เยี่ยนเจาเจาพยายามย้อนคิดถึงวัยเด็กว่าตอนที่ตนะโลงจากชิงช้าอย่างใจกล้าในครานั้น หนานิเหอได้เอ่ยกับนางจริงหรือไม่?
นางคิดเกี่ยวกับเื่นี้กระทั่งสวมอาภรณ์เสร็จก็ยังคิดไม่ออก ความทรงจำเว้นห่างมาสองชาติ เจาเจาจึงจำไม่ค่อยได้แล้ว
ทว่าเจาเจายังคงจำสีหน้าเยียบเย็นแฝงความจนใจของหนานิเหอได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ซึ่งทำให้นางอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เฝ่ยชุ่ย คุณชายรองทานข้าวหรือยัง?”
เยี่ยนเจาเจาถาม
นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้เรือนของหนานิเหอเละเทะไปหมดจนต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งในการจัดข้าวของใหม่ ยามนี้เขาจึงมาอาศัยอยู่ที่เรือนของตน
“คุณชายรองตื่นก่อนคุณหนูหนึ่งเค่อ ยังไม่ทานข้าวเ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเ้าไปเชิญเขามาทานข้าวเช้าพร้อมกับข้าเลย”
เยี่ยนเจาเจายิ้มจนตาหยี คาดไม่ถึงว่าใบหน้าของเฝ่ยชุ่ยกลับจนใจ “คุณชายรองต้องไปเรียนหนังสือกับนายน้อย คาดว่ากำลังจะไปแล้วเ้าค่ะ ”
นางลืมไปเลยว่าวันก่อนๆ นางไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้ ปกติเมื่อนางตื่นขึ้นมา พี่ชายรองก็กลับมาจากฝั่งท่านพ่อแล้ว
“เช่นนั้นข้าจะไปเรือนนภาครามกับพี่ชายรองด้วย”
ทานข้าวคนเดียว ยากจะเลี่ยงความเหงา
อีกนัยหนึ่งคือเมื่อวานนี้เยี่ยนเจาเจาตัดสินใจแล้วว่านางจะไม่เป็คนโง่งมอีกต่อไป นางอยากฉวยโอกาสเรียนรู้หลายๆ อย่างจากท่านพ่อท่านแม่ขณะที่อายุยังน้อย
อดีตไม่ใช่นางไม่เรียนหนังสือ เพียงแต่นางไม่ค่อยชอบฟังการสอนที่เหมือนสวดมนต์ของท่านพ่อ นางเลยมักจะทำแค่ครึ่งๆ กลางๆ จนปีก่อนองค์หญิงจึงตรัสว่าจะเชิญปราชญ์หญิงจากข้างนอกมาสอนหนังสือนาง
น่าเสียดายที่ท่านแม่ต้องไปค่ายหทารหลังฉลองปีใหม่พอดีและเพิ่งได้กลับมา่นี้ จึงไม่รู้ว่าปราชญ์หญิงผู้นั้นจะมาเมื่อใด
เมื่อเยี่ยนเจาเจาะโลงจากที่นั่ง เสี่ยวชุ่ยก็รีบกอดเตาอุ่นมือ[1] และเสื้อคลุมจิ้งจอกดำประกายเงินตามไปทันที
วันนี้อากาศไม่ดีนัก เพิ่งเปิดม่านออกพลันได้ยินเสียงฝนตามฤดูดังมาจากข้างนอก แล้วกลิ่นไอดินก็โชยเข้ามาปะทะใบหน้า
หลังจากเสี่ยวชุ่ยถือร่มให้เยี่ยนเจาเจา ทั้งสองเดินเลี้ยวสองรอบก็มาถึงลานเล็กอีกแห่งในเรือนหิมะมรกต พบหนานิเหอที่ยืนถือกระเป๋าหนังสืออยู่บนระเบียงทางเดินพอดี ส่วนหลานเล่อกำลังจัดการร่มของเขาอยู่ เมื่อเขาเห็นเจาเจามาจึงรีบะโว่า “คุณหนูห้ามาขอรับ”
“พี่ชายรอง หลานเล่อ ข้าไปเรือนนภาครามกับพวกท่านนะเ้าคะ”
เยี่ยนเจาเจายิ้มจนตาโค้งมน หนานิเหอมองนางแวบหนึ่งด้วยสีหน้าที่อ่อนลงโดยไม่รู้ตัว เขาดึงร่มกระดาษน้ำมันด้ามใหม่เอี่ยมออกจากมือของหลานเล่อแล้วเดินไปทางเยี่ยนเจาเจา
เสี่ยวชุ่ยหูตาไวมีไหวพริบอยู่แล้ว นางจึงมอบเสื้อคลุมของเจาเจาให้กับหนานิเหอแล้วถอยออกไปด้านข้าง
หนานิเหอห่อตัวเจาเจาน้อยที่หน้าตาน่ามองั้แ่หัวจรดเท้าอย่างระมัดระวังโดยไม่ยอมให้นางต้องลมแม้แต่น้อย ก่อนจะจูงมือคนหายไปท่ามกลางม่านสายฝน
หลานเล่อได้แต่มองร่มในมือตนที่หายวับไปด้วยความสับสนมึนงงเล็กน้อย
คาดไม่ถึงว่าเมื่อเขาหลุดจากภวังค์ ก็เห็นว่าคุณชายของตนพาญาติผู้น้องผู้บอบบางน่ารักคนนั้นเดินหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว กระทั่งเสี่ยวชุ่ยข้างกายเยี่ยนเจาเจายังตามไปด้วย
เป็ครั้งแรกที่หลานเล่อรู้สึกว่าตนเองไร้ความจำเป็ขนาดนี้ แต่เขาก็จนปัญญาทำได้เพียงหยิบร่มอีกคันแล้วรีบไล่ตามไป
หนานิเหอและเยี่ยนเจาเจาเดินอยู่ข้างหน้า โดยมีเสี่ยวชุ่ยเดินตามหลังด้วยรอยยิ้มกริ่ม ส่วนหลานเล่อที่เมื่อตามมาทันก็ถลันมาข้างๆ เสี่ยวชุ่ยเพื่อเบียดเข้าร่มนางอย่างหน้าตาเฉย แต่ก็ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้ามากกว่านี้
“พี่ชายรองอยู่เรือนหิมะมรกตสบายไหมเ้าคะ?”
หนานิเหอผงกศีรษะ เยี่ยนเจาเจาจึงยิ้มทะเล้น “ไม่รู้ว่าเพราะพี่ชายรองอยู่ใกล้ข้าหรือไม่ เมื่อคืนข้าถึงฝันเห็นพี่ชายรอง”
ฝีเท้าของหนานิเหอชะงัก ก่อนที่เขาจะเลิกคิ้วขึ้น
ความหมายของเขาคือให้เจาเจาเล่าต่อ
เยี่ยนเจาเจายิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าฝันถึงตอนเด็กที่ข้าตามพี่ชายรองไปโน่นมานี่กระทั่งตกลงมาจากชิงช้า แต่เป็พี่ชายรองที่ช่วยข้าไว้ ทั้งยังบอกให้ข้าระวังด้วยเ้าค่ะ”
หนานิเหอเม้มริมฝีปากยิ้มๆ สีหน้าราวกับตำหนิว่านางซุกซนเอาแต่ใจ เยี่ยนเจาเจาจึงหัวเราะลั่นอย่างมีความสุข ทว่านางมัวแต่หัวเราะจนพลาดร่องรอยความคิดถึงที่เล็ดลอดออกมาจากั์ตาหนานิเหอไป
นานขนาดนั้นแล้ว...
นางกลับยังจำได้
มุมปากของเขากระตุกครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ทั้งหมดนี้ล้วนตกอยู่ในสายตาแม่นางน้อยข้างกายทั้งหมด
เมื่อถึงเรือนนภาคราม หนานิเหอจึงไปเรียนที่ห้องหนังสือกับเยี่ยนเหิงตามปกติ ส่วนเยี่ยนเจาเจาเลยไปหาท่านแม่ของตน
องค์หญิงยังคงสวมชุดบุรุษสะอาดคล่องตัวด้วยท่าทางองอาจห้าวหาญ บนหน้าผากยังมีเม็ดเหงื่อประปราย คาดว่าคงไปฝึกกระบี่มา
ความจริงเยี่ยนเจาเจาอิจฉาทักษะวิทยายุทธของท่านแม่มาก ทว่านางรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนดี หากอยากฝึกยุทธก็เกรงว่าต้องเป็ภพหน้าแล้ว
“ท่านแม่!”
เมื่อพบหน้ากันต้องเริ่มออดอ้อนก่อน เยี่ยนเจาเจากระโจนเข้าอ้อมกอดของท่านแม่แล้วเอนหัวลงบนตัวของพระองค์ ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ ราวกับแค่มองท่านแม่ตนเช่นนี้ก็อิ่มอกอิ่มใจที่สุดในโลกแล้ว
พระทัยองค์หญิงจึงอดเอ็นดูไม่ได้ พระองค์ทรงโอบตัวนางไว้ในอ้อมกอด แต่ครู่หนึ่งก็เหมือนคิดอะไรบางอย่างออกเลยให้ทุกคนหลบออกไป ก่อนจะเอ่ยเสียงแ่เบา “ซ่งฝูจินตายแล้ว”
เยี่ยนเจาเจาตะลึงงันชั่วครู่ ก่อนั์ตาของนางจะปรากฏแววว่า “เป็ดังที่คาดจริงๆ”
คลุกคลีตีโมงกับคนของฮองเฮาจนตั้งครรภ์เช่นนี้ อย่างไรก็ยากจะหนีโทษตายพ้น
เมื่อซ่งฝูจินตายแล้ว เยี่ยนเจาเจาก็ไม่กังวลอีกว่าชาตินี้นางจะเข้ามาในสวนมวลบุปผาหอมของตนได้
ทว่ายามนี้ไร้พยานหลักฐานพิสูจน์แล้วว่าซ่งฝูจินเป็เบี้ยของคนอื่นหรือไม่ ส่วนเยี่ยนเจาเจาเองก็ไม่สามารถใช้สาเหตุว่าเป็ความฝันเพื่อขอให้ท่านแม่ตรวจสอบซ่งฝูจินโดยตรงได้
แต่เมื่อพิจารณาเื่ที่เกิดขึ้นภายหลังแล้ว นางจึงเอ่ยใคร่ครวญว่า “ท่านแม่ สวนมวลบุปผาหอมของพวกเราต้องวางคนเพิ่มไหมเ้าคะ เพื่อหลีกเลี่ยงคนบ้านใหญ่กล้าฉวยโอกาสเข้าออกตามอำเภอใจตอนท่านแม่ไม่อยู่ และพาใครไม่รู้เข้ามาเ้าค่ะ”
นางไม่เพียงเพื่อกันบ้านใหญ่อ้างภูติผีมาก่อความวุ่นวายในสวนมวลบุปผาหอมเท่านั้น ยังอยากแอบเตือนท่านแม่ให้ควบคุมสวนมวลบุปผาให้รัดกุมขึ้นด้วย
ซ่งฝูจินตายแล้วเช่นนี้ มือมืดเื้ัต้องหาทางอื่นเพื่อยัดคนเข้ามาอีกแน่ ต้องเตรียมการล่วงหน้าไว้ถึงจะถูก
แม้เื่นี้เจาเจาจะไม่พูด องค์หญิงก็คิดไว้แล้ว
ในอดีตนางประมาทเลินเล่อไป ทว่าั้แ่เหตุการณ์เจาเจาตกน้ำจนบ้านใหญ่ก่อกวนสวนบุปผาหอม นางจึงตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าตนเปิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ให้คนที่จ้องเขมือบอยู่
“เริ่มเปลี่ยนคนแล้ว ลูกข้าไม่ต้องกังวล”
ไม่รู้องค์หญิงทรงคิดอะไรอยู่ ั์เนตรถึงได้เย็นวาบขึ้น
องค์หญิงทรงอ้างเหตุผลที่เจาเจาตกน้ำเพื่อจัดระเบียบสวนมวลบุปผาหอมได้พอดี และพบว่าสถานที่นอกสายตาบางแห่งโดนส่งคนเข้ามาจริงๆ แม้นมีผลกระทบเล็กน้อยก็เป็การเตือนนางอยู่ดี
ในเมื่อองค์หญิงกล่าวเช่นนี้ เยี่ยนเจาเจาย่อมหมดห่วง เมื่อสองแม่ลูกกำลังจะคุยเื่อื่นต่อก็ได้ยินเสียงซงจื่อดังขึ้นเบาๆ มาจากนอกประตู
“องค์หญิง หวังฮูหยินพาคุณหนูใหญ่มาขอพบเพคะ”
ในจวนยังมีหวังฮูหยินคนไหนอีก นอกเสียจากหวังซื่อ ผู้เป็แม่แท้ๆ ของเยี่ยนฟางหวา
เยี่ยนเจาเจาเหลือบตามองท่านแม่เล็กน้อย เมื่อเห็นแววเย้ยหยันเคลือบเบาบางในั์เนตรของพระองค์ ตนเองก็เผลอยิ้มเยาะตาม
หวังซื่อเก็บอารมณ์เก่งเสมอ เหตุใดคราวนี้กล้ามาหาถึงเรือนกัน?
เชิงอรรถ
[1] เตาอุ่นมือ หมายถึง เตาหลายขนาดมีั้แ่เท่าผลส้มถึงลูกแตง ทำเป็แบบมีหูหิ้วหรือทรงธรรมดามีฝาปิด เพื่อให้พกติดตัวได้