เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนรุ่งสาง ปรากฏเสียงฝีเท้าเร่งรีบจากนอกประตูที่อยู่ไกลออกไปและเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที
เหยียนอู๋อวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและลืมตาทันทีหลังผ้าม่าน จากนั้นนางพลันได้ยินเสียงซูอิ่งร้องเรียกด้วยท่าทีนอบน้อมจากด้านนอก “นายหญิง ไทเฮามีพระบัญชาเรียกสนมจากตำหนักต่างๆ เข้าเฝ้าเ้าค่ะ”
นางพูดจบก็ยืนกลั้นหายใจอยู่หน้าประตู รอนายหญิงออกคำสั่ง เสียงกรอบแกรบภายในห้องพลันเงียบลง ก่อนจะมีเสียงดังขึ้น “ให้ป้าโฉ่วเข้ามา”
นางรีบตอบรับอย่างรวดเร็วแล้วไปเชิญป้าโฉ่วมาทันที ส่วนนางกลับถูกขวางอยู่ด้านนอก กระนั้นนางก็มิได้เกิดความรู้สึกคับข้องใจแต่อย่างใด ทุกหนแห่งในตำหนักล้วนมีกฎระเบียบและความลับ นางเพิ่งมาถึงที่นี่ได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็คนนอกนั้นนับเป็เื่ปกติ หากเหยียนอู๋อวี้รีบร้อนรับนางเป็คนของนางทันที นั่นต่างหากคือสิ่งที่นางเองต้องกังวลมากกว่า
หากเ้านายโง่เกินไป คนรับใช้ก็จะมีจุดจบไม่ดีนัก หากเ้านายมีความคิดฉลาดลึกล้ำมากเกินไป เ้านายผู้นั้นเองก็จะมีจุดจบไม่ดีเช่นกัน
นางรออยู่ข้างนอกเงียบๆ ดวงอาทิตย์เริ่มสูงขึ้น กระนั้นยังคงไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ ภายในตำหนัก เมื่อคิดถึงกฎเกณฑ์ในการเข้าเฝ้าไทเฮาแล้ว ซูอิ่งเริ่มรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมา
ในขณะที่ประตูตำหนักส่งเสียงดังเอี๊ยด เหยียนอู๋อวี้สวมชุดสีฟ้าอ่อนเดินออกมาประหนึ่งนางฟ้าจากสรวง์ในภาพวาด เมื่อเห็นซูอิ่งรออยู่ข้างๆ นางพลันหยุดชะงักและถามว่า “นี่เป็ครั้งแรกที่ข้าจะได้เข้าเฝ้าไทเฮา ซึ่งค่อนข้างเป็พิธีการ หวังว่าจะไม่ไปสาย”
ซูอิ่งก้มหน้าโดยไม่เห็นสีหน้าของนางและตอบกลับอย่างใจเย็น “นายหญิงจริงจังยิ่งนัก คาดว่าไทเฮาจะต้องเข้าใจถึงความตั้งใจของนายหญิงได้ นายหญิงเ้าคะ ด้านนอกเตรียมพร้อมแล้วเ้าค่ะ”
เหยียนอู๋อวี้ไม่รีรอ เพราะเข้าใจความคิดของนางอยู่ก่อนแล้ว เพียงเพราะเกรงว่านางจะไปล่าช้า หากถูกลงโทษ คนรับใช้จะต้องได้รับการลงโทษอย่างเลี่ยงไม่ได้
จังหวะก้าวเดินเยื้องย่างประหนึ่งจังหวะเดินเหลียนปู้[1]ไปยังตำหนักหน้าของไทเฮา เมื่อเห็นเรือนร่างบอบบางคุกเข่าตัวสั่นเทาจากระยะไกล ครั้นเข้าไปใกล้จึงเห็นชัดเจนว่าคนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ใด ก็คือลี่เจาอี๋ เซียวซิ่งเสวี่ยผู้ที่เพิ่งรับอำนาจให้ดูแลตำหนักหลังเมื่อวานนี้
วันนี้ในขณะที่เซียวซิ่งเสวี่ยยังนอนหลับฝันอยู่นั้น นางถูกนางกำนัลของไทเฮาลากลงจากเตียง และพาไปที่ตำหนักอี้คุนเพื่อสำนึกความผิดในข้อหา ‘ละเลยการปฏิบัติหน้าที่’
พริบตาเดียวเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ขณะที่สีหน้าของเซียวซิ่งเสวี่ยซีดขาวจนเืฝาดที่ริมฝีปากจางหายไป จู่ๆ นางพลันได้ยินเสียงฝีเท้าจึงคิดไปว่าคงจะเป็สนมบางคนที่มาเข้าเฝ้าไทเฮา นางยังไม่ทันได้เงยหน้าจนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยว่า “หม่อมฉันคำนับลี่เจาอี๋”
ทันใดนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นและเห็นใบหน้าอันงดงามที่เปล่งประกายเจิดจ้าของผู้ยุยงนางนั้น
เหยียนอู๋อวี้! เมื่อวานเซียวซิ่งเสวี่ยได้รับอำนาจดูแลตำหนักหลังได้ก็เพราะนางคนนี้!
เซียวซิ่งเสวี่ยเกลียดชังสนมเหยียนที่มีสีหน้าหวาดกลัวที่อยู่เบื้องหน้านาง ทว่าเมื่อคิดว่านางก็ไม่ดีไปกว่าตนเองจึงยกยิ้มเ็าโดยไม่คิดสนใจอันใดอีก
เสียงของเหยียนอู๋อวี้ทำให้ประตูพระตำหนักที่ปิดอยู่เปิดออกทันที แม่นมาุโผู้หนึ่งเดินออกมา นางเหลือบมองเซียวซิ่งเสวี่ย จากนั้นจึงมองไปทางเหยียนอู๋อวี้ซึ่งยังคงทำความเคารพและยังไม่ลุกขึ้น นางที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “สนมเหยียนไม่ต้องมากพิธี ไทเฮาและซูเฟยอยู่ข้างในมาระยะหนึ่งแล้ว”
“เพคะ” เหยียนอู๋อวี้แสร้งทำเป็สุภาพและกล่าวทักทายอีกครั้ง ทว่าก็อดเยาะเย้ยอยู่ในใจไม่ได้
เมื่อวานนี้ฮวารั่วซีถูกตัดสินลงโทษให้กักบริเวณหนึ่งเดือน วันนี้มาอยู่กับไทเฮาที่นี่ และได้เห็นสภาพของลี่เจาอี๋ เหยียนอู๋อวี้ก็ปะติดปะต่อเื่ราวทั้งหมดได้บ้างแล้ว
จากนั้นนางจึงเดินตามแม่นมเข้าไปในตำหนักอย่างช้าๆ
ขณะที่เดินเข้าประตูไป จู่ๆ กลับมีเสียงสตรีดังแววเข้าหูนาง
“บังอาจนัก สนมเหยียน เ้ากล้าดีอย่างไรให้ไทเฮาและซูเฟยรอเป็เวลานานเช่นนี้!”
หัวใจของเหยียนอู๋อวี้เต้นแรงประหนึ่งกระต่ายน้อยตื่นตระหนก นางรีบลนลานคลานไปบนพื้นร้องเสียงสั่นเครือขอความเมตตา “หม่อมฉันมิได้ตั้งใจเพคะ ไทเฮาโปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วย!”
ฉากนี้ทำให้ฮวารั่วซีที่ยืนอยู่ข้างไทเฮาเผยแววตาเหยียดหยาม เดิมทีนางวางแผนตัดทางหลบหลีกของคนที่อยู่เบื้องหน้านาง ทว่านางไม่คาดคิดว่าจะถูกลงโทษ ซ้ำยังสูญเสียสาวใช้ผู้ภักดีไปอีกหนึ่งคน
“หากอายเจีย[2]ไม่ยกโทษให้เล่า” เสียงของไทเฮาดังมาจากตำแหน่งสูงเบื้องหน้า ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความสง่างามและน่าเกรงขาม
เหยียนอู๋อวี้แสร้งเงยหน้าขึ้นด้วยสายตาไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นางมองไทเฮาที่สวมชุดลายหงส์สีทองท่าทางสูงศักดิ์ พร้อมหลั่งน้ำตาราวกับหวาดกลัวว่าไทเฮาจะไม่ปล่อยนางไป
ยังไม่ทันให้นางร้องขอความเมตตา ฮวารั่วซีซึ่งยืนอยู่ข้างไทเฮาพลันคุกเข่าลงต่อหน้าไทเฮาพร้อมกับชุดที่อยู่ในมือของนาง
“ไทเฮาได้โปรดเมตตาด้วยเพคะ” นางเอ่ยด้วยดวงตาแดงก่ำ “เมื่อวานหม่อมฉันได้มอบสิ่งของให้น้องหญิงโดยไม่คาดคิดว่าของสิ่งนี้ได้ผ่านมือของพวกไม่ประสงค์ดี พวกมันใส่ของบางอย่างลงไป ทำให้น้องสาวป่วยหนัก หม่อมฉันคิดว่าเป็เพราะน้องหญิงไม่สบาย จึงทำให้มาถึงล่าช้าเพคะ”
ฮวารั่วซีเอ่ยพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะร่ำไห้ออกมา
“ไทเฮาโปรดทรงสืบให้แน่ชัดด้วยเพคะ”
เหยียนอู๋อวี้ก้มศีรษะ แววตามองต่ำที่แฝงไว้ด้วยความเย้ยหยัน หากเป็ผู้อื่นก็คงยอมรับความปรารถนาดีของฮวารั่วซีไปแล้ว ทว่านางกลับไม่คิดยอมรับ
นางแบกรับเื่ในอดีตมากเกินไป จนในที่สุดก็กลายเป็ใบมีดเสียบแทงตรงหน้าอกของนาง
อย่างไรก็ตาม นางไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
น้ำเสียงของไทเฮาเปล่งออกมาอย่างเชื่องช้า “ในเมื่อเป็เช่นนั้น ก็ลองตรวจสอบดูเถิด”
นางกำนัลในวังจำนวนหนึ่งเดินผ่านพวกนางไป ไทเฮาหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ราวกับรู้สึกมึนศีรษะเล็กน้อย ศีรษะของเหยียนอู๋อวี้ก้มชิดติดพื้นตลอดเวลา และฮวารั่วซีก็ไม่ขยับเขยื้อน ภายในตำหนักยามนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน ยกเว้นเพียงเสียงลมหายใจขึ้นและลง
เหยียนอู๋อวี้ซ่อนความเย้ยหยันอยู่ภายในใจ ไทเฮาทรงลำบากใจยิ่งนัก ด้วยเื่ความผิดของฮวารั่วซีในครั้งนี้ เพียงแต่ก็ใช่ ทุกเื่ย่อมต้องมีการลงทุนลงแรง ท้ายที่สุดแล้วย่อมเป็อำนาจของตำหนักหลัง การเสียสละบ้างคงมิเป็อันใด?
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด กระทั่งนางกำนัลจำนวนหนึ่งเดินออกมาอีกครั้ง หัวหน้านางกำนัลรายงานกลับไปว่า “กราบทูลไทเฮา พวกเราพบจดหมายลับในตู้แต่งตัวของเหลียนหง นางกำนัลผู้นั้นกล้าเปิดออกดู ในจดหมายเขียนว่า ‘สั่งให้ปฏิบัติการกับสิ่งของที่ซูเฟยจะมอบให้สนมเหยียน’ ทว่าไม่มีลงชื่อประทับตราเ้าค่ะ”
ไทเฮาลืมตาขึ้นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย “ตรวจลายมือได้หรือไม่?”
“ตัวอักษรตัวเล็ก ลายมือไม่งดงามอย่างยิ่ง คาดว่าเป็ลายมือที่ไม่คุ้นเคยในการจับพู่กันเขียนตัวอักษรเ้าค่ะ”
“นำไปให้พวกนางดู” ไทเฮาโบกมือพร้อมหลับตาลงอีกครั้ง
ขณะที่ฮวารั่วซีเห็นจดหมายลับนั้น หยาดน้ำตาพลันไหลพรากอาบพวงแก้มที่ยังชื้นอยู่ พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “หม่อมฉันมีความตั้งใจดีที่จะมอบของขวัญให้กับน้องหญิงที่ตำหนัก ทว่ามีบางคนได้ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ ทำให้หม่อมฉันถูกกล่าวหาอย่างไม่ยุติธรรม อีกทั้งยังทำลายความสัมพันธ์ของหม่อมฉันกับน้องเหยียนอีกด้วยเพคะ”
เหยียนอู๋อวี้ยิ้มเยาะอยู่ภายในใจ หากแต่สีหน้ากลับตระหนักรู้ได้ชัดเจน จากนั้นจึงแสร้งทำเป็หวาดกลัวและตื่นตระหนก ได้ยินเพียงนางกล่าวว่า “แสดงว่ามีพวกไม่ประสงค์ดีคิดอยากจะสังหารหม่อมฉันจริงๆ ทั้งยังทำให้หม่อมฉันเข้าใจพี่หญิงของหม่อมฉันผิดไป ไทเฮา......ทรงโปรดหาตัวผู้ที่ไม่ประสงค์ดีคิดอยากจะสังหารหม่อมฉันให้เจอด้วยเพคะ!”
ไทเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย นอกตำหนักมีแม่นมาุโผู้หนึ่งเข้ามารายงานด้วยเสียงแ่เบาว่า “ไทเฮา ลี่เจาอี๋เป็ลมล้มพับไปแล้วเ้าค่ะ”
ไทเฮาส่งเสียงฮึเบาๆ พลางกล่าวอย่างแช่มช้าว่า “ในเมื่อซูเฟยถูกกล่าวหาอย่างไม่ยุติธรรม เช่นนั้นละเว้นการลงโทษของฮ่องเต้ ลี่เจาอี๋สุขภาพไม่แข็งแรง จึงต้องลำบากซูเฟยก่อน!”
หลังจากไทเฮากล่าวจบพลันหาวไปหนึ่งคำ ก่อนจะโบกมือพร้อมกล่าวว่า “ไม่มีเื่อันใดแล้ว ก็ออกไปได้”
ทั้งสองจึงขอทูลลาอย่างรวดเร็ว
หลังจากทั้งสองออกจากตำหนักอี้คุนแล้ว เหยียนอู๋อวี้พลันแสดงความยินดีต่อฮวารั่วซีทันทีและกล่าวว่า “ขอแสดงความยินดีกับซูเฟยที่ช่วยทวงคืนความยุติธรรม หม่อมฉันรู้นานแล้วว่าซูเฟยเป็คนดีและไม่ทำสิ่งเลวร้ายเช่นนี้ เมื่อวานนี้อู๋อวี้รู้สึกไม่สบาย จึงขัดขวางฮ่องเต้ไม่ทันเวลา โปรดยกโทษให้หม่อมฉันด้วย!”
ฮวารั่วซีเหลือบมองอาภรณ์ที่งดงามของเหยียนอู๋อวี้ ดวงตานั้นเผยให้เห็นแววตาดูถูกเหยียดหยาม พริบตานางกลับมายกยิ้มอย่างอ่อนโยน “น้องหญิงเอ่ยเช่นนั้นได้อย่างไร?”
เหยียนอู๋อวี้แสดงสีหน้าประหลาดใจพร้อมทั้งเอ่ยอย่างเสียใจ “ซูเฟยเปี่ยมไปด้วยบารมีและความเมตตา ทว่าหม่อมฉันไม่อาจอดทนต่อความอยุติธรรมนี้ได้ ยามนี้ซูเฟยได้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง จะต้องช่วยหาผู้ที่คิดร้ายต่อหม่อมฉันให้ได้นะเพคะ!”
ขณะที่พวกนางทั้งสองสนทนากัน ไม่มีผู้ใดเหลือบไปมองลี่เจาอี๋ที่นอนอยู่บนพื้นเลย
หลังจากทั้งสองเดินแยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง ซูอิ่งจึงกล่าวอย่างมีความสุขว่า “นายหญิงดูเหมือนซูเฟยจะมิได้ลงมือกับท่านจริงๆ! นี่เป็เื่ที่ดีที่สุด อย่างไรแล้วซูเฟยก็......”
คำพูดต่อจากนั้น ซูอิ่งไม่ได้พูดออกไปอีก
ผู้ที่อยู่ในตำหนัก มีผู้ใดบ้างที่ไม่เกรงกลัวซูเฟย?
“ใช่สิ! โชคดีที่ข้ามิได้ผิดใจกับซูเฟย” เหยียนอู๋อวี้ยกยิ้มด้วยท่าทางดีใจอย่างมีเลศนัย ทว่ากงกงที่กำลังเคลื่อนย้ายดอกไม้และต้นไม้ไปด้านข้างบังเอิญเห็นเข้าพอดี
เชิงอรรถ
[1] การเดินแบบเหลียนปู้ หมายถึง หญิงสาวที่ถูกมัดเท้าจะเดินยกเท้าและบิดเอวเล็กน้อย
[2] อายเจีย หมายถึง คำเรียกแทนตัวเองของไทเฮา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้