“รู้แล้วเ้าค่ะ รู้แล้วเ้าค่ะ” อวิ๋นซีโบกๆ มือพูดด้วยท่าทีรำคาญใจ “ถ้าไม่คิดจะรั้งอยู่กินข้าวที่นี่ละก็ เช่นนั้นท่านก็รีบไปเถอะ ดูสิพวกท่านแต่ละคนทำราวกับว่าจวนหนิงอ๋องของข้าเป็สถานที่ที่มีโรคระบาด”
จี้หยวนเห็นท่าทางนางเช่นนี้ก็อดขำไม่ได้ จากนั้นก็ส่ายศีรษะแล้วจากไป มิใช่ว่าตัวเขาไม่อยากจะรั้งอยู่ที่จวนหนิงอ๋องเป็เพื่อนพุดคุยกับน้องสาวคนนี้ เพียงแต่เขาเป็คนที่ภักดีต่อฮ่องเต้ หากรั้งอยู่ที่นี่นานเกินไป ไม่แน่ว่าอาจถูกคนนำเื่นี้ไปใช้ประโยชน์ และหากตนถูกคนลากลงมาจากตำแหน่ง ในวันหน้าหากจวนหนิงอ๋องนี้มีเื่อันใดเกิดขึ้น เขาก็ไม่อาจช่วยเหลือได้แล้ว
สถานการณ์เช่นนี้เป็สิ่งที่เขาไม่อยากเห็นเป็ที่สุด ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องนั่งอยู่ในตำแหน่งของเสนาบดีกรมพระคลังให้มั่นคง สิ่งนี้นับว่าสำคัญกับเขามาก และสำคัญกับจวนหนิงอ๋องมากเช่นกัน
เมื่อจี้หยวนไปแล้ว จวนอ๋องแห่งนี้ก็ต้องต้อนรับการมาเยือนของแขกอีกคน นั่นก็คือหลิ่วหว่านหรงที่ไม่ได้เจอมาหลายวัน ทว่า สิ่งที่นางคิดไม่ถึงก็คือ ห่างไปไม่กี่วันพอได้มาเจอกันอีกครั้ง กลับเป็อวิ๋นซีที่แทบจะจำหลิ่วหว่านหรงไม่ได้
“เหตุใดเ้าถึงเป็เช่นนี้? ” นางรีบยืนขึ้นถาม ์ แค่ไม่ได้เจอกันไม่กี่วันเท่านั้น หลิ่วหว่านหรงที่เมื่อก่อนมีเนื้อหนังนุ่มนิ่มเล็กน้อย แต่ตอนนี้แค่ลมพัดมาเบาๆ คนก็คงจะปลิวไปได้แล้ว
หลิ่วหว่านหรงจับมือนางแล้วพูดขึ้น “พี่หญิงอวิ๋น ท่านต้องช่วยข้านะ” เมื่อพูดจบ หลิ่วหว่านหรงก็ร้องไห้ออกมา
อวิ๋นซีตบหลังมืออีกฝ่ายเบาๆ นางถาม “หว่านหรง อย่าร้องเลย บอกข้ามาเถิดว่าเกิดเื่อันใดขึ้นกับเ้ากันแน่ ไม่แน่ว่าพี่หญิงอาจมีวิธีช่วยเ้าแก้ปัญหา”
หลิ่วหว่านหรงโถมกายเข้าไปในอ้อมแขนของอวิ๋นซี ก่อนจะตอบด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “ท่านปู่บอกว่า ก่อนปีใหม่อวี๋อ๋องจะกลับเข้าเมืองหลวง ท่านจะให้ข้าแต่งให้อวี๋อ๋องซื่อจื่อ”
อวิ๋นซีถึงกับเบิกตากลมโต “หลิ่วเก๋อเหล่าคิดจะดองกับจวนอวี๋อ๋อง? ” หากอวี๋อ๋องกำลังจะกลับมาเมืองหลวง อีกทั้งยังเป็่ปีใหม่พอดี ถ้าเป็เช่นนั้นก็หมายความว่าหลิงเยว่เซวียนเองก็จะกลับมาเมืองหลวงด้วย ใช่หรือไม่
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ในใจนางก็ปรากฏความไม่สบายใจอันเข้มข้นผุดขึ้นมา ดูเหมือนว่า ขอแค่หลิงเยว่เซวียนกลับมาเมืองหลวง เื่ไม่ดีบางอย่างก็จักต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ฉับพลันนั้นนางก็คิดถึงเื่ราวในอดีตระหว่างหลิงเยว่เซวียนกับเจิ้งอ๋อง ความมืดดำวาบผ่านในดวงตานาง ดูท่า คนของจวนเจิ้งอ๋องจะเก็บไว้ต่อไปไม่ได้แล้ว
“อืม ข้าเองก็เพิ่งจะทราบเื่นี้เมื่อสองวันก่อน ก่อนหน้านี้ ท่านปู่ไม่แจ้งข่าวให้ข้ารู้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งตอนนี้อวี๋อ๋องทั้งครอบครัวกำลังจะกลับเข้าเมืองหลวงแล้ว พี่หญิงอวิ๋น ข้าไม่อยากแต่งให้ใคร นอกจากอวิ๋นไห่จริงๆ ” หลิ่วหว่านหรงรู้สึกว่าโลกทั้งใบของนางกำลังจะพังทลายลง อวี๋อ๋องซื่อจื่ออะไรนั่น นางไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้า นางไม่อยากแต่งให้กับคนที่ตนไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย
อวิ๋นซีถอนใจเบาๆ “หว่านหรง อันที่จริงฮ่าวฟานเป็คนดีมากๆ อีกทั้ง ข้าเชื่อว่า หากท่านปู่เ้าเลือกให้เ้าแต่งให้เขา ทุกสิ่งย่อมต้องดีมากแน่ๆ ถึงกระนั้นพวกเราก็ลองไปเจออวี๋อ๋องซื่อจื่อกันก่อนดีหรือไม่ และหากเ้าไม่สามารถชอบเขาได้จริงๆ พี่หญิงจักต้องช่วยเ้าไม่ให้การแต่งงานในครั้งนี้สำเร็จอย่างแน่นอน”
ฮ่าวฟานเป็น้องชายต่างบิดาของนาง หากให้พูดตามจริง นางเองก็ชอบน้องชายที่มีจิตใจบริสุทธิ์ผู้นั้นจริงๆ ส่วนแม่นางหว่านหรงผู้นี้นางก็ชอบมากเช่นกัน ทว่า หากนางชอบแล้วจะมีประโยชน์อันใด สิ่งที่สำคัญคือ พวกเขาทั้งสองต้องชอบพอกันต่างหาก
หลิ่วหว่านหรงคิดไม่ถึงว่าอวิ๋นซีจะพูดเช่นนี้ นางขบคิดเล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “ในเมื่อพี่หญิงอวิ๋นพูดเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะยอมไปเจอเขาสักหน่อย เพียงแต่หว่านหรงอยากบอกให้พี่หญิงอวิ๋นทราบเสียั้แ่ตอนนี้ว่า ในใจข้ามีเพียงอวิ๋นไห่ผู้เดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ต่อให้จะเยี่ยมยอดสักแค่ไหน ข้าก็ไม่มีทางชอบ”
มิคาดว่าหลิ่วหว่านหรงจะยึดติดในรักแรกถึงเพียงนี้ อวิ๋นซีจึงได้แต่ถอนใจอย่างปลงๆ “เื่บางเื่ พี่หญิงเองก็ทำได้แค่ให้คำแนะนำ ส่วนเ้าจะไปเจอฮ่าวฟานหรือไม่ ล้วนเป็เ้าที่ต้องเลือกเอง”
หลิ่วหว่านหรงเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดขึ้นด้วยความหนักแน่นเด็ดเดี่ยว “พี่หญิงอวิ๋น จะอย่างไรท่านก็ช่วยคิดหาวิธีพูดคุยกับท่านปู่ให้ข้าด้วยเถิดเ้าค่ะ ข้าแน่ใจแล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรชายผู้นั้นก็ต้องเป็อวิ๋นไห่ หากชาตินี้ไม่อาจแต่งให้อวิ๋นไห่ได้ ข้าหลิ่วหว่านหรงก็ยินดีจะอยู่ใต้พระพุทธรูปโบราณเพียงลำพังไปชั่วชีวิต ดังนั้น อวี๋อ๋องซื่อจื่อนั่น ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปพบเขา”
เมื่อได้ยินคำของหลิ่วหว่านหรง อวิ๋นซีก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คนผู้นั้นที่นางชอบ อวิ๋นซีรู้แล้วว่าเป็ผู้ใด คนเป็บุตรชายคนเล็กของอวิ๋นอานโหว ผู้มีนามว่าอวิ๋นไห่ ตอนที่เขาอายุยังน้อยมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ในศึกเดียว ทว่า สุดท้ายเป็เพราะอาการาเ็ที่ฝังลึกถึงหัวใจ ทำให้ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจใช้ดาบใช้ทวนหรือใช้วรยุทธ์ได้อีก เขาจึงทำได้แค่ต้องรักษาตัวให้ดี มิเช่นนั้นอาจมีอันตรายถึงชีวิต
มิคาดว่าหลิ่วหว่านหรงจะชอบพอบุรุษที่อายุมากกว่านางเพียงนั้น ทั้งยังแน่วแน่เพียงนี้อีกด้วย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าระหว่างพวกเขาเกิดอะไรขึ้น แต่นางก็ไม่อยากเห็นหว่านหรงเสียใจ
ส่วนฮ่าวฟานนั้น นางคิดว่าไม่มีความจำเป็ให้ต้องรีบร้อนแต่งงานสักนิด เพราะเขาเพิ่งจะอายุสิบกว่าปี ยังไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ ตามความคิดเห็นของนาง หากคนสองคนที่ยังไม่เป็ผู้ใหญ่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ชีวิตในอนาคตของพวกเขาจะย่ำแย่สักเพียงใด
เมื่อส่งหลิ่วหว่านหรงกลับไปแล้ว นางก็ออกไปข้างนอกเช่นกัน วันนี้นางไปยังที่ตั้งของหอรุ่งอรุณในเมืองหลวง และได้เจอกับหลิงอี นางเอ่ยถามเขา “ครอบครัวของอวี๋อ๋องเดินทางมาเมืองหลวงแล้วหรือ? ”
หลิงอีพยักหน้ารับ “ถูกต้อง น่าจะมาถึงเมืองหลวงภายในวันสองวันนี้ ทว่า นอกจากจวนอวี๋อ๋องแล้วก็ยังมีไทเฮาและผู้ติดตามที่ก็จะกลับมาแล้วเช่นกัน”
อวิ๋นซีขบคิดเงียบๆ ไปครู่หนึ่งก็เข้าใจในทันที อย่างไรก็ตาม วันที่สิบหกเดือนหนึ่งถือเป็วันพระราชสมภพของเสี้ยวเหวินตี้ ดูท่า เหตุที่ไทเฮาและอวี๋อ๋องกลับมาคงเพราะเื่นี้ ดังนั้น อีกไม่นานเกินรอ นางก็จะได้เจอกับหวานหว่านแล้ว ครอบครัวของนางจะได้ขึ้นปีใหม่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง
“นอกจากเื่นี้แล้ว ่นี้ในเมืองหลวงมีข่าวคราวอันใดอีกบ้างหรือไม่? ” ั้แ่ที่กลับมาจากการพักผ่อนที่บ่อน้ำร้อน นางก็ติดต่อกับคนในหอรุ่งอรุณค่อนข้างน้อย ส่วนวันนี้ที่มาก็เพียงเพราะ้าทราบเื่ที่จู่ๆ ครอบครัวอวี๋อ๋องก็จะเดินทางเข้าเมืองหลวง ด้วยเื่นี้ นางทั้งแปลกใจ และยังเป็กังวล ด้วยเกรงว่าจะเกิดเื่อันใดขึ้น
หลิงอีตอบ “หลังปีใหม่พวกเจิ้นหนานอ๋องจะมาถึงเมืองหลวง รวมถึงเหล่าราชทูตจากแคว้นต่างๆ เองก็จะมาถึง่นั้นด้วยเช่นกัน” เดิมทีเื่เหล่านี้เขาคิดว่าจะให้ผ่านไปสักสองสามวันก่อนแล้วค่อยไปบอกนาง คิดไม่ถึงว่ายามนี้นางจะมาเอง
เมื่ออวิ๋นซีฟังแล้ว ก็พูดขึ้นเรียบๆ “ดูท่า เมืองหลวงแห่งนี้จะครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้งแล้ว”
หลังจากออกไปแล้ว นางก็ให้หลิงอีส่งคนไปปกป้องครอบครัวอวี๋อ๋องอย่างลับๆ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเกิดเื่อะไรขึ้นทั้งสิ้น โดยเฉพาะชายาอวี๋อ๋อง และแม้ว่าหลิงอีจะไม่เข้าใจในการกระทำของนาง แต่ก็ยังทำตามคำสั่ง
อวิ๋นซีไปจากหอรุ่งอรุณ และได้เห็นลู่อวี้ฉิง หรือสือซืออิ๋งที่พาสาวใช้ออกมาเดินตลาดโดยบังเอิญ ตอนนี้อีกฝ่ายสวมอาภรณ์สีแดงพร้อมด้วยเสื้อคลุมกันลมสีแดง ทั่วทั้งร่างแต่งกายอย่างประณีตหรูหราแตกต่างกับในตอนนั้นที่ได้เจอกันเป็ครั้งแรกโดยสิ้นเชิง
มุมปากของอวิ๋นซีโค้งขึ้นน้อยๆ เป็รอยยิ้มเ็า ตอนนี้สำหรับตระกูลลู่ นางยังไม่อยากเข้าไปแตะต้อง เพราะนาง้าตัดปีกอื่นๆ ของโอวหยางเทียนหัวทิ้งไปก่อน ด้วยหวังจะให้คนตระกูลลู่ได้เห็นบรรดาผู้ที่ภักดีต่อรัชทายาทเหมือนอย่างพวกเขาค่อยๆ ถูกกำจัดทิ้งไป ส่วนคนตระกูลลู่นั้นก็ได้แต่ต้องเฝ้ารอการมาถึงของเทพแห่งความตาย
แท้จริงแล้ว สำหรับโลกใบนี้ความตายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ่ที่ต้องรอให้ความตายมาเยือนนั่นเอง ความน่ากลัวนั้น จักทำให้เมื่อต้องหวนคิดย้อนกลับครั้นอยู่ในชาติถัดไปก็ยังอดไม่ได้ให้ต้องอกสั่นขวัญแขวน เพราะตอนนั้นตัวนางเองก็ได้ลิ้มลองรสชาติของความสะพรึงนั้นไปแล้ว
เช่นเดียวกับความสิ้นหวังที่นางเองก็จะทำให้คนตระกูลลู่ทั้งหมดได้รู้สึกด้วยเช่นกัน