เหล่าหญิงสาวเทียนเซียงหลินเห็นผู้ฝึกยุทธ์สำนักซวนหยวนออกไปต่างก็หันไปมองเย่เฟิงด้วยสายตา และท่าทีที่แตกต่างจากเดิม
หนิงเซียงตัวแข็งทื่อ แววตาเต็มไปด้วยความสับสน แม้ซวนหยวนจวิ้นจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง แต่ถึงอย่างไรก็ถือว่าเป็สหาย และเคยเกิดความรู้สึกดี ๆ ต่อคนคนนี้ ดังนั้นหลังจากซวนหยวนจวิ้นถูกฆ่าตาย หนิงเซียงก็รู้สึกเสียใจ ไม่ว่าพูดอย่างไรการตายของซวนหยวนจวิ้นก็มีความเกี่ยวข้องกับนาง
หลังจากซวนหยวนจวิ้นตาย ทุกอย่างก็ถูกตัดสินทันที ผู้ฝึกยุทธ์แห่งจักรวรรดิจิ่วโยวที่บุกด่านเ่าั้ต่างแยกย้ายกันไป
“ไป พวกเรากลับสำนัก”
เมื่อเทียนเซียงเห็นผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนกลับกันไปแล้วก็โบกมือและออกคำสั่งเช่นนั้น เหล่าเทพธิดาเทียนเซียงหลินทำตามคำสั่งทันที ก่อนจะทยอยกลับสู่สำนักเทียนเซียงหลิน
“ใต้เท้าก็ตามข้ามาเถิด!” เทียนเซียงกล่าวกับเย่เฟิงพลางยิ้มจาง ๆ ก่อนหน้านี้เย่เฟิงบุกด่านทั้งสามสำเร็จ ตามกฎของเทียนเซียงหลิน แม้เย่เฟิงเป็ผู้ชาย แต่กลับมีสิทธิ์ได้เข้าเทียนเซียงหลิน
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้า จากนั้นตามเหล่าเทพธิดาเทียนเซียงหลินกลับสู่สำนักอันเก่าแก่
เทียนเซียงหลินนั้นอยู่มานานหลายพันปี ทั้งยังเป็กองกำลังชั้นยอดแห่งจักรวรรดิจิ่วโยว สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ภายในสำนักยังมีผู้มากฝีมือปรากฏตัวมากมาย
เย่เฟิงตามเทียนเซียงไม่ห่าง เหล่าเทพธิดาเทียนเซียงก็มองเย่เฟิงด้วยความประหลาดใจ โดยเฉพาะผู้าุโเทียนเซียงหลินเ่าั้
เมื่อเข้าสู่ประตูของเขาเทียนเซียง กลิ่นอายอันสดชื่นก็ลอยโชยมาแตะจมูกของเย่เฟิง พอมองไปรอบ ๆ ก็จะเห็นศาลาสิ่งปลูกสร้างที่ห้อมล้อมไปด้วยดอกไม้นานาชนิดและหลากสีสัน ซึ่งกลิ่นหอมอันน่าหลงไหลก็แผ่ออกมาจากดอกไม้เ่าั้
เทียนเซียงหลินประหนึ่งทะเลดอกไม้ขนาดมหึมาที่แผ่กลิ่นอายความมีชีวิตชีวาอันไร้จุดสิ้นสุด
เย่เฟิงเห็นฉากนี้ก็อดตาทอประกายไม่ได้ นามว่าเทียนเซียงหลินอาจมาจากป่าไผ่อันกว้างใหญ่ไพศาล และทะเลดอกไม้อันไร้จุดสิ้นสุดแห่งนี้
ขณะนั้นในตำหนักแห่งหนึ่งของเทียนเซียงหลิน เทียนเซียงนั่งอยู่บนบัลลังก์ ดูสง่างดงาม และแผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขาม
“ไปพาตัวชิงเซียงมาซะ!” เทียนเซียงออกคำสั่งกับองครักษ์ เทียนเซียงหลินนั้นอนุญาตให้ผู้หญิงเข้าสำนักเท่านั้น ดังนั้นองครักษ์ในสำนักจึงเป็ผู้หญิงทั้งหมด
ทันทีที่สิ้นเสียงของเทียนเซียง ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น “ช้าก่อน!”
เทียนเซียงได้ยินเสียงนี้ก็สั่งให้องครักษ์หยุด ก่อนจะหันไปเอ่ยถามผู้พูด “ผู้าุโเฉินเซียงมีอะไรหรือ?”
ผู้ที่เอ่ยปากออกมาเมื่อครู่นี้เป็ผู้าุโคนหนึ่ง นางเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะที่ไปอาณาจักรจ้าวกับชิงเซียงและหลันเซียงเพื่อตามหาผลึกเจตจำนงแรกเริ่มในตอนนั้น มีนามว่าเฉินเซียง
“เรียนท่านเ้าสำนัก ตามกฎของเทียนเซียงหลิน ชิงเซียงมีโทษหนัก มิอาจมาที่ตำหนักเทียนเซียงได้ เ้าสำนักทำเช่นนี้เกรงว่าจะไม่ได้” เฉินเซียงกล่าวด้วยตาเผยประกายคมกริบ
“ข้าเตรียมที่จะให้อภัยชิงเซียง และตอนนี้ก็คิดจะปล่อยตัวชิงเซียงไปเช่นกัน” เทียนเซียงกล่าวเช่นนั้นกับเฉินเซียง นางย่อมรู้ความคิดของเฉินเซียง ซึ่งเฉินเซียงมีความบาดหมางกับอาจารย์ของชิงเซียง แต่ชิงเซียงกับลูกศิษย์ของนางมีตบะระดับเดียวกัน ทั้งสองถือว่าโดดเด่นที่สุดในระดับของพวกนาง แน่นอนว่าย่อมมีการแข่งขันที่ดุเดือด แต่ชิงเซียงสกัดกั้นลูกศิษย์ของเฉินเซียงมาตลอด
ดังนั้นจึง้าให้ชิงเซียงโดนลงโทษด้วยไฟสังเวย เช่นนั้นลูกศิษย์ของเฉินเซียงก็จะได้รับความสนใจจากสำนักมากกว่าเดิม และได้รับการเลี้ยงดูเป็อย่างดี
หลังจากเฉินเซียงคุมตัวชิงเซียงกลับเทียนเซียงหลิน เฉินเซียงคอยเติมแต่งเนื้อหามาตลอด หาไม่แล้วชิงเซียงคงไม่ถูกลงโทษเช่นนี้
“ชิงเซียงทรยศสำนัก ความผิดของนางมิอาจอภัยให้ได้ เหตุใดเ้าสำนักถึงปล่อยนางไป? หากเป็เช่นนั้นก็เท่ากับทำลายกฎหมายอาญาของเทียนเซียงหลินไม่ใช่หรือ?” เฉินเซียงกล่าวอย่างร้อนใจเมื่อเห็นเทียนเซียงกล่าวเช่นนั้น ดูเหมือนกลัวว่าชิงเซียงจะถูกปล่อยตัว
เย่เฟิงเห็นฉากนี้ ดวงตาของเขาพลันส่องประกายเย็นเยือกอย่างอดไม่ได้ เขาคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าความผิดที่ชิงเซียงก่อไม่ควรได้รับโทษหนักเช่นนี้
หลันเซียงที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินเฉินเซียงกล่าวเช่นนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีไปดูไม่สู้ดี ก่อนกล่าวว่า “อาจารย์อา เหตุใดท่านถึงพูดจาเยี่ยงนี้เล่า? ศิษย์พี่ซื่อสัตย์ต่อเทียนเซียงหลินมาตลอด แม้ครั้งนี้จะทำผิดพลาด แต่ก็ควรให้โอกาสศิษย์พี่กลับเนื้อกลับตัวสักครั้ง เ้าสำนักมีเมตตาจึงอภัยให้ศิษย์พี่ ท่านควรจะมีความสุข แต่ท่านกลับขวางทาง ท่านมีเจตนาอะไรกันแน่?”
หลันเซียงดูโกรธเกรี้ยว หลังจากพวกนางสามคนกลับสำนัก นางก็ไม่เห็นชิงเซียงอีกเลย ซึ่งเป็เฉินเซียงที่บอกสถานการณ์ทางชิงเซียงให้รู้มาโดยตลอด เฉินเซียงยังรับปากว่าจะขอความเมตตาจากเ้าสำนักเพื่อให้ชิงเซียงมีโทษสถานเบา จนกระทั่งตอนที่ชิงเซียงจะได้รับโทษด้วยไฟสังเวย หลันเซียงยังคงเชื่อมั่นว่าเฉินเซียงจะพยายามทำให้บุคคลระดับสูงของสำนักเมตตาชิงเซียง
แต่เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ หลันเซียงจะไม่เข้าใจได้อย่างไร เฉินเซียงโกหกนางมาตลอด บางทีการที่ศิษย์พี่ได้รับโทษเช่นนี้ก็อาจเป็เพราะเฉินเซียงที่้าชีวิตของชิงเซียงมาตลอด นางเกลียดตัวเองที่ไร้เดียงสาเกินไปจนเชื่อคำพูดบ้าบอของเฉินเซียง
“เหิมเกริม เ้าไม่มีสิทธิ์พูดที่นี่ หุบปากเสีย!”
เฉินเซียงเห็นหลันเซียงกล้าไม่เคารพนางเช่นนี้ จึงบันดาลโทสะพร้อมไอเย็นปะทุออกจากร่าง ก่อนจะมีแรงกดดันไปเยือนหลันเซียง ทำให้หลันเซียงรู้สึกหายใจไม่ออกและมีเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นหน้าผาก
อาจารย์ของหลันเซียงและชิงเซียงกำลังปิดด่าน ดังนั้นเฉินเซียงจึงกล้ากำเริบเสิบสานกดขี่ข่มเหงศิษย์ของนางเช่นนี้
“ข้าพูดเื่จริง อาจารย์อารับปากกับข้าว่าจะขอความเมตตาให้กับศิษย์พี่ แต่ดูแล้วเป็คำโกหกทั้งเพ ข้าไม่คิดว่าอาจารย์อาจะเป็คนหลอกลวง ทำหลันเซียงผิดหวังอย่างมาก” หลันเซียงกล่าวด้วยความโมโห นางกับชิงเซียงเคารพนับถือเฉินเซียงมาก และเห็นว่าเฉินเซียงเป็อาจารย์อาของตน แต่ไม่คิดว่าเฉินเซียงจะมีจิตใจเช่นนี้ ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง
แน่นอนว่าเย่เฟิงรู้เหตุผลของเื่นี้ หัวใจจึงอดเย็นะเืไม่ได้ เทียนเซียงหลินคล้ายเป็สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังมีการต่อสู้แย่งชิงด้วยเช่นกัน
“สารเลว เ้านับเป็สิ่งใด กล้าดียังไงพูดจาเยี่ยงนี้กับอาจารย์ข้า ดูท่าเ้าคงไม่อยากมีปากไว้กินข้าวแล้วสินะ!”
ขณะนั้นมีเสียงเย็นเยือกดังขึ้น จู่ ๆ หญิงผู้หนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ เฉินเซียงตาเผยประกายเย็นเยียบ ก่อนจะกะพริบร่างและปรากฏตัวที่เบื้องหน้าของหลันเซียงในนาทีต่อมาพร้อมกับเหวี่ยงฝ่ามือไปที่หน้าหลันเซียง
หญิงผู้นี้มีนามว่าจื่อเซียง เป็ศิษย์ผู้นั้นของเฉินเซียง ตบะเท่าชิงเซียง ไม่ว่าจะด้านตบะหรือศักยภาพก็ล้วนดีเยี่ยมกว่าหลันเซียงไม่น้อย ดังนั้นฝ่ามือนี้ของจื่อเซียง หลันเซียงจึงยากที่จะรับมือด้วยได้
“วูบ!”
แต่เมื่อฝ่ามือของจื่อเซียงจะถึงตัวหลันเซียง จู่ ๆ เงาร่างหนึ่งปรากฏตัวระหว่างพวกนางสองคน ขณะเดียวกันฝ่ามือใหญ่จับแขนของจื่อเซียงด้วยความเร็วปานฟ้าแลบ ทำให้จื่อเซียงขยับเขยื้อนไม่ได้ ก่อนจะหันไปมองเย่เฟิงที่ปรากฏตัวอย่างฉับพลันด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
“เ้าเป็ถึงศิษย์พี่ แต่กลับพูดจาไม่รู้จักกาลเทศะ และลงไม้ลงมือทำร้ายผู้อื่น เ้ารู้ผิดหรือไม่?”
ฝ่ามือใหญ่ของเย่เฟิงจับข้อมือจื่อเซียง ซึ่งแรงมหาศาลทำให้จื่อเซียงสลัดไม่หลุด ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความโกรธ
น้ำเสียงของเย่เฟิงเย็นเยือกราวกับแฝงไปด้วยอำนาจฟ้าดินอันแก่กล้า ก่อนจะดังสนั่นในหูของจื่อเซียง ทำจื่อเซียงตัวสั่นสะท้าน ใบหน้าขาวซีดราวกับััได้ถึงพลังที่น่าหวาดกลัวกำลังพันธนาการร่างตน และเสียงของเย่เฟิงเสมือนคำพิพากษา ส่วนนางคือผู้กระทำผิด ไม่ว่าทำอย่างไรก็มิอาจหลุดพ้นจากคำตัดสินนั้นได้
“ปล่อยข้า คนสารเลว!”
แม้จะกำลังโมโหอยู่ แต่จื่อเซียงก็แผดเสียงใส่เย่เฟิงด้วยเสียงอันแหลมคม
“ปล่อยเ้าหรือ?”
เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้ม “เ้าต้องให้คำอธิบายแก่หลันเซียง หากคำอธิบายนี้ทำให้หลันเซียงพอใจ ข้าจะปล่อยเ้าไป”
น้ำเสียงของเย่เฟิงเ็า ฝ่ามือใหญ่เขาก็ยังคงจับจื่อเซียงไม่ปล่อย
นี่ทำให้ทุกคนที่เห็นฉากนี้ต่างก็ใ ทั้งยังมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยียบ เทียนเซียงหลินถือเป็สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่นึกว่าจะมีคนกล้าลงมือทำร้ายศิษย์เทียนเซียงหลิน ช่างโอหังยิ่งนัก
“ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!” อาจารย์ของจื่อเซียงกล่าวเสียงเย็นราวกับมีคลื่นเสียงไร้ลักษณ์แผ่กระจายไปทั่วพื้นที่ ก่อนจะสั่นคลอนไปถึงจิติญญาของผู้คน ทำให้เหล่าศิษย์เทียนเซียงหลินที่มีตบะต่ำต้อยใจสั่นระรัวและอดเหงื่อตกไม่ได้
เย่เฟิงหันไปมองเฉินเซียง แม้เผชิญหน้ากับเฉินเซียง แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะยอมอ่อนข้อ “นางดูถูกหลันเซียงก่อน มิหนำซ้ำยังพยายามทำร้ายหลันเซียง ข้าจึง้าให้นางขอโทษหลันเซียง!”
น้ำเสียงของเย่เฟิงแข็งกร้าว ทำให้ผู้คนในที่แห่งนั้นต่างตะลึงงัน และจ้องเย่เฟิงตาเขม็ง
“เ้าช่างเหิมเกริมยิ่งนัก ไม่นึกว่าจะไม่ไว้หน้าผู้าุโเฉินเซียง แกว่งเท้าหาเสี้ยนชัด ๆ!”
“จื่อเซียงคือลูกศิษย์ข้า เ้ามีสิทธิ์อะไรให้นางขอโทษ?” เฉินเซียงซักถามเย่เฟิง พร้อมพลังแห่งขั้นยุทธ์เทวะพวยพุ่งออกจากร่าง
เย่เฟิงไม่สนใจเฉินเซียง หลันเซียงคือสหายของเขาเย่เฟิง การที่จื่อเซียงดูถูกหลันเซียงก็เท่ากับล้ำเส้นบรรทัดล่างของเขา เย่เฟิงจักต้องทำให้จื่อเซียงชดใช้ จากนั้นเขาหันไปมองจื่อเซียงด้วยสายตาเย็นเยือก ทำให้จื่อเซียงตัวสั่นสะท้านอีกครั้ง พร้อมเผยสีหน้าหวาดผวา
“คุกเข่า!”
ทันใดนั้นเสียงเย็นเยือกดังออกจากปากของเย่เฟิง เสียงนี้ไม่เพียงแต่เหมือนเสียงฟ้าผ่าสำหรับจื่อเซียง แต่ยังทำให้จื่อเซียงรู้สึกกลัวจากจิติญญา นางตัวสั่นเทาอย่างแรง คล้ายมีพลังไร้ลักษณ์ปกคลุมร่างนาง บรรยากาศเปลี่ยนไปหดหู่ จนจื่อเซียงรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตาย
“ตุบ!”
นาทีต่อมามีเสียงหนึ่งดังขึ้น จื่อเซียงงอเข่า ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นต่อหน้าหลันเซียง
