สกุลลู่แต่งสะใภ้คนนี้เข้ามานับว่ากำไรยิ่งนัก หากคิดดูแล้ว สกุลลู่นั้นบุตรชายรองไม่สนใจเื่ราวใด ยามปกติไม่เคยอยู่บ้าน อยู่เฉพาะเวลาจะกินข้าวเท่านั้น บุตรชายคนที่สามร่ำเรียนศึกษาอยู่ไกลบ้าน ส่วนเสี่ยวหมี่โดดเด่นที่สุดแทบจะเรียกได้ว่าเป็ผู้นำตระกูล ไม่ว่านางพูดอะไรทุกคนล้วนทำตาม มีเพียงบุตรชายคนโตสกุลลู่ที่ออกจะทึ่มทื่อและเป็คนซื่อ หากไม่สังเกต ทุกคนคงลืมไปแล้วว่าเขาเป็บุตรชายคนโต เป็ผู้นำตระกูลคนต่อไปที่แท้จริง ยามนี้เมื่อเห็นขบวนเ้าสาวของเขาก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่า เขาต่างหากที่วาสนาดีที่สุด...
ในเรือน พี่ใหญ่ลู่กำลังตื่นเต้นจนหน้าแดงก่ำ อาศัยผ้าไหมแดงในมือชักนำเ้าสาวเดินเข้าไปในห้องพิธี หนึ่งคำนับฟ้าดิน สองคำนับบิดา สามคำนับกันและกัน เพียงเท่านี้คนในหมู่บ้านเขาหมีก็เฮโลพากันส่งตัวเข้าห้องหอ
ในเรือนมีการจัดวางโต๊ะไว้โดยทั่ว ตามด้วยสุราอาหารที่ทยอยยกเข้ามาจัดวางไว้จนเต็ม
หากเป็บ้านอื่น บรรดาสาวใช้และหญิงรับใช้จากบ้านเดิมของเ้าสาวที่ถูกส่งมานั้น พวกเขาคงแค่มอบเงินรางวัลให้และส่งตัวกลับไป
แต่สกุลลู่นั้นต่างออกไป พวกเขายังคงให้รางวัลอย่างงาม แต่ยังตั้งโต๊ะตั้งใจเลี้ยงอาหารพวกนางโดยเฉพาะแล้วค่อยส่งตัวกลับไป นี่เป็เื่แปลกในสายตาของคนอื่น แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้คนรู้สึกนับถือไม่น้อย
นายท่านเฝิงและผู้าุโคนอื่นนั่งรวมกันอยู่ที่โต๊ะหลักในโถงรับรอง ส่วนบุรุษผู้เป็หัวหน้าครอบครัวอื่นๆ นั้นแยกไปนั่งตามโต๊ะรับรองในเรือนฝั่งตะวันออก
พวกพรานหนุ่มเดิมทีตั้งใจจะไปนั่งรวมกันที่โต๊ะรับรองในเรือนฝั่งตะวันออกของเรือนคุณธรรม แต่ถูกพี่รองลู่ลากไปนั่งร่วมโต๊ะกับพวกพ่อบ้านและคนรับใช้จากสกุลเฉิน
คนรับใช้เ่าั้ก็ไม่นับว่าเป็คนของสกุลเฉินทั้งหมด อย่างไรเสียสกุลเฉินก็มีกิจการใหญ่โต อีกทั้งการจะหาชายหนุ่มเจ็ดสิบสองคนมาแบกหีบสินเดิมก็ไม่ใช่เื่ง่าย ดังนั้นในกลุ่มนี้จึงมีเหล่าผู้ดูแลร้านจากร้านค้าที่ปกติสนิทสนมกันดีกับสกุลเฉินมาช่วยด้วย นอกจากนี้ยังมีญาติสนิทมิตรสหายทั้งใกล้ไกลที่มาช่วยเช่นกัน
หลังจากงานเลี้ยงนี้ผ่านพ้นไป ผู้ดูแลทุกคนต่างพากันเอ่ยปากชมเื่งานเลี้ยงรับรองและความใจกว้างของสกุลลู่จนเป็ที่เลื่องลือ
เื่นี้ทำให้ไม่มีใครสร้างปัญหาให้กับเสี่ยวเตาเมื่อเขาเข้าเมืองไปจัดการร้านค้าในอนาคต เื่เล็กๆ น้อยๆ ต่างมีคนยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ไม่ว่าเงยหน้ามองไปทางไหนก็พบแต่คนที่สนิทสนมกันทั้งสิ้น
แน่นอน นี่คือเื่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็ความโชคดีที่เสี่ยวหมี่เองก็คาดไม่ถึง
บิดาลู่ดื่มกินเป็เพื่อนพวกนายท่านเฝิงไม่กี่จอก จากนั้นก็เดินไปที่เรือนคุณธรรม ถึงแม้สหายพวกนั้นของเขาจะทำให้คนไม่ชอบใจอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็อุตส่าห์เดินทางไกลมาร่วมแสดงความยินดี ย่อมไม่อาจละเลยมารยาทได้
ตอนนี้ในสมองของพวกเขายังวนเวียนอยู่กับคำว่า ‘หลี่’ เท่านั้น กินดื่มอะไรก็ไม่รู้รส ยิ่งไม่มีเวลามาสนใจว่าพวกเขาจะถูกละเลยหรือไม่
เรือนสกุลลู่จุดไฟสว่างไสวสีแดงเฉิดฉัน เมื่อไฟมอดดับลงก็มีการเติมเชื้อไฟอย่างทันท่วงที ถึงแม้จะเข้าสู่ยามค่ำแล้วแต่เสียงสรวลเสเฮฮายังคงดังไม่หยุดหย่อน
โต๊ะหลักของเหล่าผู้าุโเป็โต๊ะแรกที่แยกย้ายกันไป พวกเขาต่างถูกพรานหนุ่มในหมู่บ้านที่ยังไม่เมาแบกกลับบ้านของตัวเอง
พรานหนุ่มบางคนที่ยามปกติสนิทสนมกับพี่ใหญ่ลู่เป็อย่างดีเริ่มเมามายแล้ว จึงคิดอยากจะก่อกวนห้องเ้าสาว
พวกเขาจึงพากันลากพี่ใหญ่ลู่ที่ทั้งตื่นเต้นและไม่ยินยอมไปยังเรือนหลัง แต่เพิ่งก้าวข้ามเขตเรือนหลังยังไม่ทันถึงห้องหอ ก็เห็นแม่นางน้อยสองคนคือยาโถ่วและเสี่ยวฮัวสวมชุดสีแดงยืนขวางอยู่สองฟากฝั่งบันได
แม่นางน้อยสองคนนี้ทำงานอยู่ในสกุลลู่มาพักหนึ่งแล้ว พวกนางทำงานอยู่ในห้องครัวเป็หลัก ไม่ว่ามีของดีอะไรเสี่ยวหมี่ก็ยกให้พวกนางกินทั้งหมด ทำให้เกาเหรินอิจฉาริษยาจนโวยวายอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อได้รับการเลี้ยงดูที่ดีเช่นนี้ พวกนางจึงมีเนื้อมีหนังขึ้นถนัดตา และกล้าหาญขึ้นมาก พวกนางเปล่งเสียงพูดดังก้อง
“คุณหนูของพวกเราบอกเอาไว้ว่า หากว่าพี่ชายทุกท่านไม่ไปก่อกวนห้องเ้าสาว ให้ฮูหยินน้อยและคุณชายใหญ่ได้พักผ่อนกันอย่างสบายใจ วันพรุ่งนี้คุณหนูของเราจะทำหมูผัดน้ำแดงให้แทนคำขอบคุณเ้าค่ะ”
“ฮ่าๆ” พวกพรานหนุ่มได้ยินก็หัวเราะออกมา เสี่ยวเตาเป็คนแรกที่ะโออกมา “ไม่ได้นะ แค่หมูผัดน้ำแดงไม่พอหรอก”
แม่นางน้อยทั้งสองสบตากันทีหนึ่งแล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูบอกว่า หากว่าพี่ชายไม่ยินยอมละก็ เช่นนั้นพรุ่งนี้จะให้เกาเหรินไปประมือกับพวกท่านทุกคนแทน”
“หา เสี่ยวหมี่นี่โหดร้ายเสียจริง”
พวกพรานหนุ่มเมื่อได้ยินก็โอดครวญราวกับิญญาโหยหวน พวกเขายอมสู้กับเ้ารองลู่สักสามร้อยตลบ แต่ไม่กล้าหาเื่เกาเหริน เด็กคนนั้นอารมณ์ร้อน ถึงแม้เขาจะไม่ทำร้ายใคร แต่ฝีมือร้ายกาจจัดการได้ยาก เป็คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวยิ่งนัก
“ก็ได้ๆ พวกเรายอมกินหมูผัดน้ำแดงก็ได้”
“ใช่ ขอชามใหญ่เลยนะ”
“ขอหมั่วโถวขาวๆ ด้วย”
เสี่ยวฮัวฉีกยิ้มน่ารัก พยักหน้าตอบรับ “คุณหนูของเราพูดแล้วไม่เคยคืนคำ”
“เด็กคนนี้นี่ เ้าเพิ่งมาอยู่ไม่กี่วันเองนะ”
เสี่ยวเตาเคาะศีรษะแม่นางน้อยทั้งสองไปคนละที จากนั้นก็ผลักพี่ใหญ่ลู่ที่หน้าแดงก่ำไปทีหนึ่ง “พี่ใหญ่รีบเข้าไปเถอะ พี่สะใภ้กำลังรอท่านอยู่นะ วันนี้มีเสี่ยวหมี่คอยปกป้อง พวกเราก็จะไม่เข้าไปวุ่นวายแล้ว ครั้งหน้า...”
“ฮ่าๆ เ้าคิดจะให้พี่ใหญ่รับอนุหรือ?”
เสี่ยวเตาพูดผิดจนถูกสหายพรานคนอื่นหยอกล้อ เขาจึงรีบเอ่ยแก้ว่า “ข้าหมายถึงว่าตอนที่เ้ารองแต่งงาน พวกเราจะต้องเข้าไปสร้างความครื้นเครงให้ได้”
“ความคิดนี้ดี ไม่ว่าใครมาขัดขวาง ครั้งหน้าเราไม่ยอมแน่”
พี่ใหญ่ลู่ถอนหายใจโล่งอก เขาหันกลับไปลูบศีรษะแม่นางน้อยทั้งสองเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า "ขอบคุณพวกเ้ามาก วันหน้าข้าจะซื้อน้ำตาลก้อนมาให้ พวกหนิวเซิ่งก็นั่งแยกโต๊ะกินอาหารกันอยู่ พวกเ้าก็ไปร่วมกับพวกเขาเถอะ”
“ขอบคุณเ้าค่ะ คุณชายใหญ่”
เด็กน้อยทั้งสองแสดงความเคารพด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้ววิ่งหายไปทันที
เหลือพี่ใหญ่ลู่ที่กำลังตื่นเต้นไว้คนเดียว บันไดเพียงหกขั้นเขาเดินขึ้นๆ ลงๆ ไม่ต่ำกว่าแปดครั้งแล้ว จะอย่างไรก็ไม่กล้าเดินไปที่ห้องหอ
เป็เฉินเยว่เซียนที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอก จึงเอ่ยปากออกไปอย่างทนไม่ไหวว่า “ตกลงท่านจะเข้ามาหรือไม่ เครื่องประดับศีรษะนี่หนักเหลือเกิน คอข้าแทบจะหักอยู่แล้ว”
“ข้า ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้”
พี่ใหญ่ลู่ได้ยินก็ไม่กล้าชักช้าอีก ระหว่างที่รีบสาวเท้าไปเหมือนจะได้ยินเสียงขบขันจากทางด้านหลัง แต่หันไปมองแล้วก็ไม่เห็นใคร จึงรีบเปิดประตูเข้าห้องไป...
บนต้นไม้ที่มุมเรือน เฝิงเจี่ยนใช้เสื้อคลุมกันลมห่อร่างเสี่ยวหมี่เอาไว้ พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ได้เห็นก็วางใจได้แล้วกระมัง กลับกันเถอะ อากาศกลางคืนมันหนาวนะ”
เสี่ยวหมี่หัวเราะขบขัน นางซุกอยู่ในอ้อมแขนของเฝิงเจี่ยนพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตา “นิสัยของพี่ชายข้าช่างทำให้คนเป็ห่วงจริงๆ ยามนี้ได้ภรรยาที่ร้ายกาจ วันหน้าข้าคงไม่ต้องปวดหัวแล้ว”
เฝิงเจี่ยนก้มหน้าลงมองนาง เขาใช้ปลายจมูกชนหน้าผากของนางเบาๆ รู้สึกสับสนในใจยิ่งนัก
เสี่ยวหมี่เองก็รับรู้ได้เช่นกัน จู่ๆ ก็ถามออกมาว่า “พี่ใหญ่เฝิง ท่านมีอะไรจะพูดใช่หรือไม่?”
เฝิงเจี่ยนแข็งค้างไป ตอนที่คิดจะพูดอะไรอยู่นั้น หนิ่วเซิงก็วิ่งออกมาโดยในมือยังถือหมั่นโถวเอาไว้ ะโว่า “คุณหนูๆ นายท่านเรียกหาขอรับ”
เสี่ยวหมี่กลัวว่าเสียงนี้จะไปรบกวนคนทั้งสองในห้องหอ รีบแสดงท่าทีบอกให้เฝิงเจี่ยนพานางลงไป คนทั้งสองร่อนลงพื้นอย่างช้าๆ หนิวเซิ่งเห็นแล้วก็ตื่นตระหนก เขาเบิกตาโตอย่างใแต่มือที่ถือหมั่นโถวกลับยังกำแน่นไม่ปล่อย
เสี่ยวหมี่เคาะหน้าผากเขาไปทีหนึ่ง ถามเสียงเบาว่า “มีเื่อะไร”
“แขกที่เรือนคุณธรรมกำลังทยอยกลับกันแล้วขอรับ นายท่านให้มาถามว่ากล่องของฝากเตรียมเสร็จแล้วหรือยังขอรับ”
เสี่ยวหมี่รีบตอบว่า “เตรียมเสร็จแล้ว ข้าจะไปเอามาให้เดี๋ยวนี้”
“ขอรับ”
หนิวเซิ่งตอบรับแล้ววิ่งหายไปทันที เสี่ยวหมี่เองก็ไม่มีเวลามาสนทนากับเฝิงเจี่ยนต่อแล้ว นางโบกมือให้เขาแล้วรีบออกจากเรือนไป
เฝิงเจี่ยนหันกลับไปมองห้องหอที่ยามนี้คงอบอวลไปด้วยความรัก ในใจรู้สึกริษยาเล็กน้อย ไม่รู้เมื่อใดเขาถึงจะได้กอดหญิงงามอันเป็ที่รักไว้ในอ้อมแขนบ้าง...
โลกนี้ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา ความครึกครื้นเมื่อคืนนี้ เมื่อพระอาทิตย์ของวันใหม่มาเยือนก็หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
คนในหมู่บ้านที่เมื่อวานนี้ยังเมามายไม่ได้สติ ยังคงตื่นแต่เช้าขึ้นมาสร้างเรือนกระจกต่อ พวกผู้หญิงกลับไปทำงานที่โรงทำแป้ง เด็กๆ หิ้วท้องนั่งท่องตำราตามบิดาลู่อยู่ในห้องเรียน พลางเหล่ตาไปทางห้องครัวแอบทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นหอม แล้วอดลูบท้องตัวเองไม่ได้...
ที่โถงรับรองกลางเรือนสกุลลู่ พี่ใหญ่ลู่กำลังประคองภรรยานั่งคุกเข่ายกน้ำชาให้บิดาลู่
เมื่อคืนบิดาลู่ยังไม่คิดอะไรมาก แต่มาวันนี้เห็นบุตรชายและบุตรสะใภ้อยู่ด้วยกันเป็คู่ ทำให้นึกถึงภรรยาที่จากไปแล้วยิ่งนัก หากนางยังอยู่ไม่รู้ว่าจะสุขใจเพียงใด
บุตรชายสามคนบุตรสาวหนึ่งคน ถึงแม้พวกเขาสามีภรรยาจะกังวลเื่ของบุตรสาวคนเล็กที่สุด แต่บุตรชายก็คือคนที่จะสืบทอดสายเืของตระกูลต่อไป ย่อมต้องให้ความสำคัญมากเช่นกัน
ยามนี้บุตรชายคนโตแต่งงานแล้ว อีกไม่นานก็คงต้องหมั้นหมายให้เ้ารองได้แล้ว ส่วนเ้าสามหากสอบเข้ารับราชการได้สำเร็จถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องห่วงแล้ว เหลือก็แต่บุตรสาวคนเล็ก
บิดาลู่หันไปมองบุตรสาวคนเล็กที่นั่งอยู่ไกลสุด สายตาเขาเลื่อนลอย แฝงไว้ด้วยความรักใคร่ สงสาร และร้อนใจปะปนอยู่...
เฝิงเจี่ยนเงยหน้าขึ้นเห็นสายตานั้นเข้าพอดี ใจเขากระตุกเล็กน้อย ความรู้สึกแปลกๆ ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้หวนกลับมาอีกครั้ง ตกลงมันเื่อะไรกันแน่ที่ทำให้บิดาลู่มีท่าทีแปลกๆ เช่นนี้บ่อยครั้ง หรือว่าร่างกายของเสี่ยวหมี่มีปัญหาอะไร ถึงทำให้เขาต้องร้อนใจเช่นนี้
เสี่ยวหมี่เองก็นึกแปลกใจว่าเหตุใดบิดาถึงไม่รับน้ำชาจากพี่ชายและพี่สะใภ้เสียที แต่กลับมาจ้องนางอย่างเหม่อลอย จึงกระแอมเบาๆ เอ่ยเตือนว่า “ท่านพ่อ พี่สะใภ้ใหญ่กำลังยกน้ำชาให้ท่านนะเ้าคะ”
“อ้อ” บิดาลู่ดึงสายตากลับมาเห็นว่าในมือของสะใภ้คนโตที่ถือน้ำชาอยู่กำลังสั่นน้อยๆ เขาก็รู้สึกผิดเล็กน้อย รีบรับถ้วยชามาแล้วดื่มหมดในคราวเดียว จากนั้นก็หยิบถุงผ้าสีสวยที่เสี่ยวหมี่เตรียมไว้ให้ก่อนหน้านี้ส่งไปให้นาง
เฉินเยว่เซียนเปลี่ยนมาเกล้าผมขึ้นแบบสตรีที่ออกเรือนแล้ว นางสวมอาภรณ์สีแดงสดปักลายที่ขอบกระโปรงและแขนเสื้อด้วยด้ายทอง ยังคงสวมรองเท้าหัวประดับไข่มุกคู่เดิม สีหน้านางมีความเขินอายน้อยๆ ยิ่งขับเน้นให้ดูงดงามขึ้นอีกสามส่วน
เมื่อครู่ที่พ่อสามีไม่รับน้ำชาเสียที ทำให้นางกังวลใจเป็อย่างมาก ยามนี้เมื่อถือถุงผ้าที่มีน้ำหนักอยู่ในอุ้งมือ ก็ค่อยๆ วางใจลง
จากนั้นก็เป็คราวนางมอบของขวัญให้น้องๆ บ้าง คนแรกคือเ้ารองลู่ เมื่อคืนนี้ในงานแต่งงานของพี่ใหญ่ เขาเอาแต่นึกถึงเสี่ยวเอ๋อที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน จึงเอาแต่กรอกสุราจนเมามาย เช้านี้ตื่นมาทั้งๆ ที่ยังวิงเวียนศีรษะอยู่ เขารับอาภรณ์ชุดใหม่เนื้อดีจากพี่สะใภ้มาพร้อมคารวะอย่างไม่ค่อยเรียบร้อยนักแล้วจึงนั่งลงตามเดิม
เ้าสามไม่อยู่บ้าน แต่เยว่เซียนก็ไม่ลืมอาภรณ์ชุดใหม่ที่เป็ส่วนของเขา นางวางไว้บนโต๊ะ ส่วนอาภรณ์ใหม่ของเสี่ยวหมี่นางตั้งใจจัดเตรียมเป็พิเศษ ทำออกมาประณีตกว่าชุดอื่นๆ ทั้งยังปักผ้าเช็ดหน้าลายดอกบัวสีเข้ากันกับชุดให้นางอีกผืนหนึ่งด้วย
เสี่ยวหมี่ชอบใจมาก นางจับมือพี่สะใภ้พลางเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม “พี่สะใภ้ ขอบคุณมากเ้าค่ะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าฝีมือเย็บปักของท่านเป็เลิศ แต่คิดไม่ถึงว่าจะโดดเด่นถึงเพียงนี้ วันหน้าอาภรณ์ของคนในบ้านเราคงต้องยกให้เป็หน้าที่ท่านแล้ว ให้ข้าได้พักบ้าง ให้ข้าเข้าครัวยังพอไหว แต่เื่เย็บปักถักร้อยนี่ไม่ไหวจริงๆ เ้าค่ะ”
เยว่เซียนยิ้มแล้วพยักหน้า “ได้ วันหน้าก็ให้เป็หน้าที่ของข้า”
พูดจบก็แสดงท่าทีบอกให้สาวใช้สองคนที่ติดตามมาจากบ้านเดิมเดินเข้ามา นางยิ้มเอ่ยว่า “พวกนางคือปี้เหอและหงเหมย วันหน้าหากน้องหญิงมีเื่ใดอยากใช้สอยพวกนางก็เรียกได้ไม่ต้องเกรงใจ”