“จางหยาง!”
ไป๋หยุนเฟยสั่นระริกเค้นเสียงผ่านไรฟันออกมาสองคำ มันหันไปมองช้าๆกระทั่งมองเห็นที่ห่างออกไปหกเจ็ดวามีชายหนุ่มแต่งกายเลิศหรูในมือถือพัดจีบยิ้มแย้มกล่าวบางอย่างกับหญิงสาวด้านข้าง --- จะเป็ใครหากไม่ใช่จางหยาง!
มันเพียงกำหมัดแน่นและกัดฟันจนแทบหลั่งโลหิต ไป๋หยุนเฟยสะกดกลั้นไม่ให้ตนเองสิ้นคิดพุ่งเข้าไปแลกชีวิตกับจางหยาง เนื่องเพราะมันทราบดีว่ายามนี้ไม่อาจเอาชนะแม้แต่คนคุ้มกันรอบกายจางหยางได้
“ไม่เลว ข้าจะซื้อหาเครื่องประดับที่งดงามให้แก่ท่านป้าสักชิ้นสองชิ้น และอีกสองวันข้าจะกลับบ้านแล้ว สมควรนำของขวัญกลับไปมอบให้มารดาสักชิ้นเช่นกัน”
น้ำเสียงสดใสราวกระทบแก้วผลึกแว่วเข้าหูไป๋หยุนเฟย มันเงยหน้าขึ้นมองเห็นด้านหลังของหญิงสาวผมยาวละมุนร่างเพรียวระหงในชุดครามสดใสกำลังมองไปยังร้านค้าริมถนนด้วยท่าทีเฉยชา
“เป็นาง...”
ไป๋หยุนเฟยนิ่งงันมองเงาร่างทั้งสองค่อยๆเดินจากไป ดูเหมือนความรู้สึกแปลกประหลาดสุดพรรณนาแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ มันตบศีรษะอย่างแรงเพื่อสงบใจลงบ้างจากนั้นหันหลังสาวเท้าออกไปอีกทิศทาง
มันใช้เงินจำนวนหนึ่งซ่อมแซมหลุมศพของมารดาและท่านปู่อย่างดี จากนั้นจัดสร้างป้ายหน้าหลุมศพ แล้วจึงเดินทางไปทั่วเมืองซื้อหาสิ่งของมากมายเช่น อาหาร เสื้อผ้า เครื่องครัว อาวุธ เครื่องประดับและสิ่งอื่นอีกหลายสิ่ง ด้วยแหวนช่องมิติมันจึงกระทำได้อย่างสะดวกสบายยิ่ง
การสั่งสอนอันธพาลทั้งสามในตรอกเมื่อยามเช้ากลับเปลี่ยนแปลงความคิดมัน มันทราบแล้วว่าการฝึกฝนอย่างหนักอยู่หลังประตูไม่ใช่หนทางดีที่สุด มันยังคงขาดสิ่งสำคัญที่สุดไป มันขาดประสบการณ์ในการต่อสู้จริง
ฉะนั้นนับจากนี้ นอกจากการฝึกฝนที่บ้าน ก่อนเข้านอนไป๋หยุนเฟยจะออกจากบ้านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม เพื่อเสาะหานักเลงอันธพาลในเมืองมาต่อสู้
แต่มันสังเกตปัญหาออกอย่างรวดเร็ว --- คู่ต่อสู้เหล่านี้ง่ายและธรรมดาเกินไปสำหรับระดับของมัน อีกทั้งที่รังแกชาวบ้านทั่วไปมีเพียงอันธพาลชั้นต่ำ ไป๋หยุนเฟยรู้สึกว่าการต่อสู้กับพวกมันกลับไม่มีส่วนช่วยพัฒนาฝีมือ ผลรับเดียวคือเหล่าอันธพาลได้รับโทษทัณฑ์อันสาสมให้ผู้คนที่ถูกพวกมันรังแกได้ปรบมืออย่างสาแก่ใจ
ทว่ามิจฉาชีพกลุ่มใหญ่ในเมืองล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลจาง ไป๋หยุนเฟยเกรงจะเปิดเผยตนจึงไม่เคยมุ่งเป้าไปยังพวกมัน --- ก่อนที่มันจะมีพลังเพียงพอ มันจำต้องกระทำทุกสิ่งอย่างระมัดระวัง
ผ่านไปเก้าวัน ไป๋หยุนเฟยจึงตัดสินใจเลือกเป้าหมายใหม่ --- กลุ่มโจรบนภูไม้ดำ
ภูไม้ดำห่างจากเมืองลั่วซีออกไปราวสิบวัน ที่มาของชื่อเป็เพราะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้ที่มีเนื้อไม้สีดำ ทั้งสามด้านล้วนเป็หน้าผาสูงชัน ทางขึ้นภูเพียงด้านเดียวลักษณะต้นแคบปลายกว้าง ชัยภูมิรับง่ายรุกยากโดยธรรมชาติ ไม่ทราบั้แ่เมื่อใดกลุ่มอันธพาลมิจฉาชีพรวมตัวกันกลายเป็กลุ่มโจรยึดครองพื้นที่บนภูและก่อตั้งค่ายไม้ดำขึ้น พวกมันมุ่งเป้าที่ขบวนขนส่งสินค้าและการค้าของหมู่บ้านรอบๆภู เ้าเมืองลั่วซีส่งทหารมาปราบปรามหลายคราแต่ล้วนถูกโจมตีแตกพ่ายกลับมาอย่างเสียขวัญ
ก่อนนี้ไป๋หยุนเฟยได้ยินการกระทำอันโเี้ของกองโจรภูไม้ดำ มันเคยได้ยินกระทั่งว่าบางหมู่บ้านถูกพวกมันกวาดล้างทำลาย ยามนั้นไป๋หยุนเฟยทำได้เพียงลอบทอดถอนใจสาปแช่ง ปรารถนาให้ฟ้าดินลงทัณฑ์พวกโจรเ่าั้ แต่ยามนี้อาจบางทีจิตใจมันเปลี่ยนแปลงเพราะพลังที่ได้รับ มันรู้สึกว่าควรกระทำบางอย่างเพื่อเติมเต็ม’ปรารถนา’ที่มันเคยมุ่งหวัง
แน่นอน ไป๋หยุนเฟยไม่คาดว่าจะสามารถกวาดล้างกองโจรในค่ายไม้ดำในคราเดียว เพียงหวังจัดการโจรกลุ่มเล็กที่ลงจากภูมาเพื่อใช้พัฒนาฝีมือจากการต่อสู้จริง ด้วยกำลังของตนการจัดการโจรทั่วไปล้วนไม่ยากเย็น อีกทั้งโจรเหล่านี้กระทำเื่ชั่วช้ามาทุกรูปแบบ การจับส่งทางการนับว่าช่วยปลดแอกแก่ผู้คน ต่อให้ลงมือฆ่าฟันก็ยังไม่กระทบมโนธรรมของตนเอง
หลังจากตระเตรียมพร้อมไป๋หยุนเฟยก็ออกจากเมืองลั่วซีมุ่งหน้าไปยังภูไม้ดำ
นี่เป็การเดินทางไกลออกนอกเมืองเป็ครั้งแรกของมัน ดังนั้นทุกสิ่งเบื้องนอกล้วนไม่คุ้นเคย ดังนั้นจึงตัดสินใจไม่เร่งรีบเดินทาง แต่ฝึกฝนและทำความคุ้นเคยกับทักษะที่จำเป็ในการเอาตัวรอดในป่าแทน
เนื่องเพราะไม่คุ้นเคยกับถนนหนทาง ไป๋หยุนเฟยจึงต้องสอบถามทิศทางตลอดการเดินทาง ภายหลังค่อยจึงพบว่ามีปัญหา --- ััด้านทิศทางของมันดูเหมือนจะย่ำแย่อยู่บ้าง
แม้ว่าทิศทางหลักจะถูกต้อง มันกลับวกอ้อมหลายต่อหลายครา ผู้ที่บอกทางไป๋หยุนเฟยบอกกล่าวอย่างชัดเจนว่าเดินทางครึ่งวันก็ถึงที่หมาย แต่มันกลับเดินวกวนกว่าจะถึงที่หมายก็ใช้เวลาไปทั้งวัน
โดยเฉพาะเมื่อมันเลือกใช้เส้นทางตัดตรงทะลุป่าเข้าไปกลับเดินอยู่ในป่าถึงหนึ่งวันกับหนึ่งคืนอีกทั้งต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ร้าย แต่ยังดีที่สามารถยึดถือเป็เป้าฝึกฝีมือได้ แม้จะยังไม่ได้ต่อสู้กับผู้คนแต่ก็ได้ประสบการณ์จากการต่อสู้กับสัตว์ร้ายเหล่านี้ไม่น้อย
วันที่หกหลังออกจากเมืองลั่วซี ไป๋หยุนเฟยปีนขึ้นเนินเขามองไปเห็นหมู่บ้านเล็กๆห่างจากเชิงเขาไม่ไกล จึงตัดสินใจเข้าไปค้างคืนและสอบถามเส้นทาง...
… … … …
ยามนี้ไป๋หยุนเฟยอยู่ทางด้านใต้ของหมู่บ้าน แต่ทางตะวันตกของหมู่บ้านพลันปรากฏฝุ่นคลุ้งขึ้นมา เสียงฝีเท้าม้าห้อตะบึงดังกึกก้องทำลายความเงียบสงบ กลุ่มคนกว่าสามสิบควบม้ามาอย่างเร่งร้อน
คนเหล่านี้ท่าทีดุร้ายเพียงมองปราดเดียวก็ทราบว่าไม่ใช่คนดี อีกทั้งพวกมันยังพกพาอาวุธ ที่นำหน้าเป็ชายวัยกลางคนหน้าเหลืองจมูกบวมโต มันไม่กำยำดุร้ายเช่นผู้คนด้านหลัง แต่ดวงตายามกรอกไปมากลับเปี่ยมด้วยเล่ห์เหลี่ยม มันสังเกตสีสันท้องฟ้าแล้วหันไปกล่าวกับผู้ที่ติดตามมา “ม้าห้อตะบึงมาทั้งวันสมควรพักผ่อน ทุกคนตั้งค่ายที่ป่าละเมาะด้านหน้า พวกเราจะพักผ่อนหนึ่งคืนแล้วเดินทางต่อ!”
เมื่อถึงป่าละเมาะพวกมันก็ตั้งกระโจมก่อไฟเตรียมอาหาร ผู้นำกลางคนนั้นนั่งบนก้อนหินจิบสุราจากขวดในมือ
“เ้าสำนักพอใจบรรณาการที่ส่งมอบให้ครานี้ยิ่งนัก ดังนั้นจึงประทานวัตถุิญญาแก่พวกเรา ท่านหัวหน้ามีเกราะิญญาไหมทองอยู่แล้ว ด้วยหนามธารน้ำแข็งนี้จะยิ่งทำให้แข็งแกร่งขึ้น คราครั้งนี้ทำงานสำเร็จลุล่วงเมื่อกลับค่ายท่านหัวหน้าต้องตกรางวัลข้าอย่างงาม!” กล่าวถึงตอนนี้มันอดไม่ได้ต้องตบกล่องไม้แคบยาวในอกเสื้อ “วัตถุิญญา... เมื่อใดข้าจึงจะมีสักชิ้น?”
ยามนี้ปรากฏชายร่างใหญ่เครารกครึ้มดวงตาราวปลาตายเดินมายังชายกลางคน กล่าวคำพูดด้วยท่าทีสอพลอ”หัวหน้าหอจง มีหมู่บ้านอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล ข้าอยากพาพี่น้องไปหยิบฉวยอาหารเลิศรสกลับมา หลายวันมานี้เหล่าพี่น้องต้องรับประทานอาหารแห้งที่พกมาจนแห้งเหี่ยวยิ่งแล้ว”
ชายวัยกลางคนแซ่จางหันไปมองมันพลางหัวร่อดุด่า ”ข้ารู้ว่าเ้าไม่ได้หวังหยิบฉวยอาหารแก่พี่น้องเรา แต่เ้า้าสตรีอีกแล้วกระมัง?” ทันทีที่มันกล่าวจบผู้คนรอบข้างล้วนะเิเสียงหัวร่อดังสนั่น
ชายร่างใหญ่ดวงตาดั่งปลาตายไอแห้งๆอ้ำอึ้งอยู่บ้าง หัวหน้าหอจงจึงกล่าวต่อ “เช่นนั้นพาพี่น้องไปสิบคน หยิบฉวยของมีค่าทุกอย่างที่พบเห็น ที่นี้นับว่าห่างไกลและกันดารคาดว่าทหารทางการก็ไม่มาถึงที่นี่”
ใบหน้าชายร่างใหญ่ปรากฏท่าทียินดี มันะโก้อง “ขอบคุณหัวหน้าหอ!”
… … … …
ในหมู่บ้านเงียบสงบ ควันไฟลอยม้วนขึ้นจากเตาในครัว เด็กหลายคนวิ่งเล่นอย่างเบิกบาน สุนัขสีเหลืองทองตัวใหญ่นอนเกียจคร้านอาบแสงอาทิตย์ยามอัสดงอยู่หน้าหมู่บ้าน
ทันใดใบหูสุนัขสีเหลืองทองตัวใหญ่พลันกระดิก ดวงตาฉายแววระวังภัย มันพลิกตัวยืนขึ้นจากนั้นโก่งตัวเล็กน้อยมองไปเบื้องหน้าส่งคำรามเสียงต่ำ
พื้นดินราวกับสั่นะเืเล็กน้อย จากนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าม้าอย่างเร่งร้อน ปรากฏกลุ่มคนควบม้าบนถนนตรงเข้าสู่หมู่บ้าน
ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปีหาบถังน้ำคู่หนึ่งด้วยคานบนบ่ากำลังเดินกลับบ้าน เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวด้านหลังจึงหันไปมองอย่างงุนงง
ทันทีที่มันหันไปมอง ใบหน้าที่นับว่าหล่อเหลาของมันพลันแปรเปลี่ยนเป็ซีดขาวเปี่ยมด้วยความหวาดกลัว ขาของมันสั่นสะท้าน ดูเหมือนหลังจากงงงันชั่วอึดใจก็มีปฏิกิริยา มันโยนคานบนบ่าทิ้งและรีบเร่งไปกลางหมู่บ้านแผดร้องอย่างไม่อาจข่มกลั้น “พวกโจรบุก! พวกโจรบุกเข้ามาแล้ว! พวกโจรบุกเข้ามาแล้ว!”
ทันทีที่สิ้นเสียงะโ ทั้งหมู่บ้านล้วนแตกตื่น ผู้คนนับร้อยจากสิบกว่าครอบครัวทยอยออกจากบ้านมาด้วยใบหน้าสับสน พวกมันมองชายหนุ่มที่หมอบอยู่กลางหมู่บ้านกำลังซุกศีรษะในวงแขนของตนเอง
หญิงสาวงดงามอายุเยาว์ วงหน้ารูปไข่ตากลมโตไว้ผมยาวประบ่า เดินเข้าหาชายหนุ่มที่สั่นกลัวและดึงแขนมันอย่างห่วงใย “พี่เสี่ยวเฟิง เกิดอะไรขึ้น? อะไรเข้ามา?”
“พวกมัน พวกมันกลับมาอีก... ถูกทำลาย... หมู่บ้านถูกทำลาย... ทุกคนต้องตาย ทุกคนต้องตาย... บิดา มารดา... น้องสาวข้า... พวกมันกลับมาอีกแล้ว...”
ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง ดูเหมือนความกลัวครอบงำสติมันหมดสิ้น แต่เมื่อมันได้ยินคำพูดที่ห่วงใยของหญิงสาวก็พลันยืนขึ้น มันเงยหน้าขึ้นกะทันหันใบหน้าเปี่ยมด้วยความกลัวและกังวล มันกุมมือหญิงสาวกล่าวอย่างเร่งร้อน”พวกมันกำลังมา! รีบหาที่ซ่อนตัว! หลิงเอ๋อร์รีบหาที่ซ่อน! สตรีอายุเยาว์ทั้งหมดรีบไปซ่อนตัวในบ้าน! พวกเ้าห้ามออกมา ทุกคนนำของมีค่าทั้งหมดในบ้านออกมามอบให้พวกมัน! มอบให้พวกมัน... ไม่เช่นนั้นพวกเ้าต้องตาย... ต้องตาย”
เดิมทีมันกล่าววาจากับหญิงสาวนั้น แต่ภายหลังกลับะโเสียงดังแก่ชาวบ้านรอบข้าง
ทุกคนงุนงงอยู่บ้าง แต่ล้วนได้รับผลกระทบจากท่าทีและคำพูดของชายหนุ่ม พวกมันใช้ท่าทีวิตกกังวลมองไปยังชายชราอายุราวห้าสิบปีที่อยู่อีกด้านพร้อมกัน --- นั่นเป็ผู้ใหญ่บ้านของที่นี่
ยามนี้ใบหน้าผู้ใหญ่บ้านเคร่งขรึมลง มันมองไปยังชายหนุ่มนามเสี่ยวเฟิงจากนั้นเหลียวหน้าไปมองกลุ่มคนบนหลังม้าที่เคลื่อนเข้าใกล้หมู่บ้าน
“เสี่ยวเฟิงมาจากหมู่บ้านหลี่ใกล้กับภูไม้ดำ เนื่องเพราะคนในหมู่บ้านต่อต้านกลุ่มโจรจากค่ายไม้ดำจึงถูกฆ่าล้างเกือบหมดสิ้น เป็เหตุให้ยามนี้มันเป็เยี่ยงนี้...” ผู้ใหญ่บ้านดูเหมือนกล่าวกับตนเองแต่ก็ดูเหมือนกล่าวกับผู้คนรอบกาย มันเงยหน้าขึ้นกล่าว “ทั้งหมดฟังคำของเสี่ยวเฟิง! ให้ผู้หญิงทุกคนไปซ่อนตัว! อีกสักครู่อย่าได้ขัดขืนพวกมัน!”
เมื่อม้าสิบกว่าตัวเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวบ้านที่ยังอยู่ที่กลางหมู่บ้านล้วนสั่นสะท้านไม่หยุด คนดุร้ายเหล่านี้ล้วนถือดาบใหญ่เย็นเยียบในมือแลดูน่ากลัวนัก
“โอ? ผู้คนในหมู่บ้านนี้ช่างแปลกพิเศษ ดูเหมือนรอต้อนรับพวกเราอยู่? ประเสริฐ! หากพวกเ้าเชื่อฟัง วันนี้ท่านลุงของเ้าคนนี้จะไม่ทำร้ายผู้ใด! รีบนำสุราอาหารและสมบัติที่พวกเ้ามีทั้งหมดออกมาคารวะ! หากข้าพอใจจะจากไปหลังจากได้ข้าวของ!” ชายร่างใหญ่ตาราวปลาตายกล่าววาจาพลางหัวร่อ ราวกับหยิบยื่นพระคุณยิ่งใหญ่แก่ชาวบ้าน
ผู้ใหญ่บ้านมองดูอาวุธในมือพวกมัน ไม่กล้าแม้จะตอบคำ มันคำนับชายร่างใหญ่กล่าวว่า”นายท่านขอบคุณสำหรับความเมตตา พวกเราจะไปนำข้าวของที่ท่าน้าออกมา กรุณารอสักครู่...”
จากนั้นจึงส่งสายตาแก่คนด้านหลัง แม้พวกมันไม่้าทำเช่นนี้แต่ก็ไม่กล้าขัดขืน สิบกว่าคนนั้นหันหลังกลับไปยังบ้านของตน จะให้ชาวบ้านในหมู่บ้านกลางป่าเขาอย่างพวกมันอาจหาญไปต่อต้านโจรร้ายเหล่านี้ได้อย่างไร? พวกมันยังยินดีที่โจรเหล่านี้เพียงหยิบฉวยข้าวของโดยไม่ทำร้ายผู้ใดด้วยซ้ำ
“ช้าก่อน!” ทว่าชายร่างใหญ่ตาดั่งปลาตายพลันร้องะโ ขู่ขวัญพวกมันจนขวัญหนีดีฝ่อ “ให้สตรีงดงามอายุเยาว์ในหมู่บ้านกลับไปพร้อมท่านลุงเ้าคนนี้! ข้ายังมีพี่น้องอีกหลายสิบรอคอยที่ป่าละเมาะบนเขา เห็นแก่ที่พวกเ้าเชื่อฟังหากพวกนางปรนนิบัติอย่างดีพวกข้าจะปล่อยพวกนางกลับมาอย่างปลอดภัย”
