“เ้าแน่ใจหรือ” ใบหน้าหล่อเหลาคมสันประหนึ่งเทพเซียนค่อยๆ แนบชิดเข้ามาใกล้นาง เฟิ่งเฉี่ยนราวกับถูกแย่งชิงลมหายใจ นางแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว
เสียงของจ้าวกงกงดังขึ้นจากด้านนอกตำหนัก เสียงนี้ได้ทำลายบรรยากาศแปลกประหลาดนี้ลง “ทูลฝ่าา ฎีกาในห้องทรงพระอักษรได้ขนย้ายมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะอ่านฎีกาที่นี่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ริมฝีปากเย้ายวนของเซวียนหยวนเช่อยกขึ้นให้เห็นเป็รอยยิ้มคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขาปล่อยนางแล้วพูดกับนอกตำหนักว่า “ขนเข้ามาเถิด!”
เฟิ่งเฉี่ยนถอยห่างออกมาหลายก้าวรักษาระยะห่างระหว่างตนเองกับเขา แก้มทั้งสองข้างยังคงร้อนซู่ ทำให้นางดูแล้วน่ารักน่าใคร่อย่างที่สุด
จ้าวกงกงนำขันทีหลายคนเดินเข้ามาในตำหนัก ทั้งยังขนฎีกากองเท่าูเาลูกเล็กๆ มาด้วย เฟิ่งเฉี่ยนจึงกระจ่างแจ้งว่า เซวียนหยวนเช่อเตรียมจะมานั่งอ่านฎีกาในตำหนักของนางแต่แรก เมื่อสักครู่ตนเองถูกเขาปั่นหัวอีกแล้ว!
ความงามเป็เหตุ!
นางถูกความหล่อเหลาสยบอยู่ตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ช่างไม่เอาไหนเสียเลย!
หากเปลี่ยนเป็บุรุษคนอื่น นางคงเตะออกไปไกลทำให้เขาไม่อาจมีบุตรได้อีกต่อไป แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเซวียนหยวนเช่อ นางทำไม่ลง อีกทั้งยังถูกความหล่อเหลาคมสันของเขาทำให้เคลิบเคลิ้ม
นางใคร่ครวญพฤติกรรมของตนเอง!
เซวียนหยวนเช่อนั่งขัดสมาธิลงหน้าโต๊ะหนังสือแล้วช้อนตาขึ้นมองนางปราดหนึ่งพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “มานี่! มาฝนหมึก!”
ในน้ำเสียงของเขาเปี่ยมด้วยอำนาจไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ เฟิ่งเฉี่ยนไม่อาจปฏิเสธได้จึงจำต้องเดินเข้าไปนั่งขัดสมาธิข้างกายเขาแล้วเริ่มฝนหมึก ริมฝีปากเล็กๆ นั้นก็บ่นงึมงำ “แกล้งผู้อื่นสนุกนักหรือ”
เซวียนหยวนเช่อราวกับไม่ได้ยิน เขาอ่านฎีกาเงียบๆ อยู่นาน เมื่อเขาอนุมัติฎีกาเล่มหนึ่งเสร็จแล้ววางไว้อีกด้านหนึ่งก็พลันส่งเสียงขึ้นมาว่า “อืม ใช่แล้ว!”
เฟิ่งเฉี่ยนเกือบสำลักน้ำลายตนเอง นางไอไม่หยุด เขาต้องใช้เวลาคิดเนิ่นนานเช่นนี้เลยหรือ
เวลายิ่งล่วงเข้าสู่รัตติกาล เปลือกตาของเฟิ่งเฉี่ยนหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานนางก็ทนไม่ไหว ฟุบหลับลงกับโต๊ะ
เซวียนหยวนเช่อหยุดพู่กันในมือ มองนางนิ่งด้วยสายตาหลากหลายความรู้สึก!
“เ้าเป็ใครกันแน่ ทั้งๆ ที่มีหน้าตาเหมือนฮองเฮาทุกอย่าง แต่เ้ากลับมิใช่ฮองเฮา!”
เขายื่นมือลูบเส้นผมของนางเบาๆ และพูดกับนางว่า “ไม่ว่าเ้าจะเป็ใครก็ตาม ขอเพียงเ้าไม่ทรยศเจิ้น เจิ้นอนุญาตให้เ้ารั้งอยู่ข้างกายเจิ้นได้!”
สายตาของเขาอ่อนโยนราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้
เมื่อเฟิ่งเฉี่ยนตื่นขึ้นก็เป็รุ่งอรุณของวันรุ่งขึ้นแล้ว นางนอนอยู่บนเตียงกว้างเพียงลำพัง
ชิงเหอกูกูยกน้ำร้อนเข้ามา “เหนียงเหนียง ตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ พระองค์จะล้างหน้าล้างตาเลยหรือไม่เพคะ”
“เวลาใดแล้ว” เฟิ่งเฉี่ยนอ้าปากหาว
ชิงเหอกูกูตอบ “ยามเฉิน[1]แล้วเพคะ”
“สายเพียงนี้แล้วหรือ เหตุใดไม่เรียกข้าให้เร็วกว่านี้” นางยังคิดจะไปตามแมวเทพจากหานไท่ฟู่อีกนะ
ชิงเหอกูกูหน้าแดงขึ้นทันใด นางพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มปากเต็มคำ “ก่อนฝ่าาจะเสด็จออกไปได้กำชับเอาไว้ว่าเมื่อคืนฮองเฮาเหนียงเหนียงเหน็ดเหนื่อยเกินไป ให้พวกเราอย่าได้รบกวนเวลาพักผ่อนของพระองค์เพคะ!”
“อ้อ นับว่าเขายังมีมนุษยธรรมอยู่บ้าง!” เฟิ่งเฉี่ยนบิดเอวบริหารแขนขา นางพบว่าการฝนหมึกเป็งานที่เหนื่อยไม่เบา และปวดมืออย่างยิ่ง
หันกลับมาเห็นชิงเหอกูกูหน้าแดงก่ำ นางตกตะลึงราวกับนึกอะไรขึ้นได้จึงรีบโบกไม้โบกมืออธิบายเป็การใหญ่ “เ้าเข้าใจผิดแล้ว! ไม่ใช่อย่างที่เ้าคิด! เมื่อคืนพวกเราไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น!”
ชิงเหอกูกูกลับมีสีหน้าท่าทางเข้าอกเข้าใจอย่างที่สุด ทั้งยังเอ่ยวาจาปลอบโยนว่า “เหนียงเหนียง พระองค์เป็เ้านาย พระองค์ไม่จำเป็ต้องอธิบายสิ่งใดกับบ่าวทั้งสิ้นเพคะ พวกบ่าวเองก็จะไม่ปากยืดปากยาวเช่นกันเพคะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนขยุ้มเส้นผมตนเองอย่างสับสน “ไม่ใช่ เ้าเข้าใจผิดแล้วจริงๆ! ไม่ใช่อย่างที่เ้าคิดจริงๆ!”
ชิงเหอกูกูพยักหน้า “เพคะ พระองค์ตรัสอย่างไรก็อย่างนั้นเพคะ!”
ทว่าปากของนางยังคงยกยิ้มอย่างปิดไม่อยู่ เปิดโปงความในใจของนาง
เฟิ่งเฉี่ยนยิ่งสับสนขึ้นไปอีก นางขยุ้มเส้นผมของตนจนยุ่งเหยิง
์ ชื่อเสียงของนางที่สั่งสมมาต้องถูกทำลายลงในชั่วคืนเดียว ต่อให้มีเหตุผลจริงๆ ก็อธิบายให้ชัดเจนไม่ได้
มองเหล่านางกำนัลแต่ละคนที่ส่งสายตาแปลกๆ มาให้ เฟิ่งเฉี่ยนคร้านจะอธิบาย อยากคิดอย่างไรก็คิดไป!
เดิมทีคิดว่ามีเพียงตำหนักเว่ยยางของนางที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่แปลกออกไป คิดไม่ถึงว่าออกมาจากตำหนักเว่ยยางแล้ว สายตาของคนอื่นๆ ที่มองนางก็แปลกไปจากเมื่อก่อนเช่นกัน แต่ละคนมองนางด้วยความเคารพนบนอบกว่าในอดีต!
และทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมาจากเหตุผลเดียว--นางได้ “ปรนนิบัติ” ฮ่องเต้แล้ว!
ทุกคนล้วนเข้าใจว่าเมื่อคืนฮ่องเต้ค้างคืนที่ตำหนักของนาง และได้ร่วมหลับนอนกับนาง มีเพียงนางที่รู้ดีว่า นางก็แค่ช่วยเขาฝนหมึกตลอดทั้งคืนเท่านั้น!
ข่าวลือช่างน่ากลัว!
ทว่ายามนี้นางไม่มีเวลาจะไปสนใจเื่เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ นางยังต้องรีบไปทำเื่สำคัญ!
นั่นคือต้องไปคิดบัญชีกับหานไท่ฟู่!
ยังไปไม่ถึงประตูวังนางกลับถูกคนขวางเอาไว้
เมื่อเงยหน้าขึ้น เบื้องหน้าพลันปรากฏเงาร่างของคนๆ หนึ่งคว้าหัวไหล่ของนางเอาไว้ และออกแรงตบบ่าของนางแรงๆ ต่อมาก็คือเสียงหัวเราะดังลั่น “ลูกสาวคนดี เ้าช่างทำให้บิดาเช่นข้าภูมิใจนัก!”
เฟิ่งเฉี่ยนมองผู้มาเยือนด้วยความรู้สึกมืดแปดด้าน ผู้ที่มามิใช่ใครอื่น แต่เป็ท่านมหาเสนาบดีบิดาของนางเอง
“แม้สมองของเ้าจะโง่เขลา อีกทั้งไม่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ แต่เ้าสามารถรั้งฮ่องเต้เอาไว้ได้ แสดงให้เห็นว่าเ้ายังมีความสามารถอยู่บ้าง บิดาต้องชื่นชมเ้า!”
เฟิ่งเฉี่ยนกุมขมับ “ท่านพ่อ ท่านอย่าชื่นชมข้าจะดีกว่า ท่านชื่นชมข้า ข้าใจคอไม่ค่อยดี”
เฟิ่งชังเหลือกตาขาวใส่นาง “เมื่อวานได้ยินว่าเ้าจะถวายงาน ข้ายังปาดเหงื่อแทนเ้า! หากเ้าทำให้ฝ่าาทรงกริ้วขึ้นมา ไม่ได้ถวายงานอย่างราบรื่น ตามกฎมณเฑียรบาลแล้วเ้าจะต้องรับโทษโบยสามสิบไม้!”
เฟิ่งเฉี่ยนใจหายวาบ ที่แท้เซวียนหยวนเช่อไม่ได้หลอกนาง เื่กฎมณเฑียรบาลเป็เื่จริง!
หากกล่าวเช่นนี้แล้วเมื่อคืนที่เซวียนหยวนเช่อค้างคืนในตำหนักของนาง ที่จริงเพราะ้าช่วยให้นางไม่ต้องรับโทษหรือ มิใช่เจตนาจะกลั่นแกล้งนางหรอกหรือ
ความรู้สึกหวานล้ำชนิดหนึ่งแผ่ซ่านขึ้นกลางใจของนาง
“น้องหญิงสี่ ยินดีกับเ้าด้วย ในที่สุดก็สมปรารถนา”
ระหว่างที่กำลังใจลอยพลันได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น บุรุษคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเฟิ่งชัง เขาอยู่ในอาภรณ์สีเขียว คิ้วกระบี่ดวงตากระจ่างใส ใบหน้าคมสันนั้นมีรอยยิ้มอบอุ่น เขามิใช่ใครอื่น พี่สามที่นางเคยพบในป่าหมอกดำก่อนหน้านี้ เฟิ่งเทียนรุ่ย!
เฟิ่งเฉี่ยนไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางหัวเราะแห้ง “ขอบคุณพี่สาม!”
เฟิ่งชังพลันมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “เฉี่ยนเอ๋อร์ ได้ยินว่าแมวเทพที่เ้าหามาได้นั้นถูกองค์หญิงหลานซินวางยาพิษตายเสียแล้ว ตอนนี้เ้าคิดอ่านอย่างไร”
เฟิ่งเฉี่ยนแบมือ “ยังจะทำอะไรได้ ย่อมต้องไปหาแมวเทพอีกตัวหนึ่งมา!”
“เ้ามีลู่ทางแล้วหรือไม่” เฟิ่งชังถาม
เฟิ่งเฉี่ยนใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจไม่บอกความจริงกับเขา “มีเบาะแสอยู่บ้าง”
เฟิ่งชังมีสีหน้าเคร่งเครียด “เช่นนั้นก็ดี! วันนี้ข้าเรียกพี่สามของเ้ามาก็เพื่อให้เขาช่วยเ้าอีกแรงหนึ่ง! หาก้าความช่วยเหลือจากสกุลเฟิ่ง เ้าบอกกับพี่สามของเ้า ไม่ว่าอย่างไรเ้าจะต้องหาแมวเทพมาให้ได้ เพื่อรักษาตำแหน่งฮองเฮาเอาไว้ รู้หรือไม่”
เฟิ่งเฉี่ยนลังเลใจ “เื่นี้ข้าจัดการเองได้ ไม่ต้องรบกวนพี่สาม”
ในสายตาของเฟิ่งชัง นางก็คือผู้ไม่แตกฉานในเื่หมากล้อม หากให้เขารู้ว่าตนเองไม่เพียงแต่แตกฉานหมากล้อม แต่ยังเป็ยอดฝีมือ นางควรจะอธิบายกับเขาอย่างไรหนอ
เพื่อลดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็ในภายหน้า นางตัดสินใจที่จะแก้ไขปัญหานี้ด้วยตัวของนางเอง
คิดไม่ถึงว่าเฟิ่งชังกลับยืนกรานหนักแน่น “ไม่ได้! เื่นี้มิใช่เื่ของเ้าคนเดียวอีกต่อไป หากตำแหน่งฮองเฮาของเ้าไม่มั่นคง ที่สั่นคลอนก็คือรากฐานของสกุลเฟิ่ง ดังนั้น ไม่ว่าจะยินดีก็ดี ไม่ยินดีก็ช่าง สกุลเฟิ่งจำเป็ต้องยื่นมือเข้ามาแทรกในเื่นี้!”
[1] ยามเฉิน คือเวลา 07.00-09.00 น.