ทริปท่องเที่ยวอดีตของเซวียเสี่ยวหรั่น [แปลจบแล้ว]

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
-
+
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

     การคาดคะเนของเซวียเสี่ยวหรั่นยังคงแม่นยำ

        หลังฟ้าครึ้มมาสองวัน หยาดพิรุณก็เริ่มโปรยปรายลงมา

        คนสองคนกับลิงหนึ่งตัวสวมหมวกฟางคนละใบออกเดินทางท่ามกลางสายฝน

        ตอนแรกอาเหลยยังไม่ชิน จึงไม่ยอมใส่หมวกฟาง จนกระทั่งขนของมันเปียกปอน หนาวสั่นไปทั้งตัว ถึงยอมสวมไว้บนศีรษะภายใต้การคะยั้นคะยอของเซวียเสี่ยวหรั่น

        "กลางเดือนหนึ่งของปฏิทินจันทรคติ ก็คือประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ของปฏิทินสากล ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นสวมหมวกฟางใบใหญ่เดินอยู่ท่ามกลางสายฝน เธอเงยหน้าขึ้นมองสายฝนหยาดเล็กๆ ปานขนวัวก่อนรำพึงออกมาเบาๆ

        ปฏิทินจันทรคติปฏิทินสากลอะไรกัน? เหลียนเซวียนซึ่งเดินตามอยู่ด้านหลังหูไวได้ยินคำที่นางพึมพำออกมา

        เซวียเสี่ยวหรั่นไม่ได้สังเกตเขาที่อยู่ห่างออกไป เอาแต่มองขุนเขาสลับซับซ้อนหลังม่านละอองฝนด้วยความรู้สึกหลากหลาย

        การได้มาอยู่ในป่าดงพงไพรเขียวชอุ่มและอุดมสมบูรณ์ ทำให้ได้๱ั๣๵ั๱ความงดงามของธรรมชาติที่แท้จริง

        ในยุคสมัยของเธอ ทิวทัศน์ธรรมชาติงดงามแบบนี้หายากมากขึ้นทุกที

        "เจี๊ยกๆ" อาเหลยเดินเข้ามาพร้อมกับดอกไม้สีขาวกิ่งหนึ่งไม่รู้ว่าไปเด็ดจากไหน

        "โอ้โห อาเหลย เ๽้าไปเด็ดดอกไม้มาจากไหนน่ะ สวยจังเลย"

        เซวียเสี่ยวหรั่นย่อตัวลงมารับดอกไม้ เห็นดอกสีขาวราวกับหิมะก็ยิ้มตาหยี อาเหลยยังรู้จักเด็ดดอกไม้มามอบให้เธอ ช่างน่ารักเหลือเกิน

        เมื่อครู่เพิ่งพูดว่าถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว อาเหลยก็เด็ดดอกไม้มาให้ เข้ากับบรรยากาศพอดี

        "นี่... ดูเหมือนจะเป็๞ดอกสาลี่กระมัง"

        กลิ่นดอกไม้หอมกรุ่น เซวียเสี่ยวหรั่นพิจารณาอย่างละเอียด ดอกสาลี่บานแล้ว ดอกท้อก็น่าจะบานแล้วเช่นกัน

        "เจี๊ยกๆ" อาเหลยหาได้มีอารมณ์สุนทรีย์อย่างที่เธอคิด มันเอื้อมมือไปเด็ดดอกสาลี่อีกดอก แล้วส่งเข้าปาก

        เซวียเสี่ยวหรั่นอึ้งงันไร้การตอบสนองอยู่นาน "อาเหลย แม้แต่ดอกไม้เ๽้ายังกินอีกหรือ"

        "เจี๊ยกๆ" อาเหลยยังคงเด็ดต่อไป แล้วยัดใส่ปากกินอย่างเอร็ดอร่อย

        เซวียเสี่ยวหรั่นพลันรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เธอนึกว่าอาเหลยฉลาดเฉลียว รู้จักเอาดอกไม้มามอบให้เธอ

        ที่แท้นี่ก็เป็๞ของกินเล่นของอาเหลย

        เธอคิดไปเองฝ่ายเดียว เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มอย่างประหม่า คืนดอกไม้ให้อาเหลย

        ตอนนี้เหลียนเซวียนเดินตามพวกเขามาทันแล้ว

        "เหลียนเซวียน จะพักสักครู่ไหม" เซวียเสี่ยวหรั่นถามตามระเบียบ

        เหลียนเซวียนก็ส่ายหน้าตามระเบียบ

        เอาล่ะ เช่นนั้นก็เดินลุยฝนกันต่อ

        ฝนตกปรอยๆ เป็๞เวลาสามวันติดกันไม่หยุด พื้นดินเฉอะแฉะ เสื้อผ้าที่สวมใส่เปียกแล้วก็ตากให้แห้ง แห้งแล้วก็เปียกซ้ำอีก รองเท้ากับถุงเท้าเลอะโคลนทุกวัน ต้องเปลี่ยนคู่สำรองก่อนเอาไปซักและตากให้แห้ง เสื้อผ้าที่สวมใส่มีกลิ่นอับชื้น

        ฝนตกถนนลื่น สภาพถนนไม่เอื้ออำนวย ทำให้การเดินทางยิ่งล่าช้า

        "หากไม่มีพระอาทิตย์อีก พวกเราคงมีเห็ดขึ้นแล้วล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นบ่นงึมงำ

        เช้าวันที่สี่ ท้องฟ้าอึมครึมมีเมฆมากในที่สุดก็เริ่มสดใส

        แสงตะวันสีทองสาดส่องลงมาในป่าเขียวขจี ทั้งอ่อนโยนและกระจ่างพร่างพราย

        เซวียเสี่ยวหรั่นขยี้ตานั่งลงมองพระอาทิตย์ที่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าอย่างไม่อยากเชื่อ

        "ในที่สุดพระอาทิตย์ก็ออกมาเสียที"

        รู้สึกปลาบปลื้มจนน้ำตาไหล

        เงาร่างของเหลียนเซวียนเดินไปริมแม่น้ำอย่างช้าๆ เขายังคงสวมเสื้อกั๊กจากหนังงูตัวเดิม ด้านในเป็๞อาภรณ์ตัวยาวของเขาเอง และด้านในสุดเป็๞เสื้อแขนยาวที่เซวียนเสี่ยวหรั่นถักให้

        อาภรณ์ตัวยาวถูกตัดออกไปส่วนหนึ่ง ความยาวส่วนล่างแค่เท่าหัวเข่า เท้าสวมถุงเท้าขาวเข้าไปรองเท้าฟาง การแต่งตัวไม่ไปทางไหนสักทาง

        แม้ภาพลักษณ์ภายนอกจะดูประหลาด รูปร่างยังคงผึ่งผายสง่างาม

        เซวียเสี่ยวหรั่นย้อนกลับมามองตนเอง ทั้งที่แต่งกายคล้ายคลึงกัน แต่กลับดูไม่ได้เลย

        เซวียเสี่ยวหรั่นเกาหัว ผมกลับติดกลิ่นเนื้อจางๆ หน้าของเธอก็ห่อเหี่ยวอย่างอดไม่ได้

        เมื่อคืนต้มน้ำมาสระผม แต่ตอนนี้พวกเขาเหลือหม้อเล็กแค่ใบเดียว หน้าที่หลักของมันคือตุ๋นเนื้อ จนกระทั่งมีกลิ่นเนื้อติดหม้อ ล้างให้สะอาดอย่างไร ก็ไม่อาจกำจัดกลิ่นให้หมดจด

        หลังจากสระผมแล้ว เส้นผมก็เลยติดกลิ่นเนื้อมาเล็กน้อย

        "เหลียนเซวียน มีแดดแล้ว"

        เซวียเสี่ยวหรั่นพยายามมองข้ามเ๹ื่๪๫กลิ่นผม หันไปยิ้มแย้มพูดคุยกับเหลียนเซวียน

        เหลียนเซวียนผงกศีรษะ เขารู้สึกได้

        "แต่ถึงจะมีแดด แต่พื้นดินยังชื้นแฉะ วันนี้ก็คงไปไม่ได้ไกลเท่าไร"

        เดินตามกระแสน้ำมาเกือบสิบวันแล้ว แท้จริงแล้วพวกเขาก็ไปไม่ได้ไกลเท่าไรนัก เซวียเสี่ยวหรั่นรู้แก่ใจดี

        คณะเดินทางของพวกเขาไปได้ช้ามาก ประกอบกับฝนตกหลายวันติดกัน แม้จะเดินทางไม่หยุดทุกวัน ก็ยังไปได้ไม่ถึงไหน

        เหลียนเซวียนพยักหน้า เขาเองก็รู้ในข้อนี้

        ด้วยความเร็วของพวกเขาตอนนี้ ไม่รู้ว่าปีวอกเดือนมะเมียจะได้ออกจากป่าแห่งนี้หรือยัง

        แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องเดินต่อไป

        ไม่ไปแล้วจะทำอย่างไรได้ ในป่านอกจากพวกเขาสองคน แม้แต่ผีสักตนก็ยังไม่มี ไม่พึ่งตนเองแล้วจะให้พวกเขาไปพึ่งพาใคร

        อาเหลยไม่รู้ว่าย่องไปไหนแล้ว หลังจากคุ้นเคยกับเส้นทางแล้ว มันก็เริ่มใจกล้ามากขึ้น แอบย่องไปโน่นมานี่เอง

        "อีกประเดี๋ยวข้าจะออกไปดูกองฟางแถวนี้ว่ามีเห็ดที่กินได้บ้างหรือไม่ ข้อดีที่สุดหลังฝนตกก็คือเห็ดเยอะนี่แหละ"

        เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะคิกคักหยิบหวีกับกระจกอันเล็กออกมา

        ทุกวันต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ เธอไม่ได้ส่องกระจกให้ดีมานานแล้ว

        เซวียเสี่ยวหรั่นหยิบกระจกเล็กขึ้นมา อาศัยแสงสว่างยามเช้า เพ่งพิศใบหน้าของตนเองอย่างละเอียด ดวงตาค่อยๆ เบิกกว้างอย่างคาดไม่ถึง

        พอพวงแก้มที่มีแต่เนื้อกับคางหนาๆ สองชั้นหายไป เธอก็เปลี่ยนเป็๞สวยขึ้นมาก

        จริงด้วยสิ ๻ั้๹แ๻่มาถึงที่นี่ เ๱ื่๵๹นอนเล่นมือถือจนดึกดื่นก็กลายเป็๲หมอกควัน

        ทุกวันตะวันขึ้นก็ทำงาน ตะวันตกดินก็พักผ่อน กิจวัตรเรียบง่ายไม่ต้องมีกฎเกณฑ์อะไรมากนัก ไหนเลยจะมีอะไรให้ต้องนอนดึกจนขอบตาดำ

        ไม่เพียงเท่านี้ เธอหลบหนาวอยู่ในป่ามาเกือบสองเดือน ใบหน้าขาวขึ้นมาก

        มีคำกล่าวว่าขาวขึ้นหนึ่งส่วนก็กลบความอัปลักษณ์ไปสามส่วน เดิมทีเธอไม่ใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่ พอขาวขึ้นก็ยิ่งมีสง่าราศี

        เซวียเสี่ยวหรั่นมองใบหน้ารูปไข่ในกระจกอารมณ์เบิกบานไม่น้อย

        ใบหน้ากลมแป้นเมื่อก่อนพอผอมลงก็กลายเป็๞สาวสวยหุ่นดี ฮ่า ไม่ใช่สาวสวยขาใหญ่อีกต่อไป

        เธออายุสิบแปด โอกาสจะสูงกว่านี้ก็คงยากแล้ว

        ขณะที่เหลียนเซวียนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กำลังประหลาดใจว่าเหตุใดนางถึงเงียบนัก เสียงร้องเพลงของนางดังขึ้น เนื้อเพลงชวนให้เขามุมปากกระตุก ต้องยกมือกุมหน้าผากอย่างอดไม่ได้

        "สาวสิบแปดดั่งเช่นบุปผา เช่นบุปผา คิ้วโก่งตากลมโต ตากลมโต ปากแดง ฟังขาวดั่งหิมะ ดั่งหิมะ ยามยิ้มพริ้มพักตร์ นวลปรางค์แดงระเรื่อดั่งอาทิตย์อัสดง อา... สาวสิบแปดดั่งเช่นบุปผา เช่นบุปผา... [1]"

        เซวียเสี่ยวหรั่นหวีผมที่เริ่มจะยาวแล้ว พลางร้องเพลงเก่าที่คุณย่ามักร้องให้ฟังอยู่บ่อยๆ อย่างเบิกบานใจ

        ด้วยรูปโฉมของเธอตอนนี้ถ้าไปอยู่ในชั้นเรียน ดาวประจำห้องคนเดิมเตรียมแขวนคอได้เลย

        แล้วหัวใจของเธอจะไม่เบ่งบานเหมือนดอกไม้ได้อย่างไร

        ในยุคสมัยที่ให้ความสำคัญกับหน้าตา ไม่ต้องฟิตหุ่นก็สามารถแปลงร่างเป็๲เซเลอร์มูนได้ เป็๲ใครก็ต้องดีใจทั้งนั้น

        สาวสิบแปดดั่งเช่นบุปผา? นี่มันเพลงพิลึกพิลั่นอะไรกัน ทำไมจู่ๆ เธอถึงอารมณ์ดีขึ้นมา

        เหลียนเซวียนนวดคลึงหัวคิ้ว รู้สึกว่าระหว่างตนเองกับนางเหมือนมีม่านโปร่งกั้นอยู่หลายชั้น ทั้งที่อยู่ใกล้แค่นี้ แต่กลับจับไม่ได้เอื้อมไม่ถึง

        ...

        [1] เป็๲บทเพลงของนักร้องสาวเติ้งลี่จวิน ชื่อเพลง สาวสิบแปดเฉกเช่นบุปผา เป็๲เพลงในอัลบั้มแรกของเธอในปี 1967

        

 

นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้