุริยะจันทราไร้แสง อีกกระบวนท่าคือสายน้ำซัดสาด เมื่อใช้กระบวนท่าพร้อมกันทำให้เกิดเป็ลมแรง
เสียงลมหวีดหวิวอยู่ในลาน ความหวาดกลัวพุ่งขึ้นสูงอยู่ในใจทุกคน ราวกับรู้สึกได้ว่าลมพัดรุนแรงราวกับพายุระดับสิบสองนั้นจะโหมกระหน่ำไปยังหวังเจิง
หวังเจิงรู้สึกแค่ว่ามีสายลมรุนแรงพุ่งเข้ามา ดวงตาทั้งสองข้างปรากฏความดุดันเ็า
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมีฝีมือฉกาจ เขาจึงใช้กระบวนท่าขโมยฟ้าเปลี่ยนตะวัน ยิงสายฟ้าออกไปโจมตีคู่ต่อสู้
อีกฝ่ายไม่หลบหลีก กลับกันยังพุ่งตรงเข้ามาอีก ความกล้าหาญนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีได้
“กรี๊ดดดด”
สตรีคนหนึ่งตื่นเต้นกังวลจนเกินไปถึงกับกรีดร้องออกมา
คู่ต่อสู้ตรงหน้าส่งสายฟ้ามา กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนเดิมไม่คิดว่าเขาจะหลบหลีกได้ จึงเตรียมตัวจะออกกระบวนท่าต่อไปเพื่อตัดสินแพ้ชนะกับเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ กระทั่งทำลายแผนของพวกเขาเสียแล้ว
ทันใดนั้น พวกเขาเห็นหวังเจิงที่พุ่งเข้ามาตรงหน้าจู่ๆ ก็หายวับไป จึงอดหวาดระแวงไม่ได้ ร่างทั้งร่างเย็นเฉียบ
พวกเขาต่างเป็ยอดฝีมือจึงสามารถรับรู้ได้ถึงภัยอันตรายที่ย่างกรายเข้ามา
หวังเจิงหลบซ้ายหลีกขวา ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน นี่ก็คือขโมยฟ้าเปลี่ยนตะวัน
ในตอนที่กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนรู้สึกตัว แสงสีเงินก็ฟาดลงมา หวังเจิงใช้กระบวนท่ากุ้งัออกทะเล ปราณกระบี่รุนแรง ก่อนจะมีน้ำพุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม
พวกเขาถอยหนีหลบหลีกการโจมตีอย่างทุลักทุเล
สองคนกัดฟันแน่น ลอบจ้องตากันก่อนจะร่วมมือกันโจมตีกลับไป
ทุกคนเห็นภาพนี้ก็ใไปตามๆ กัน เสียงปรบมือดังสนั่น นี่สิถึงจะเป็การทดสอบที่แท้จริง
ทั้งสามคนประหัตปะากันอยู่อีกครู่หนึ่ง หวังเจิงเหมือนไม่ยินดีที่จะสู้กันต่อไปเช่นนี้ จึงออกกระบวนท่าอันรุนแรงออกมาติดต่อกัน คู่ต่อสู้ทั้งสองคนถูกบีบให้หนีซุกหัวซุน
แพ้ชนะยังไม่ถูกตัดสิน เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นมาติดๆ กัน บรรดาสตรีที่ชื่นชอบวีรบุรุษผู้กล้าต่างมีใจให้กับหวังเจิง อีกทั้งหวังเจิงหน้าตาหล่อเหลา เกิดในครอบครัวแม่ทัพ ดังนั้นจึงพากันเริ่มให้ความสนใจเขา
ฝีมือการต่อสู้แข็งแกร่งเสมอต้นเสมอปลาย มู่หรงฉือมองอย่างสนุกสนาน หากตนกับหวังเจิงต่อสู้กัน ก็คงจะตัดสินยากจริงๆ
บุรุษข้างกายกลับดูเกียจคร้าน ราวกับเขารู้สึกว่าการแข่งนี้เป็เพียงการเตะต่อยของเด็กน้อย ไม่มีค่าพอให้ดู
นางจับตามองเขา ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเสด็จพ่อถึงได้สั่งให้เขามาควบคุม เสด็จพ่อไม่วางใจนางถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ส่วนน้องสาวที่อยู่อีกด้านหนึ่งเห็นคนอื่นๆ เป็คนโปร่งแสงไปแล้วเรียบร้อย ในสายตาของนางมีแค่อวี้หวางเท่านั้น
มู่หรงฉือดึงแขนเสื้อกว้างของนาง พูดเสียงเบา “ระวังหน่อย”
มู่หรงฉางเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะเบนสายตาหวานล้ำออกมาด้วยใบหน้าแดงแจ๋
ตอนนี้เองที่การแข่งขันในลานดุเดือดจนมองเห็นประตูแห่งความตาย อันตรายยิ่งนัก กระบี่ยาวแหลมคมสาดแสงสีเงินร่ายรำอยู่กลางอากาศที่เต็มไปด้วยหมอกควัน ทั้งสามคนโจมตีกันอย่างใจเย็น
บรรยากาศดุดันแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีศูนย์กลางจากพวกเขาสามคน
ทันใดนั้นเอง กงจวิ้นหาวไม่รู้ว่าเป็อะไร เขาเผยช่องโหว่ครั้งใหญ่ การกระทำเช่นนี้เป็สิ่งที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง สำหรับคู่ต่อสู้แล้วย่อมเป็ผลดีมาก หวังเจิงราวกับเคลือบแคลงสงสัยแต่ก็ยังสะบัดปราณกระบี่ออกไป ใช้กระบวนท่าัดำดิ่งหุบเหวปล่อยลำแสงสีเขียวออกมา
แสงดาบสีเงินตวัดวาบ เย็นเยียบราวกับหิมะ ทำเอาใจคนหวาดกลัว
กงจวิ้นหาวเหินทะยานหลบหลีกเป็วงกลม ในขณะเดียวกันถังฉางเทียนก็พุ่งตัวมาจากด้านข้าง หลบหลีกกระบี่แหลมคมก่อนจะแทงกระบี่เข้าไปทางหวังเจิง
ในชั่วพริบตานั้น ทุกคนต่างหยุดหายใจ จ้องมองภาพนั้นตาไม่กระพริบกลัวว่าจะพลาดจุดที่สนุกที่สุด อันตรายที่สุดไป
เนื่องจากทั้งสามเป็คนจากตระกูลยอดฝีมือ ในชั่วพริบตาแห่งความเป็ความตาย การเปลี่ยนแปลงมากมายอยู่ห่างเพียงแค่เส้นหนึ่งกั้น อีกอย่างการเคลื่อนไหวของถังฉางเทียนก็รวดเร็วมาก ทำเอาคนไม่ทันป้องกัน หวังเจิงตอนนี้จึงตกอยู่ในอันตราย
หากหวังเจิงหลบไม่ทัน หรือโจมตีถังฉางเทียนให้ถอยไปไม่ได้ เช่นนั้นก็จะแพ้ แล้วถูกตัดสิทธิ์ไป
มู่หรงฉือรู้นานแล้วว่าก่อนหน้านี้ที่กงจวิ้นหาวเปิดช่องโหว่นั้นเป็สิ่งที่เขาจงใจ เป็แผนล่อศัตรู ถึงแม้หวังเจิงจะเคลือบแคลงสงสัย แต่ก็ไม่ยอมสละโอกาสอันดีนี้ แม้เขาอยากจะหลบการโจมตีที่ร้ายแรงถึงชีวิตของถังฉางเทียน แต่ก็ยากยิ่งนัก
ทว่า ยอดฝีมือก็คือยอดฝีมือ ยอดฝีมือมักจะสร้างปาฏิหาริย์เสมอ
หวังเจิงยกกระบี่ขึ้นบัง ส่วนตัวถอยหลังออกไปเป็เส้นตรง
ทุกคนพร้อมใจกันถอนหายใจเฮือกใหญ่ หัวใจที่กังวลถึงชีวิตของหวังเจิงในที่สุดก็กลับมาที่เดิม
ถังฉางเทียนไม่ได้ตามโจมตีต่อ เพราะว่ากงจวิ้นหาวที่อยู่ข้างๆ ได้เข้าไปใกล้หวังเจิงอย่างเงียบเชียบ
แสงสว่างเย็นเยียบราวกับหิมะ!
แควก!
ปลายกระบี่แหลมบาดเข้าที่แขนของหวังเจิงจนเสื้อขาด เืไหลออกมาเป็ทางน่าใ
เช่นนั้น หวังเจิงก็จะแพ้ที่ตรงนี้แล้ว
ทว่า ในตอนที่ทุกคนคิดว่าเขาไม่มีวาสนาที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ เขากลับใช้ท่าทางแปลกๆ ส่งสายฟ้าเข้าไปใกล้อีกสองคน กระบี่ยาวร่ายรำ ปราณกระบี่ประหนึ่งสายรุ้ง ในชั่วพริบตา กงจวิ้นหาวกลับลอยออกไปก่อนจะตกกระแทกกับพื้นอย่างแรง
จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ ปฏิกิริยาตอบโต้ของหวังเจิงรวดเร็วปานเทพขนาดนั้น แค่เพียงพริบตาเดียวก็ชนะได้
“ดี! ดี!”
ทั้งสองฝั่งของคนดูกระหน่ำไปด้วยเสียงกู่ร้องกับเสียงปรบมือดังสนั่น
เสียงกลองดังขึ้นเป็สัญญาณว่าการทดสอบได้จบสิ้นลง เหอกวงประกาศให้หวังเจิงเป็ผู้ชนะ แล้วเข้าสู่การทดสอบสุดท้ายในวันพรุ่งนี้
หวังเจิงรับสายตาชื่นชม ความใ และความนับถือจากของผู้คนมากมาย ก่อนจะทำมือคำนับพร้อมส่งรอยยิ้มเขินอายให้กับทุกคน แต่จู่ๆ เขาก็กระอักเืสดๆ ออกมา ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะแข็งทื่อ
หยดเืแดงฉานกระจายออกไปทั่ว เกิดเป็เส้นโค้งงดงาม
ต่อมาก็กลายเป็ะเิโลหิตสาดกระจายแล้วร่างทั้งร่างก็ล้มลงไป
เล่มที่ 3 ตอนที่ 62 การต่อสู้ดุเดือด
แคว้นเป่ยเยี่ยนให้ความสำคัญกับบุ๋นและบู๊เท่าๆ กัน หากมีความสามารถด้านบุ๋นและบู๊ย่อมสามารถเข้าสอบเป็ขุนนางเพื่อได้รับเกียรติยศความร่ำรวย เป็เส้นทางสู่ชื่อเสียงและผลประโยชน์
ในสามสิบห้าคนนี้ ครึ่งหนึ่งมีวิชาการต่อสู้ไม่ธรรมดา การแข่งขันดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งสนุกขึ้นเรื่อยๆ
ดาบกระบี่ไร้ตา ระหว่างการแข่งขันจึงยากจะหลีกเลี่ยงการได้รับาเ็ ดังนั้นก่อนจะเริ่มการแข่งขันจึงมีการประกาศกฎออกมาว่า : โปรดระวัง ห้ามใช้กำลังภายในโดยเด็ดขาด
หากมีคนได้รับาเ็ ขอเพียงไม่าเ็จนถึงอวัยวะภายในก็จะไม่สืบสาวเอาความ
เสียงกระบี่ยาวดังกระทบกัน ประกายแสงสะท้อนราวหิมะ ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวจึงเพิ่มไอเย็นขึ้นมาอีกหลายส่วน
สามคนมะรุมมะตุ้มต่อสู้กัน หาก้าเป็ผู้ชนะก็ต้องเอาชนะอีกสองคนให้ได้
ดังนั้นจึงมีหลายกลุ่มที่คนฝีมืออ่อนสองคนร่วมมือกันกำจัดคนที่แข็งแกร่งออกก่อน ทว่าแม้จะคิดคำนวนมาดีมากเพียงใดก็ยังต้องดูกันที่ความสามารถอยู่ดี
ในตอนนี้เอง ด้านหน้ามีเสียงประกาศของขันทีขึ้น “องค์หญิงจาวฮวาเสด็จ!”
ในใจของมู่หรงฉือไม่พอใจ มาช้าขนาดนี้ไม่มาตอนการแข่งขันเสร็จสิ้นเสียเลยเล่า?
การแข่งขันต่อสู้ทั้งสองรอบเสด็จพ่อรับสั่งให้องค์หญิงจาวฮวามาที่ลานแข่งด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมให้เหล่าบุรุษฮึกเหิมในการต่อสู้
ในลานเพิ่งจะแข่งเสร็จไปหนึ่งกลุ่ม นอกจากมู่หรงอวี้กับมู่หรงฉือแล้ว ทุกคนต่างโค้งคำนับต้อนรับองค์หญิงจาวฮวา
เกี้ยวถูกวางลงกับพื้น สตรีในชุดองค์หญิงสะกดสายตาผู้คนค่อยๆ เยื้องย่างลงมา
มือเรียวยาวสวยราวแกะสลักโดยเทพเซียนค่อยๆ วางลงที่ข้อมือของหยวนซิ่วนางกำนัลหญิงข้างกาย ดึงดูดสายตาผู้คนมากมาย
เสื้อคอจีนสีเหลืองอ่อนตัวบนปักด้วยดิ้นเงินลายดอกเฉียงเวย ตัวล่างเป็กระโปรงสีเดียวกันปักลายดอกเฉียงเวยเลื้อยพัน คลุมด้วยผ้าสีขาวบางเบาดูแล้วสง่างาม สดชื่น บ่าเล็กมน เอวคอดกิ่วราวกับถูกมัดไว้ ใบหน้างดงามบอบบาง ดูอ่อนนุ่มราวกับสายน้ำ เป็ความงดงามอันสูงศักดิ์ไม่สามัญ บวกกับท่าทางที่แสดงออกมาอย่างสง่างามเหนือผู้คน
สีเหลืองอ่อนนั้นทำให้นางดูอ้อนแอ่นนุ่มนิ่ม เรือนร่างสูงเพรียว ดวงหน้าแต่งออกมาอย่างงดงาม สวยสะกดจนคนไม่กล้ามองตรงๆ
ชายหนุ่มที่เข้าแข่งขันเ่าั้ต่างพากันมองจนตาค้าง น้ำลายแทบจะไหลออกมา การได้เห็นองค์หญิงจาวฮวาผู้เป็ธิดารักของฮ่องเต้ ทั้งยังมีความงามล้ำใกล้ๆ เช่นนี้ ก็เหมือนเป็การฉีดความกล้าให้กับพวกเขา ยิ่งทำให้พวกเขามีพลังต่อสู้เต็มเปี่ยม ความมั่นใจเต็มร้อย
เหล่าบุตรีตระกูลใหญ่พากันก้มหน้าลง ละอายต่อความงาม เรือนร่าง และความสูงศักดิ์ของนางที่ตนมิอาจสู้ได้ แต่ละคนเจ็บใจจนแทบจะกระอักเื
บรรดาสตรีที่อยากอวี้หวางสุดท้ายก็ต้องดึงสายตากลับมา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคนเอาไปเปรียบเทียบกับองค์หญิงจาวฮวา
ข้างกายของมู่หรงฉือมีเก้าอี้หนึ่งตัว เป็ที่นั่งสำหรับองค์หญิงจาวฮวานั่นเอง
มู่หรงฉางในตอนนี้กำลังถูกขันทีนำทางมายังที่นั่ง ระหว่างทางที่เดินมาสายตาก็หยุดลงที่ใบหน้าไม่ยี่หระของมู่หรงอวี้
หากเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ นางไม่มีทางมาดูการแข่งขันอันน่าเบื่อนี้หรอก
“เสด็จพี่ ตรงนี้น้องมองเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ น้องอยากจะไปนั่งตรงนั้นได้หรือไม่เพคะ?
นางถามความเห็นของพี่ชายเสียงอ่อนโยน ความจริงแล้วนางอยากจะสั่งให้ขันทีเอาเก้าอี้ไปวางข้างมู่หรงอวี้เสียประเดี๋ยวนั้น จะได้นั่งอยู่ใกล้เขา ได้พูดคุยใกล้ชิดกับเขา ยิ่งสามารถมองเขาได้บ่อยๆ
มู่หรงฉือมีหรือจะไม่เข้าใจความคิดของน้องสาวคนนี้?
ตอนที่นางกำลังจะเอ่ยปากกลับได้ยินเสียงเ็าดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน “เปิ่นหวางไม่ชอบกลิ่นน้ำหอมเครื่องสำอาง ดมมากแล้วเวียนหัว”
พูดจาไร้สาระ!
ก่อนหน้านี้เหตุใดนางถึงไม่เคยได้ยิน ไม่เคยเห็นเขารังเกียจกลิ่นน้ำหอมเครื่องสำอางมาก่อนเล่า?
ได้ยินประโยคนี้แล้ว มู่หรงฉางพลันกัดริมฝีปากล่างสีชมพูของตัวเองอย่างเขินอาย ดวงหน้าเล็กที่แต่งมาอย่างงดงามพลันแดงก่ำ ก่อนจะเปลี่ยนเป็สีเขียวแล้วกลายเป็ขาวซีด สุดท้ายก็เปลี่ยนมาเป็สีดำของตับหมู
มู่หรงฉือมองนางด้วยความเอ็นดู ถึงตนมีใจอยากจะช่วยนาง แต่ก็ทำอะไรกับบุรุษที่ใจแข็งดั่งเหล็กนั้นไม่ได้ อ๊ากกกก
“เสด็จพี่ ไม่เป็ไรเพคะ น้องนั่งตรงนี้ก็ได้”
มู่หรงฉางเลื่อนสายตาออกแล้วหัวเราะเบาๆ ตอนที่นั่งลงก็มองไปทางคนที่อยู่ในใจด้วยความกังวลเสียใจ ก่อนจะรีบตั้งสติ
เห็นเหล่าบุรุษมองมายังน้องสาวด้วยความรักใคร่หลงใหล แต่ครั้นคิดถึงอวี้หวางผู้มีบารมีล้นเหลือแล้วก็ให้ปวดใจจริงๆ
มู่หรงฉือคิดไป การแข่งขันก็ดำเนินต่อไป
สี่ตระกูลใหญ่ สกุลกง สกุลหยาง สกุลถัง สกุลหรง คนในตระกูลที่ยังเป็ชายหนุ่มไม่ได้มาเข้าร่วมเพียงแค่คนเดียว มีหลายคนที่เอาชนะจนเข้ารอบการแข่งขันรอบสุดท้ายไปได้ในวันพรุ่งนี้
ด้านล่างบันไดหยกมีคนใช้กระบี่ยาวต่อสู้กันจะเป็จะตาย ส่วนตรงหน้าของมู่หรงฉือกลับมีสายตาที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำอันนุ่มนวลไล่ผ่านปลายจมูกของนาง
นางถอนหายใจหลายที น้องสาว เคารพตัวเองหน่อย
จาวฮวามีหรือจะสนใจการต่อสู้? นางกำลังชื่นชมความหล่อเหลาของบุรุษอยู่ต่างหาก
การแข่งขันดำเนินมาจนถึงกลุ่มสุดท้าย หวังเจิง กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียน
หากพูดกันจากความสามารถด้านการต่อสู้ ความสามารถในการรบ แน่นอนว่าหวังเจิงนั้นแข็งแกร่งที่สุด แต่ว่าฝีมือการต่อสู้ของกงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนเองก็ไม่ธรรมดา
ที่ทำให้คนประหลาดใจก็คือ ถังฉางเทียนคือบุตรอนุจากครอบครัวชิ่งกั๋วกงสกุลถัง ไม่ค่อยมีชื่อเสียงนัก เขาเป็คนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ปกติมักจะแสดงสีหน้านิ่งเฉยราวน้ำแข็ง ดูเป็คนธรรมดาไม่มีความสามารถ แม้แต่บิดาที่เป็ใต้เท้าถังของจวนชิ่งกั๋วกงก็ไม่ได้ตั้งความหวังอะไรกับบุตรที่เกิดจากอนุผู้นี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าวิทยายุทธ์ของเขาจะไม่ธรรมดา แต่ละกระบวนท่ารุนแรง ร่วมมือกับกงจวิ้นหาวจัดการให้หวังเจิงค่อยๆ ถอยร่นไป
การแข่งขันสิบสองกลุ่ม กลุ่มนี้จัดว่าเป็กลุ่มที่น่าสนใจที่สุด
คนดูทั้งสองฝั่งส่งเสียงโห่ร้องเป่าปากออกมาอยู่ตลอด กระทั่งบรรดาสตรีที่หันไปมองอวี้หวางอยู่บ่อยๆ ก็ถูกการต่อสู้กลุ่มนี้ดึงความสนใจไป มองการแข่งขันที่เดาไม่ออกว่าใครจะชนะตาไม่กะพริบ
กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนมองตากัน ทันใดนั้นก็พุ่งตัวออกไป กระบี่ในมือแทงไปยังศัตรูฝั่งตรงข้าม
การโจมตีนี้เป็การใช้กำลังของพวกเขาทั้งหมด
หนึ่งกระบวนท่าคือหนึ่งสุริยะจันทราไร้แสง อีกกระบวนท่าคือสายน้ำซัดสาด เมื่อใช้กระบวนท่าพร้อมกันทำให้เกิดเป็ลมแรง
เสียงลมหวีดหวิวอยู่ในลาน ความหวาดกลัวพุ่งขึ้นสูงอยู่ในใจทุกคน ราวกับรู้สึกได้ว่าลมพัดรุนแรงราวกับพายุระดับสิบสองนั้นจะโหมกระหน่ำไปยังหวังเจิง
หวังเจิงรู้สึกแค่ว่ามีสายลมรุนแรงพุ่งเข้ามา ดวงตาทั้งสองข้างปรากฏความดุดันเ็า
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมีฝีมือฉกาจ เขาจึงใช้กระบวนท่าขโมยฟ้าเปลี่ยนตะวัน ยิงสายฟ้าออกไปโจมตีคู่ต่อสู้
อีกฝ่ายไม่หลบหลีก กลับกันยังพุ่งตรงเข้ามาอีก ความกล้าหาญนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีได้
“กรี๊ดดดด”
สตรีคนหนึ่งตื่นเต้นกังวลจนเกินไปถึงกับกรีดร้องออกมา
คู่ต่อสู้ตรงหน้าส่งสายฟ้ามา กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนเดิมไม่คิดว่าเขาจะหลบหลีกได้ จึงเตรียมตัวจะออกกระบวนท่าต่อไปเพื่อตัดสินแพ้ชนะกับเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ กระทั่งทำลายแผนของพวกเขาเสียแล้ว
ทันใดนั้น พวกเขาเห็นหวังเจิงที่พุ่งเข้ามาตรงหน้าจู่ๆ ก็หายวับไป จึงอดหวาดระแวงไม่ได้ ร่างทั้งร่างเย็นเฉียบ
พวกเขาต่างเป็ยอดฝีมือจึงสามารถรับรู้ได้ถึงภัยอันตรายที่ย่างกรายเข้ามา
หวังเจิงหลบซ้ายหลีกขวา ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน นี่ก็คือขโมยฟ้าเปลี่ยนตะวัน
ในตอนที่กงจวิ้นหาวกับถังฉางเทียนรู้สึกตัว แสงสีเงินก็ฟาดลงมา หวังเจิงใช้กระบวนท่ากุ้งัออกทะเล ปราณกระบี่รุนแรง ก่อนจะมีน้ำพุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม
พวกเขาถอยหนีหลบหลีกการโจมตีอย่างทุลักทุเล
สองคนกัดฟันแน่น ลอบจ้องตากันก่อนจะร่วมมือกันโจมตีกลับไป
ทุกคนเห็นภาพนี้ก็ใไปตามๆ กัน เสียงปรบมือดังสนั่น นี่สิถึงจะเป็การทดสอบที่แท้จริง
ทั้งสามคนประหัตปะากันอยู่อีกครู่หนึ่ง หวังเจิงเหมือนไม่ยินดีที่จะสู้กันต่อไปเช่นนี้ จึงออกกระบวนท่าอันรุนแรงออกมาติดต่อกัน คู่ต่อสู้ทั้งสองคนถูกบีบให้หนีซุกหัวซุน
แพ้ชนะยังไม่ถูกตัดสิน เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นมาติดๆ กัน บรรดาสตรีที่ชื่นชอบวีรบุรุษผู้กล้าต่างมีใจให้กับหวังเจิง อีกทั้งหวังเจิงหน้าตาหล่อเหลา เกิดในครอบครัวแม่ทัพ ดังนั้นจึงพากันเริ่มให้ความสนใจเขา
ฝีมือการต่อสู้แข็งแกร่งเสมอต้นเสมอปลาย มู่หรงฉือมองอย่างสนุกสนาน หากตนกับหวังเจิงต่อสู้กัน ก็คงจะตัดสินยากจริงๆ
บุรุษข้างกายกลับดูเกียจคร้าน ราวกับเขารู้สึกว่าการแข่งนี้เป็เพียงการเตะต่อยของเด็กน้อย ไม่มีค่าพอให้ดู
นางจับตามองเขา ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเสด็จพ่อถึงได้สั่งให้เขามาควบคุม เสด็จพ่อไม่วางใจนางถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ส่วนน้องสาวที่อยู่อีกด้านหนึ่งเห็นคนอื่นๆ เป็คนโปร่งแสงไปแล้วเรียบร้อย ในสายตาของนางมีแค่อวี้หวางเท่านั้น
มู่หรงฉือดึงแขนเสื้อกว้างของนาง พูดเสียงเบา “ระวังหน่อย”
มู่หรงฉางเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะเบนสายตาหวานล้ำออกมาด้วยใบหน้าแดงแจ๋
ตอนนี้เองที่การแข่งขันในลานดุเดือดจนมองเห็นประตูแห่งความตาย อันตรายยิ่งนัก กระบี่ยาวแหลมคมสาดแสงสีเงินร่ายรำอยู่กลางอากาศที่เต็มไปด้วยหมอกควัน ทั้งสามคนโจมตีกันอย่างใจเย็น
บรรยากาศดุดันแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ โดยมีศูนย์กลางจากพวกเขาสามคน
ทันใดนั้นเอง กงจวิ้นหาวไม่รู้ว่าเป็อะไร เขาเผยช่องโหว่ครั้งใหญ่ การกระทำเช่นนี้เป็สิ่งที่เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง สำหรับคู่ต่อสู้แล้วย่อมเป็ผลดีมาก หวังเจิงราวกับเคลือบแคลงสงสัยแต่ก็ยังสะบัดปราณกระบี่ออกไป ใช้กระบวนท่าัดำดิ่งหุบเหวปล่อยลำแสงสีเขียวออกมา
แสงดาบสีเงินตวัดวาบ เย็นเยียบราวกับหิมะ ทำเอาใจคนหวาดกลัว
กงจวิ้นหาวเหินทะยานหลบหลีกเป็วงกลม ในขณะเดียวกันถังฉางเทียนก็พุ่งตัวมาจากด้านข้าง หลบหลีกกระบี่แหลมคมก่อนจะแทงกระบี่เข้าไปทางหวังเจิง
ในชั่วพริบตานั้น ทุกคนต่างหยุดหายใจ จ้องมองภาพนั้นตาไม่กระพริบกลัวว่าจะพลาดจุดที่สนุกที่สุด อันตรายที่สุดไป
เนื่องจากทั้งสามเป็คนจากตระกูลยอดฝีมือ ในชั่วพริบตาแห่งความเป็ความตาย การเปลี่ยนแปลงมากมายอยู่ห่างเพียงแค่เส้นหนึ่งกั้น อีกอย่างการเคลื่อนไหวของถังฉางเทียนก็รวดเร็วมาก ทำเอาคนไม่ทันป้องกัน หวังเจิงตอนนี้จึงตกอยู่ในอันตราย
หากหวังเจิงหลบไม่ทัน หรือโจมตีถังฉางเทียนให้ถอยไปไม่ได้ เช่นนั้นก็จะแพ้ แล้วถูกตัดสิทธิ์ไป
มู่หรงฉือรู้นานแล้วว่าก่อนหน้านี้ที่กงจวิ้นหาวเปิดช่องโหว่นั้นเป็สิ่งที่เขาจงใจ เป็แผนล่อศัตรู ถึงแม้หวังเจิงจะเคลือบแคลงสงสัย แต่ก็ไม่ยอมสละโอกาสอันดีนี้ แม้เขาอยากจะหลบการโจมตีที่ร้ายแรงถึงชีวิตของถังฉางเทียน แต่ก็ยากยิ่งนัก
ทว่า ยอดฝีมือก็คือยอดฝีมือ ยอดฝีมือมักจะสร้างปาฏิหาริย์เสมอ
หวังเจิงยกกระบี่ขึ้นบัง ส่วนตัวถอยหลังออกไปเป็เส้นตรง
ทุกคนพร้อมใจกันถอนหายใจเฮือกใหญ่ หัวใจที่กังวลถึงชีวิตของหวังเจิงในที่สุดก็กลับมาที่เดิม
ถังฉางเทียนไม่ได้ตามโจมตีต่อ เพราะว่ากงจวิ้นหาวที่อยู่ข้างๆ ได้เข้าไปใกล้หวังเจิงอย่างเงียบเชียบ
แสงสว่างเย็นเยียบราวกับหิมะ!
แควก!
ปลายกระบี่แหลมบาดเข้าที่แขนของหวังเจิงจนเสื้อขาด เืไหลออกมาเป็ทางน่าใ
เช่นนั้น หวังเจิงก็จะแพ้ที่ตรงนี้แล้ว
ทว่า ในตอนที่ทุกคนคิดว่าเขาไม่มีวาสนาที่จะได้เข้าร่วมการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ เขากลับใช้ท่าทางแปลกๆ ส่งสายฟ้าเข้าไปใกล้อีกสองคน กระบี่ยาวร่ายรำ ปราณกระบี่ประหนึ่งสายรุ้ง ในชั่วพริบตา กงจวิ้นหาวกลับลอยออกไปก่อนจะตกกระแทกกับพื้นอย่างแรง
จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจ ปฏิกิริยาตอบโต้ของหวังเจิงรวดเร็วปานเทพขนาดนั้น แค่เพียงพริบตาเดียวก็ชนะได้
“ดี! ดี!”
ทั้งสองฝั่งของคนดูกระหน่ำไปด้วยเสียงกู่ร้องกับเสียงปรบมือดังสนั่น
เสียงกลองดังขึ้นเป็สัญญาณว่าการทดสอบได้จบสิ้นลง เหอกวงประกาศให้หวังเจิงเป็ผู้ชนะ แล้วเข้าสู่การทดสอบสุดท้ายในวันพรุ่งนี้
หวังเจิงรับสายตาชื่นชม ความใ และความนับถือจากของผู้คนมากมาย ก่อนจะทำมือคำนับพร้อมส่งรอยยิ้มเขินอายให้กับทุกคน แต่จู่ๆ เขาก็กระอักเืสดๆ ออกมา ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะแข็งทื่อ
หยดเืแดงฉานกระจายออกไปทั่ว เกิดเป็เส้นโค้งงดงาม
ต่อมาก็กลายเป็ะเิโลหิตสาดกระจายแล้วร่างทั้งร่างก็ล้มลงไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้