มารดาของเหยาเชียนเชียนเป็หญิงขับร้องคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นางโลม แต่สุดท้ายก็เป็เพียงนักแสดงชั้นต่ำคนหนึ่ง และเพราะเหยาซื่อเฟิงใช้เหตุผลนี้ในยามนั้น ดังนั้นเขาจึงเลือกสถานที่แห่งนี้ใช้ฝังศพของนางอย่างลวกๆ
เหยาเชียนเชียนคิดว่าที่จริงแล้ว การฝังมารดาไว้ในสุสานบรรพชนของตระกูลเหยาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก
ได้ยินมาว่ามารดาของนางโดดเดี่ยวมาตลอดชีวิต ทั้งยังถูกเหยาซื่อเฟิงไถ่ตัวโดยไม่เต็มใจ หากตายไปแล้วสามารถหลุดพ้นจากตระกูลเหยาได้ก็น่าจะเป็เื่ดี แต่ยามนี้เหยาซื่อเฟิงกลับจะนำกระดูกของนางย้ายเข้าไปในสุสานบรรพชนอย่างกะทันหัน และ้าจัดวางไว้เพื่อสักการะ
ในที่แห่งนั้น คนตระกูลเหยาหลายรุ่นล้วนอยู่ข้างกายท่านแม่ คอยเฝ้าดูนางอยู่ทุกคืนวัน พอคิดดูแล้วก็ไม่น่าเป็สุขนัก
“ข้าไม่ไปหรอก” เหยาเชียนเชียนขยำจดหมายเป็ก้อนกลมๆ และโยนออกไปนอกประตู ทว่าไปโดนชิงผิงอ๋องที่เพิ่งเดินผ่านประตูเข้ามาพอดี
“ท่านอ๋อง!”
เหยาเชียนเชียนวิ่งเหยาะๆ เข้าไปอย่างรู้สึกผิด นางแสร้งทำเป็ลูบเบาๆ “เจ็บหรือไม่เพคะ หม่อมฉันไม่ได้ระวังเอง พระองค์รีบนั่งลงให้หม่อมฉันดูหน่อยเถิดเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่ถูกนางประจบประแจงเกินเหตุจนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก จึงทำได้เพียงปล่อยให้นางกดตัวลงบนเก้าอี้ และเพลิดเพลินไปกับปลายนิ้วอ่อนนุ่มที่นวดคลึงอยู่บนหน้าผากอย่างแ่เบา
“โยนอะไรมา” เขาเอ่ยถาม “โตขนาดนี้แล้ว เหตุใดถึงยังโยนสิ่งของตามใจชอบราวกับเป็เด็กน้อยอยู่อีกเล่า”
เหยาเชียนเชียนเม้มริมฝีปากและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่านางจะไม่มีสิ่งใดลำบากใจที่จะพูด ดังนั้นจึงหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมา รีดให้เรียบและยื่นให้เขาอ่าน
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเพคะ” นางยู่ปาก “ท่านแม่ของหม่อมฉันเสียชีวิตไปนานเพียงใดแล้ว แต่เขาเพิ่งคิดได้ว่าต้องนำท่านแม่ย้ายกลับไปที่สุสานบรรพชน พระองค์ลองคิดดูสิเพคะ เป็ไปไม่ได้เลยที่ใต้เท้าเหยาจะเพิ่งค้นพบมโนธรรม ทำให้รู้สึกว่าเขาคงไม่ได้ใส่ใจดูแลและรู้สึกผิดต่อท่านแม่หรอกกระมัง เขาน่าจะมีแผนการบางอย่างแน่นอน”
เป่ยเหลียนโม่จิ้มปลายจมูกของเหยาเชียนเชียนเบาๆ กล่าวต่อว่าพ่อของตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
ทว่าเหยาซื่อเฟิงผู้นั้นเป็คนของเป่ยเซวียนเฉิง กระทำเื่เช่นนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหันก็น่าสงสัยจริงๆ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน่นี้ก็มีเพียงเื่พิษจื่อหมู่กู่ที่ทำให้พวกเขาร้อนใจอยู่หลายส่วน
เป่ยเซวียนเฉิงและเหยาซื่อเฟิงน่าจะรู้ว่าบ่าวผู้นั้นตายแล้ว พิษจื่อหมู่กู่จึงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ดังนั้นหาก้าควบคุมเหยาเชียนเชียน พวกเขาจะต้องเปลี่ยนเป็วิธีอื่น
เป่ยเหลียนโม่มองไปที่หญิงสาวตัวเล็กข้างกาย เขาเพิ่งใกล้ชิดกับนางขึ้นมาได้บ้างเล็กน้อย หากเป่ยเซวียนเฉิงหลอกลวงนางอีกครั้ง เช่นนั้นเขาไม่ต้องกอดคอร้องไห้ไปพร้อมกับอาเหยียนหรือ?
“เป็เช่นนี้ดีแล้ว พรุ่งนี้เปิ่นหวังกับหวังเฟยไปด้วยกัน มีเปิ่นหวังอยู่ด้วย หวังเฟยไม่ต้องเป็กังวลใดๆ”
เหยาเชียนเชียนชะงักไปครู่หนึ่งและกล่าวอย่างลังเลว่าอันที่จริงนางไม่อยากไปเลย นางบอกความคิดที่มีต่อผู้เป็แม่ว่า มิสู้ให้ท่านแม่ได้นอนหลับอย่างสงบอยู่ข้างนอก และไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเหยาอีกเลยจะดีที่สุด
เป่ยเหลียนโม่ดึงนางให้นั่งลงข้างๆ เขาไม่เคยคิดเลยว่าแท้จริงแล้วเหยาเชียนเชียนจะซ่อนความคับข้องใจต่อการตายของมารดาผู้ให้กำเนิดไว้มากมายเพียงนี้ เหยาซื่อเฟิงก็ถือเป็บุคคลที่มีหน้ามีตา ในยามต้นเขาไม่อนุญาตให้มารดาผู้ให้กำเนิดของเหยาเชียนเชียนได้เข้าไปอยู่ในสุสานบรรพชน คาดว่าเขาคงรังเกียจสถานะของนางเป็แน่
เหยาซื่อเฟิงสามารถหลอกใช้เหยาเชียนเชียนอย่างโเี้ได้ก็คงไม่ได้คำนึงถึงมารดาผู้ให้กำเนิดของนางเช่นกัน เขาตั้งใจหลอกใช้บุตรสาวของตัวเองอย่างเต็มที่
“นางเป็คนของตระกูลเหยาแล้ว หากหลังจากนางตายไปแล้วต้องถูกทิ้งให้อยู่ข้างนอกเพียงลำพัง ผู้ใดจะสักการะและดูแลหลุมศพของนางเล่า ยามนี้เจตนาของเ้าชัดเจนเกินไป หากมีคนรู้เื่นี้เข้าคงมีแต่จะคิดว่าเ้าขัดขวางการย้ายแม่ของเ้าไปยังสุสานบรรพชน นับเป็การกระทำที่ถือว่าอกตัญญูเป็อย่างยิ่ง”
เหยาเชียนเชียนเม้มริมฝีปาก ถึงจะกล่าวเช่นนั้น ทว่าชื่อเสียงของนางกลับกลายเป็ยุ่งเหยิงมาตั้งนานแล้ว และมันก็คงไม่แย่ไปกว่านี้หรอก
“พรุ่งนี้เปิ่นหวังจะไปกับเ้า หากเขามีแผนจะทำอะไร หากมีเปิ่นหวังอยู่ด้วยเขาก็ต้องพะว้าพะวังอยู่บ้าง พาแม่ของเ้ากลับไปยังสุสานบรรพชนเถิด นั่นเป็เกียรติที่นางสมควรได้รับ”
‘สมควรได้รับ’ คำนี้ะเือารมณ์ของเหยาเชียนเชียนอย่างยิ่ง
ใช่ มารดาผู้ให้กำเนิดของนางตายไปแล้ว และถูกแต่งตั้งเป็คนของตระกูลเหยาั้แ่เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นเหตุใดเมื่อตายจากไปแล้วพวกเขาถึงไม่เคารพสักการะท่านแม่
“ท่านอ๋องกล่าวถูกต้องแล้วเพคะ ต้องโทษหม่อมฉันที่คิดผิดพลาดไปชั่วขณะ มันสมควรที่จะเป็เช่นนั้นเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่ยิ้ม เมื่อเห็นว่านางยังคงใจลอยอยู่บ้างจึงกล่าวขึ้นว่าเขาเริ่มหิวแล้ว เหยาเชียนเชียนจึงลุกขึ้นทันทีและไปยังห้องเครื่องเล็กเพื่อนำอาหารมาให้ หลังจากนางเดินออกไปแล้ว ชิงผิงอ๋องก็ค่อยๆ เดินไปยังข้างเตียง
ใต้ผ้าห่ม ตราประทับแท่งหนึ่งยังคงวางอยู่ตรงนั้น
คาดไม่ถึงว่าผ่านมาหลายวันแล้วนางก็ยังไม่ได้เปลี่ยนสถานที่เก็บมันให้ดี ชิงผิงอ๋องหยิบมันมาเก็บไว้ในแผ่นอกอย่างไม่มีทางเลือก นอกจากนี้ตั๋วเงินเมื่อครั้งก่อนนางก็ซ่อนไว้ตรงนี้ด้วยเช่นกัน เหตุใดถึงเป็เช่นนี้ไปได้ ไยจึงเป็คนไม่ระมัดระวังเช่นนี้
ตราประทับนี้เขาจะเก็บไว้แทนนางเอง เขาจะซ่อนมันไว้อย่างดี ไม่มีทางทำตามใจนึกเช่นนางอย่างแน่นอน
เก็บไว้ข้างตัวเขาย่อมปลอดภัยกว่า อย่างน้อยก็จะไม่มีผู้ใดหาเจอหากเขาไม่้าให้ค้นพบ
เหยาเชียนเชียนยกขนมสองจานเดินเข้ามา ในใจยังคงคิดถึงเื่ในวันพรุ่งนี้ การมีชิงผิงอ๋องอยู่ด้วยทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อยก็จริง เพียงแต่ทวนที่รู้ที่มาหลบง่าย เกาทัณฑ์ที่แอบยิงมาป้องกันยาก [1] นางไม่อยากทำให้อีกฝ่ายพลอยเดือดร้อนไปด้วย
เหยาเชียนเชียนมองเป่ยเหลียนโม่กินขนมตาปริบๆ และกล่าวอย่างลังเลว่า “ท่านอ๋อง พรุ่งนี้พระองค์ต้องระวังด้วยนะเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่มองนางด้วยความประหลาดใจ นางเป็ห่วงเขา นั่นเป็สัญญาณที่ดี
“ท่านอ๋องทรงเป็คนเปิดเผยบริสุทธิ์ ย่อมไม่มีทางใช้เล่ห์เหลี่ยมสกปรกเ่าั้ แต่พระองค์ได้โปรดอย่าเป็อะไรไปเพราะหม่อมฉันเลย มันไม่คุ้มค่าเลยนะเพคะ”
“เ้าเป็หวังเฟยของเปิ่นหวัง การที่เปิ่นหวังทำอะไรสักอย่างเพื่อเ้าก็ล้วนเป็สิ่งที่สมควรแล้ว” เขายิ้มบาง “ยิ่งไปกว่านั้น เ้าควรเชื่อใจเปิ่นหวังด้วย”
เหยาเชียนเชียนพยักหน้าทั้งใบหน้าแดงเรื่อ เชื่อใจหรือ ระหว่างพวกเขาสามารถไว้วางใจกันและกลายเป็ที่พึ่งพาอาศัยกันได้แล้วหรือ?
บรรยากาศเงียบสงบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเจือจาง ความฝันของเหยาเชียนเชียนในค่ำคืนนี้ฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของขนม
วันรุ่งขึ้น ชิงผิงอ๋องเดินทางไปยังจวนสกุลเหยากับนางด้วยจริงๆ ก่อนออกเดินทางอาเหยียนบอกว่าเขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย และขอให้ผู้เป็พ่อดูแลท่านแม่ให้ดี
“อาเหยียนพูดอะไรกับท่านอ๋องหรือเพคะ อีกทั้งยังกระซิบกระซาบไม่ยอมให้หม่อมฉันได้ยินด้วย” เหยาเชียนเชียนกล่าวติดตลก
เป่ยเหลียนโม่ยืนอยู่ข้างรถม้า เขาช่วยพยุงนางขึ้นรถม้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อาเหยียนบอกว่าจะให้เปิ่นหวังยืมตัวเ้าชั่วคราว และให้คืนเ้าไปโดยเร็วที่สุด"
หูของเหยาเชียนเชียนขึ้นสีแดงเล็กน้อย นางตอบรับคำหนึ่งอย่างเขินอายก่อนจะมุดเข้าไปในรถม้า เป่ยเหลียนโม่อารมณ์ดีไม่น้อย เขาะโขึ้นบนหลังม้าและมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลเหยาพร้อมกัน
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง เหยาซื่อเฟิงก็เห็นเป่ยเหลียนโม่อยู่เบื้องหน้า โดยมีรถม้าคันหนึ่งตามมาข้างหลัง ยังไม่ทันได้คิดว่าเหตุใดชิงผิงอ๋องถึงได้ติดตามมาด้วย พริบตาเดียวเขาก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว เหยาซื่อเฟิงจึงสั่งให้ทุกคนในจวนออกมารับเสด็จ
“ท่านอ๋องเสด็จมาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เหยาซื่อเฟิงก้าวไปข้างหน้าแล้วกล่าวว่า “เดิมทีนี่เป็เื่ภายในจวนเท่านั้น มิควรลำบากท่านอ๋องเลย”
เมื่อลงจากหลังม้าแล้วเป่ยเหลียนโม่ก็ตรงไปที่รถม้าและยื่นมือไปพยุงเหยาเชียนเชียนลงมาอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็มองไปยังเหยาซื่อเฟิง
“กิจในครอบครัวของหวังเฟย ย่อมเป็กิจในครอบครัวของเปิ่นหวังด้วยเช่นกัน ใต้เท้าเหยาเกรงใจแล้ว”
เขานำผู้คนเข้าไปในจวนก่อน ผู้คนรอบด้านไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวอะไรมากความ ดวงตาสองข้างของเหยาอวี้เอ๋อร์แทบจะถลนออกมา นางอยากเจาะรูบนร่างกายของเหยาเชียนเชียนสักสองรูเหลือเกิน
“ท่านแม่ ท่านดูท่าทางได้ใจของนางเมื่อครู่สิเ้าคะ” เหยาอวี้เอ๋อร์จับแขนเสื้อของฮูหยินใหญ่ไว้แน่นพลางกล่าวอย่างโกรธเคือง “เดิมทีแค่ท่านพ่อจะยกนางคนต่ำผู้นั้นเข้าสู่สุสานบรรพชนข้าก็คิดว่าไม่เหมาะสมอยู่แล้ว ไยท่านถึงไม่กล่าวโน้มน้าวเขาสักหน่อยเล่าเ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่ขมวดคิ้วและตบที่มือของเหยาอวี้เอ๋อร์เบาๆ ยามนี้เหยาเชียนเชียนคือพระชายาของชิงผิงอ๋อง เป็เื่ปกติที่นายท่านย่อมต้องประจบประแจงสักหน่อย เช่นนั้นนางจะไปขัดขวางได้อย่างไร
แม้ว่าจะไม่ใช่การประจบประแจงด้วยความเต็มใจ แต่นั่นก็ไม่อาจยั่วยุให้ชิงผิงอ๋องไม่พอใจเหมือนเช่นครั้งก่อนได้
“เ้ามีเหตุผลหน่อยสิ ยังไม่ได้บทเรียนจากครั้งที่แล้วอีกหรือ” ฮูหยินใหญ่กล่าวเสียงแ่เบา“ยามนี้นางได้รับความโปรดปรานจากชิงผิงอ๋อง เ้าพุ่งเข้าไปไม่ดูตาม้าตาเรือก็ไม่มีประโยชน์อันใด รอไปก่อนเถิด ในอนาคตจะต้องมียามที่เ้าได้รับเกียรตินั้นอย่างแน่นอน”
เหยาอวี้เอ๋อร์ดึงผ้าเช็ดหน้าและเดินตามไป ในอนาคตอย่างนั้นหรือ แล้วจะต้องรอไปจนถึงเมื่อใดจึงจะถึงอนาคตที่ว่านั้นเสียที
“เชิญท่านอ๋อง” เหยาซื่อเฟิงนำทั้งสองคนไปที่ห้องอาหาร “กระหม่อมไม่ทราบว่าท่านอ๋องจะเสด็จมาด้วย ดังนั้นจึงจัดเตรียมอาหารที่คนในจวนรับประทานกันเป็ประจำไว้เล็กน้อยเท่านั้น เป็พระมหากรุณาอย่างยิ่งที่ท่านอ๋องไม่ทรงรังเกียจ เชียนเชียนเอ๋ย มานั่งกับพ่อตรงนี้สิ”
เหยาเชียนเชียนที่ถูกเหยาซื่อเฟิงเรียกชื่อพลันขนลุกขนพองไปทั้งตัว และอดไม่ได้ที่จะย้ายเก้าอี้ไปนั่งข้างๆ เป่ยเหลียนโม่ สีหน้าของเหยาซื่อเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เนื่องจากเป่ยเหลียนโม่อยู่ข้างๆ จึงจำต้องกลั้นคำพูดเอาไว้
“ได้ยินมาว่าท่านพ่อเตรียมจะย้ายกระดูกของท่านแม่กลับไปที่สุสานบรรพชน ดียิ่ง” เหยาเชียนเชียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่อยู่ข้างนอกอย่างโดดเดี่ยวมาหลายปีแล้ว ในที่สุดท่านพ่อก็นึกขึ้นได้เสียทีว่าควรรีบย้ายท่านแม่กลับมา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะแล้วท่านพ่อจะลืมเลือนไปอีกครั้ง”
ใบหน้าของเหยาซื่อเฟิงอัดอั้นจนเป็สีม่วง พลางมองไปยังเป่ยเหลียนโม่ แต่กลับไร้วี่แววว่าเขาจะกล่าวสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย จึงทำได้เพียงกระแอมเบาๆ สองครั้ง และคิดหาคำที่จะกล่าวเพื่อปกปิดสิ่งนั้น
“เชียนเชียนเอ๋ย แม้ว่ายามนี้เ้าจะเป็หวังเฟยและมีท่านอ๋องที่รักเ้า แต่เ้าก็ไม่อาจเสียมารยาทเช่นนี้ได้” ฮูหยินใหญ่กล่าว “แม่ของเ้ามีเพียงข้าผู้เดียวเท่านั้น นางผู้นั้นเป็เพียงอี๋เหนียง เ้าเอาแต่พร่ำเรียกนางว่าท่านแม่ได้อย่างไร นั่นมันผิดต่อธรรมเนียม”
นางมองเป่ยเหลียนโม่เล็กน้อย แม้ว่ายามนี้ชิงผิงอ๋องจะรักเหยาเชียนเชียน ทว่าคนที่ไม่รู้กาลเทศะเช่นนี้ คาดว่าคงไม่เป็ที่โปรดปรานได้นานนักหรอก
“ท่านพ่อของเ้าเห็นแก่เกียรติของเ้า จึงยอมนำกระดูกของนางกลับมา เมื่อถึงเวลานั้นเ้าจงไปคำนับนางเสีย ถือเป็การสนองความรักของแม่และบุตรแล้ว และวันหน้าก็ไม่ต้องกล่าวถึงอีก”
มารดาผู้ให้กำเนิดของพระชายาชิงผิงอ๋องผู้สง่างามเป็เพียงหญิงขับร้อง หากข่าวแพร่ออกไปพวกเขาก็จะอับอายตามไปด้วย ฮูหยินใหญ่ตั้งใจกล่าวถึงเื่นี้ต่อหน้าชิงผิงอ๋องสองครั้งแล้ว เพื่อให้เขาได้รู้ว่าบุตรสาวของนางต่างหากที่เกิดจากภรรยาเอก และคู่ควรกับตำแหน่งหวังเฟย
“สิ่งที่ฮูหยินใหญ่กล่าวน่าสนใจทีเดียว ท่านแม่ของข้าเป็ผู้ที่ท่านพ่อสู่ขอเข้าจวนมาอย่างเปิดเผย เหตุใดจึงไม่สามารถกล่าวถึงได้เล่า?”
เหยาเชียนเชียนหัวเราะเบาๆ “ฮูหยินใหญ่คงไม่ได้รู้สึกว่าเมื่อครั้งที่ท่านพ่อแต่งงานกับท่านแม่ของข้าในยามนั้นจะทำให้ท่านพ่อเสียหน้า ดังนั้นยามนี้จึงไม่สามารถกล่าวถึงได้หรอกกระมัง ฮูหยินใหญ่ยังคงคับข้องใจเื่ที่ท่านพ่อทำให้ท่านอับอายอยู่อีกหรือ?”
“เ้า” ฮูหยินใหญ่มองเหยาซื่อเฟิงอย่างตื่นตระหนก “นายท่าน ข้าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นเลยนะเ้าคะ!”
เหยาซื่อเฟิงจ้องไปยังท่าทางอันน่าเกรงขามของเป่ยเหลียนโม่ เขาอยากจะหันไปตีปากฮูหยินของตนสักสองครั้งเหลือเกิน ช่างเป็ภรรยาที่โง่เขลาเสียจริง กล่าวแต่สิ่งที่ทำให้เหยาเชียนเชียนจับประเด็นสนทนาได้และกัดไม่ปล่อย มีแต่จะสร้างปัญหาให้เขามากขึ้นเท่านั้น
“เ้ากล่าวถึงเื่เหล่านี้ต่อพระพักตร์ท่านอ๋องได้อย่างไร ยังไม่หุบปากอีก!”
เขาตำหนินางเล็กน้อย ก่อนจะยกจอกสุราเพื่อคารวะสุราแด่เป่ยเหลียนโม่
“ภรรยาของกระหม่อมกล่าววาจาหยาบคาย ขายหน้าท่านอ๋องแล้ว”
“ไม่เป็ไร” เป่ยเหลียนโม่ไม่ได้ช้อนตาขึ้นมองแม้แต่น้อย ทำราวกับว่าไม่เห็นจอกสุราที่เหยาซื่อเฟิงยกขึ้น ด้วยมัวแต่สนใจอยู่กับการคีบชิ้นเนื้อให้เหยาเชียนเชียนเพิ่มเติม “หวังเฟยทานเยอะๆ หน่อย เ้าทานสำรับเช้าน้อยนัก”
เหยาซื่อเฟิงฝืนดื่มสุราเองจนหมดจอก พลางสะกดกลั้นไฟโทสะเอาไว้และสั่งให้บ่าวไพร่นำรังนกชามหนึ่งมามอบให้
“เชียนเชียนเอ๋ย พ่อรู้ว่าเ้าร่างกายอ่อนแอมาตลอด รังนกนี้มิใช่รังนกธรรมดา พ่อสั่งให้บ่าวไพร่ทำขึ้นมาชามหนึ่งอย่างดี ในนั้นผสมเครื่องยาที่มีสรรพคุณบำรุงร่างกายอยู่ไม่น้อย เหมาะสมที่จะมอบให้เ้าดื่มเพื่อบำรุงร่างกายที่สุด รีบชิมดูสิ”
รังนกชามนี้มีสีสวยมากทีเดียว เหยาซื่อเฟิงกล่าวว่านี่เป็ของดี อีกทั้งยังมีกลิ่นดอกไม้หอมจางเล็กน้อยอีกด้วย
เหยาเชียนเชียนรับมันมา นางเหลือบมองไปยังสีหน้าโกรธเคืองของเหยาอวี้เอ๋อร์แล้วอดยิ้มมุมปากไม่ได้
“พี่หญิงดูท่าจะอยากรู้อยากเห็นรังนกชามนี้ของข้าไม่น้อย เช่นนั้นมิสู้มอบให้พี่หญิงทานจะดีกว่ากระมัง”
เชิงอรรถ
[1] ทวนที่รู้ที่มาหลบง่าย เกาทัณฑ์ที่แอบยิงมาป้องกันยาก เป็สำนวนจีน หมายถึง การโจมตีที่เปิดเผยนั้นรับมือง่าย ส่วนการแอบใส่ร้ายลับหลังนั้นยากที่จะแยกแยะ
