เหอตังกุยกวาดตามองไปรอบห้องสายตาหยุดอยู่ที่ป้ายซึ่งทำมาจากไม้มะเกลือที่ถูกเจินิกับพวกชนจนล้มคว่ำอยู่บนพื้น
อักษรสีทองที่สลักอยู่บนนั้นสว่างไสวจนนางแสบตาไปหมด“แด่ลูกรัก เหอตังกุย” เบื้องล่างมีอักษรขนาดเล็กสลักไว้อีกว่า “ราชวงศ์ิหงอู่ปีที่ยี่สิบเจ็ด ขึ้นเจ็ดค่ำ เดือนเก้า”
ตอนนี้... นางมีอายุแค่สิบปี
เหอตังกุยไม่มีเวลาจัดระเบียบความคิดที่ยุ่งเหยิงของตัวเองอีกแล้วนางรู้เพียงแต่ว่าอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น!
“แม่ชีน้อยเจินจิ้งขอน้ำให้ข้าหน่อยได้หรือไม่? ” เมื่อกล่าวออกไปเหอตังกุยก็ต้องใกับน้ำเสียงที่แหบพร่าของตัวเอง
เจินจิ้งที่กำลังกราบคำนับพลางสวดมนต์ไปด้วยนั้นได้ยินว่าคนในโลงกำลังเรียกชื่อตน หรือว่า...นี่จะเป็ิญญาอาฆาตที่้าตัวตายตัวแทนหรือนางจะอยากพาตนไปอยู่ด้วย? เมื่อคิดได้ดังนั้น เจินจิ้งก็สติแตกไปในทันทีนางรินน้ำด้วยร่างกายที่แข็งทื่อและดวงตาเบิกกว้างราวกับเป็หุ่นเชิดที่ไร้ชีวิตก็ไม่ปานแม่ชีน้อยเดินมาหยุดอยู่ข้างโลงด้วยท่าทางไร้ิญญาจากนั้นก็ยกถ้วยน้ำขึ้นเหนือหัวเป็เชิงถวาย เมื่อเห็นดังนั้นเจินิกับพวกอีกสองคนก็หมดสติไปในทันที
เหอตังกุยประคองถ้วยน้ำด้วยมือทั้งสองข้างค่อย ๆ ดื่มน้ำสะอาดทีละอึกอย่างใจเย็นโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้างเลยแม้แต่น้อยน้ำเปล่าที่เย็นจับใจถ้วยนี้ทำให้นางรู้สึกดีเสียยิ่งกว่าซุปรังนกที่เคยดื่มในอดีตถ้วยเนื้อหยาบในมือก็ให้ััที่ดีเหนือกว่าเครื่องทองที่เคยใช้เสียอีก
หลังดื่มน้ำในถ้วยจนไม่เหลือแม้แต่หยดเดียวเหอตังกุยก็หันไปมองเจินจิ้งที่เอาน้ำมาให้ แล้วจึงส่งยิ้มแทนคำขอบคุณทว่าเจินจิ้งกลับเอาแต่ยืนตัวแข็งทื่อ ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบกลับมา เหอตังกุยเข้าใจดีว่าการที่จู่ๆ ตนก็ลุกขึ้นมาจากโลงแล้วขอน้ำดื่มเช่นนี้ ช่างน่าหวาดกลัวมากเพียงใดนางไม่พูดจาให้มากความเหอตังกุยดึงมือเจินจิ้งมาประทับลงบนหัวใจของตนแล้วกล่าวขึ้น “อย่ากลัวไปเลยลองจับดูสิ ตัวของข้ายังอุ่นอยู่ ข้ายังไม่ตาย ข้ายังมีชีวิตอยู่”
เจินจิ้งได้สติกลับมาอีกครั้งทว่าดวงตากลมโตของนางยังคงเต็มไปด้วยความหวาดผวาเหอตังกุยจึงดึงมือนางมาแตะเส้นชีพจรของตัวเองต่อใบหน้าของเจินจิ้งขาวซีดราวกับกระดาษ ทว่าท่าทีกลับดูใจเย็นและสงบเป็อย่างมากในที่สุดหัวใจที่เต็มไปด้วยความหวาดผวาของนางก็สงบลง แม่ชีน้อยสูดหายใจลึกมือเล็กหายสั่นในที่สุดและแล้วนางก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นบนผิวกายและเส้นชีพจรที่ยังเต้นอยู่ของอีกฝ่าย
ความประหลาดใจเข้ามาแทนที่ความหวาดผวาเจินจิ้งร้องอุทานขึ้นเสียงดัง “ยังอุ่นอยู่จริง ๆ คุณหนูเหอยังไม่ตายจริง ๆเ้าค่ะ อาจารย์ ท่านรีบมาดูเร็ว คุณหนูเหอยังมีชีวิตอยู่!รีบให้หมอมาตรวจอาการนางเร็วเ้าค่ะท่านอาจารย์! ”
แม่ชีไท่ซั่นมีอายุเฉียดห้าสิบปีแล้วเรียกได้ว่าผ่านโลกมามากมายเมื่อเห็นคนที่ตายไปแล้วสองสามวันฟื้นขึ้นมาต่อหน้าต่อตาแม้จะรู้สึกตกตะลึงและเหลือเชื่ออยู่บ้าง แต่สุดท้ายนางก็ปักใจเชื่อได้ในที่สุดนางคิดขึ้นในใจ... ได้ข่าวว่าคุณหนูเหอคนนี้ เดิมก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัดสามวันดีสี่วันไข้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนางยังต้องมาตากลมตากฝนในศาลาพักศพนานถึงสองสามวันขนาดคนที่มีสุขภาพแข็งแรงก็ยังทนไม่ไหวนับประสากระไรกับคนที่มีสุขภาพอ่อนแอและบอบบางราวใกล้ตายแบบนั้น บางทีนี่อาจเป็พลังชีวิตเฮือกสุดท้ายของนางก็ได้ รอให้ลมหายใจสุดท้ายของนางสิ้นสุดลงทุกอย่างก็จะกลับไปเป็เหมือนเดิมอีกครั้ง...
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้แม่ชีไท่ซั่นจึงพูดขึ้น “ตอนนี้ฟ้าก็มืดมากแล้ว ทั้งยังมีฝนตกอีกจะไปหาหมอมาจากที่ใดกัน? อีกอย่าง คุณหนูเหอเพิ่งฟื้น ต้องรีบพักผ่อนเอาแรงเจินจิ้ง เ้ารีบประคองนางไปพักที่ห้องทางปีกตะวันออกเร็ว” จากนั้น นางก็หันไปมองแม่ชีไท่ซีผู้เป็หัวหน้า“ศิษย์พี่ ท่านคิดว่าอย่างไร? ” แม่ชีไท่ซีขานรับเพียงคำเดียวจากนั้นก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีกทำให้ใบหน้าของแม่ชีไท่ซั่นผุดประกายรอยยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ
เจินจิ้งประหลาดใจนักเพราะนอกจากหมู่จวนที่เชิงเขาจะมีหมอแล้ว อาจารย์ป้าไท่เฉินเองก็มีความสามารถเื่การตรวจอาการและปรุงยารักษาโรคด้วยเช่นกันลำพังแค่ตายแล้วฟื้นก็นับเป็เื่ที่พบได้ยากมากพออยู่แล้วทำไมน้ำเสียงของท่านอาจารย์ถึงฟังดูคล้ายกับ้าให้คุณหนูเหอเอาตัวรอดด้วยตนเองอย่างไรอย่างนั้น...จู่ ๆ เจินจิ้งก็นึกขึ้นได้ว่าห้องที่ปีกตะวันออกนั้นร้างมานานมากแล้วหน้าต่างและบานประตูก็ทรุดโทรมจนไม่สามารถกำบังลมฝนได้
เหอตังกุยปรายตามองแม่ชีไท่ซั่นด้วยสีหน้าราบเรียบจากนั้นก็จับมือเจินจิ้งเพื่อประคองตัว แล้วก้าวออกมาจากโลงพร้อมรอยยิ้ม“เช่นนั้นก็รบกวนแม่ชีเจินจิ้งด้วย ช่วยพาข้าไปที่ห้องทางปีกตะวันออกทีเถอะ”เจินจิ้งชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับในที่สุด
เมื่อทั้งสองเดินจากไปไกลบ่าวรับใช้ที่ถูกส่งมาเฝ้าศพจึงตรงเข้าไปล้อมร่างของแม่ชีไท่ซั่นเอาไว้พลางพ่นคำถามออกมาเป็ขบวน...
“แม่ชีท่านอยู่ใกล้นางมากกว่า ดูออกหรือไม่ว่านางกลับมามีชีวิตอีกครั้งจริง ๆ หรือไม่?พวกเราไปบอกข่าวนี้กับฮูหยินรองเสียเดี๋ยวนี้เลยดีหรือไม่? ”
“เกิดเื่แบบนี้ขึ้นได้อย่างไรท่านแม่ชี ท่านไม่ลองทำพิธีขับไล่สิ่งชั่วร้ายดูเสียหน่อยหรือ? ”
“ข้าสุขภาพไม่แข็งแรงมาโดยตลอดข้าเข้าไปใกล้สิ่งชั่วร้ายแบบนั้นไม่ได้ใช่หรือไม่? ”
“อย่างไรเสียท่านก็มอบยันต์ให้เราไว้คุ้มกายหน่อยเถอะ ท่านก็เห็นแล้วนี่นางต้องโกรธที่จวนตระกูลหลัวทำกับนางเช่นนั้นต้องอยากกลับมาเอาชีวิตคนที่ทำไม่ดีกับนางไว้แน่! ”
แม่ชีไท่ซั่นรอจนพวกนางพูดจบจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เื่ส่งข่าวน่ะ อย่าเพิ่งรีบร้อนกันนักเลยหากคุณหนูเหอมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงครึ่งวันแต่เราไปบอกเื่นี้กับนายท่านทั้งหลายก่อน เช่นนั้นฮูหยินชรากับฮูหยินทั้งหลายก็จะดีใจเปล่าหากทำให้ฮูหยินชราต้องหลั่งน้ำตาและเสียใจอีกครั้งล่ะก็เท่ากับพวกเราทำผิดร้ายแรงเชียวนะ”
บ่าวรับใช้หลิวจิ่วกวงพยักหน้าเห็นด้วย“ถูกต้อง ๆ ตอนนี้ฮูหยินชราก็สุขภาพไม่ค่อยจะดี ฮูหยินรองเคยเชิญซินแสมาดูที่จวนซินแสบอกว่าที่ทิศตะวันตกของจวน มีคนชะตาแข็งคอยกดอายุขัยของผู้ใหญ่อยู่...ซินแสคนนั้นกำลังหมายถึงนางชัด ๆ ดูสิตอนนี้แม้จะตายไปแล้วก็ยังฟื้นขึ้นมาอีกจนได้ ทั้งยังดื่มน้ำและพูดได้อีกด้วยแบบนี้ก็ตรงตามที่ซินแสพูดเลย! ”
บ่าวรับใช้เกาต้าซานก็กล่าวแสดงความเห็นด้วย“ตอนยังมีชีวิตอยู่ พวกเราไม่ได้ค่าเหนื่อยตอบแทนจากนางเลยแม้แต่น้อยข้ายังคิดว่าจะได้เงินกลับมาบ้างเมื่อนางตายไป แต่นางก็ไม่ยอมสงบเสียทีเป็อย่างไรเล่าทีนี้ แม้แต่เงินค่าฝังศพก็ไม่มีหวังจะได้รับแล้วแถมยังต้องออกเงินค่าเดินทางไปส่งข่าวด้วยตัวเองอีก!ถึงว่า...คนในจวนจึงแอบพูดกันว่านางเป็ตัวซวย! ”
เมื่อได้ยินนางพูดหยาบคายเช่นนั้นบ่าวรับใช้หลิวกุ้ยจึงขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “นี่ก็จวนจะเที่ยงคืนแล้ว มีเื่อันใดค่อยพูดกันตอนฟ้าสว่างก็ได้ปล่อยของในนี้เอาไว้อย่างนี้ก่อนเถอะ แล้วเราค่อยมาวางแผนกันวันหลัง”
เมื่อถูก ‘ผีหลอก’เช่นนั้น ทุกคนต่างก็ใจนสมองหยุดทำงานกันหมดท้ายที่สุดจึงตัดสินใจแยกย้ายกันกลับไป
…...
ที่ห้องปีกตะวันออกทุกสิ่งเหมือนภาพในความทรงจำของเหอตังกุยทุกประการ เจินจิ้งเลือกห้องอยู่นานจนเมื่อได้ห้องที่ดีที่สุดแล้ว จึงประคองเหอตังกุยเข้าไปนอนพักเนื่องด้วยห้องนี้ทรุดโทรมมาก ลมจึงพัดเข้ามาอย่างต่อเนื่องอากาศหนาวราวกับอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็งเลยทีเดียว นอกจากเตียงไม้ที่เหอตังกุยนอนอยู่รอบด้านก็มีเพียงโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมและเก้าอี้อยู่เพียงอย่างละตัวเท่านั้น
“คุณหนูเหอที่นี่เงียบสงบมากที่สุดในวัด เหมาะสำหรับการพักผ่อนที่สุดแล้ว”เจินจิ้งหาชุดแม่ชีมาคลุมให้นาง “ท่านนอนพักที่นี่ไปก่อน ข้าจะไปขอหมอน ผ้าห่มเตาผิงและเสื้อผ้ามาจากอาจารย์ ท่านจะได้ใช้พวกมันให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย”เมื่อพูดจบ นางก็วิ่งออกไปทันที
“รอก่อน! ” จู่ ๆเหอตังกุยที่นิ่งเงียบมาตลอดทางก็กล่าวขึ้น
เจินจิ้งมองคนตัวเล็กที่แลดูอ่อนแอตรงหน้าจากนั้นจึงยิ้มเป็เชิงปลอบประโลม “อย่ากลัวไปเลย ข้าไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น”
“บอกข้าหน่อยนี่มันเดือนไหน ปีไหนแล้ว? แล้วข้าชื่ออะไร? ” เหอตังกุยถาม
“หา?! ” เจินจิ้งอึ้งไปเสียแล้ว
“เร็ว! บอกข้ามา! ”
เจินจิ้งเกาแก้มตัวเองเชิงครุ่นคิดแล้วตอบคำถามกลับไปในที่สุด “เดือนไหน ปีไหน? ... ตอนนี้เป็ราชวงศ์ิหงอู่ปีที่ยี่สิบเจ็ด เดือนเก้า ส่วนชื่อของท่าน... มันถูกเขียนเอาไว้บนป้ายหน้าศพแต่ข้าอ่านหนังสือไม่ออก...”
เมื่อได้ยินดังนั้นเหอตังกุยก็หลับตาลง ถูกต้อง ถูกต้องแล้ว นี่เป็สิบแปดปีก่อนจริง ๆ เสียด้วยทันใดนั้นนางก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงลองลูบจับไปที่หน้าอกของตนเองเป็อย่างที่คิด... มีจี้รูปกุญแจทองคำอยู่จริง ๆนี่เป็เครื่องรางนำโชคและอายุยืนที่มารดาสั่งให้ช่างฝีมือชั้นเยี่ยมทำให้นางยามแรกเกิดเหอตังกุยลูบของในมืออย่างหวงแหน ใบหน้าเผยรอยยิ้มขมขื่น เกรงว่าตอนนั้นคงจะเป็ตอนที่มารดารักนางมากที่สุดในชีวิตแล้วกระมัง
เมื่ออายุได้สองขวบมารดาและบิดาหย่าขาดจากกัน ผู้บัญชาการเหอยกอนุภรรยาขึ้นเป็ภรรยาเอก ทั้งยังเปลี่ยนชื่อของมารดาในหนังสือประจำตระกูลจากตำแหน่งภรรยาเอกมาเป็‘น้าหลัว (หย่า) ’ อีกด้วย เหตุนี้นางจึงกลายเป็บุตรสาวของน้าสาวแห่งตระกูลเท่านั้นซึ่งนั่นแปลว่านางถูกปลดจากตำแหน่งบุตรสาวคนโตของตระกูลมาเป็บุตรสาวคนรองที่ไม่ได้เกิดจากฮูหยินใหญ่ของจวนนั่นเองหลังการหย่า มารดาก็พานางกลับไปที่ตระกูลหลัวซึ่งเป็จวนเดิมด้วยความโกรธแค้นในตอนแรก มารดาคิดว่าผู้บัญชาการเหอบิดาของนางคงจะหลงเสน่ห์ของนางจิ้งจอกสาวคนนั้นเพียงชั่ววูบ จึงตัดสินใจหย่ากับตนหากคิดถึงบุตรสาวเมื่อใด สามีย่อมกลับมาตามตนและลูกกลับไปอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้แม้จะกลับไปที่จวนเดิมแล้วทว่ามารดาก็ยังจ้างให้บ่าวรับใช้ภายในจวนของอดีตสามีนำเื่ราวของผู้บัญชาการเหอและฮูหยินคนใหม่มารายงานอยู่ไม่ขาดแต่ใครจะไปคิดว่า เมื่อฟังรายงานไปได้เพียงครึ่งเดียวมารดาก็ร้องห่มร้องไห้และก่นด่าขึ้นมาทันที นางพังของทุกอย่างที่สามารถจะพังได้ภายในห้องลงจนหมดที่แท้ ฮูหยินคนใหม่ก็มีบุตรชายให้ผู้บัญชาการเหอั้แ่ตอนที่ยังเป็เพียงอนุแล้วและเด็กคนนั้นก็มีอายุห่างกับเหอตังกุยเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นฮูหยินชราตระกูลเหอและผู้บัญชาการเหอรักใคร่บุตรชายคนโตคนนี้มาก จึงไม่เคยพูดถึงนางและบุตรสาวอีกเลยั้แ่วันนั้นเป็ต้นมา มารดาก็ไม่ยอมอุ้มหรือร้องเพลงให้เหอตังกุยฟังอีก
เมื่ออายุได้สี่ขวบตระกูลหลัวซึ่งเป็ตระกูลฝั่งมารดาไม่้าจะชุบเลี้ยงเหอตังกุยอีกต่อไปท่านยายของนางจึงมักจะไปทะเลาะกับมารดาถึงที่เรือนอยู่ทุกวัน ในตอนนั้น เหอตังกุยโตจนเข้าใจความหมายของคำจำพวก‘ตัวถ่วง’ กับ ‘เก็บเอาไว้ไม่ได้’ แล้วนางกลัวเหลือเกินว่ามารดาจะไม่้าตนแล้วจริง ๆนางคิดถึงเื่นี้และกังวลใจมาโดยตลอด จนล้มป่วยลงในที่สุดทว่าท่านยายกลับฉวยโอกาสนี้กล่อมให้มารดานำนางไปทิ้งเอาไว้ในหมู่จวนเล็ก ๆ นอกเมืองบอกเพียงว่าหากทำเช่นนั้น จะทำให้นางเติบโตได้ดีที่สุด ขณะนั้นมารดาของนางมีอายุเพียงยี่สิบสามปี นางเกลียดบิดาของเหอตังกุยที่ใจดำตัดบัวไม่เหลือใยจนเข้ากระดูกอีกทั้งไม่อยากให้อนาคตของตนต้องมาเสียไปเพราะจำต้องอยู่ดูแลลูกน้อยสุดท้ายนางจึงตกลงใจส่งเหอตังกุยออกไปจากจวน
สามปีต่อมาเพราะคำพูดที่ว่า ‘แต่งงานใหม่กับคนที่มีสกุลเดียวกับสามีเก่าไม่ถือว่าเป็เื่เสียเกียรติ ทั้งยังจะถูกคนอื่น ๆ เรียกว่าฮูหยินเหอทำให้ชื่อเสียงและชื่อเรียกดูดีขึ้นมามาก’ มารดาจึงตกลงแต่งงานกับเหอฟู่ผู้ดีตกยากที่มีอายุน้อยกว่านางสามปี ตามความ้าของท่านตาและท่านยายทว่าแม้จะแต่งกันถึงสองปีแล้ว นางก็ยังไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้อยู่ดีหมอวินิจฉัยว่า เพราะก่อนหน้านี้นางรับประทานเนื้อชะมดเชียงมากเกินไปจึงไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้อีก ต่อมา จู่ ๆ นางก็นึกถึงเหอตังกุย บุตรสาวเพียงคนเดียวที่บัดนี้มีอายุเก้าขวบแล้วนางจึงมารับเหอตังกุยกลับไปอยู่ด้วยกัน โดยให้เรียกเหอฟู่ว่าพ่อทั้งยังให้นางฝึกการดีดพิณและร่ายรำเพื่อให้เหอฟู่พึงพอใจอีกด้วย
คิดไม่ถึงเลยว่าเหอตังกุยเพิ่งจะเข้ามาอยู่ด้วยกันได้ไม่ถึงปีเหอฟู่ก็ใช้เงินซื้อตำแหน่งผู้ว่าการทหารภายในเมืองหลวงซึ่งเป็ตำแหน่งระดับแปดได้สำเร็จ วันที่เขาเข้าไปรับตำแหน่งที่จวนอิ้งเทียนเหอฟู่ไม่ได้พาสองแม่ลูกไปด้วย แต่กลับหนีออกไปจากจวนโดยพาบ่าวรับใช้ไปแค่ไม่กี่คนเท่านั้นไม่ได้ฝากคำอำลาไว้เลยด้วยซ้ำแต่เพราะจวนที่พวกนางอาศัยอยู่ในตอนนี้เป็สินเดิมที่มารดานำไปด้วยตอนแต่งเข้าตระกูลเหอดังนั้น มารดาจึงฝากให้คนประกาศขายจวน แล้วพาเหอตังกุยกลับไปที่จวนตระกูลเหอซึ่งเป็จวนเดิมอีกครั้ง
ท่านยายของนางเสียชีวิตไปั้แ่สองปีก่อนแล้วบัดนี้คนที่รับหน้าที่ดูแลจวนเป็สะใภ้จากตระกูลซุนซึ่งเป็ภรรยาลุงคนรองของเหอตังกุยนั่นเอง มารดาเสียใจเป็อย่างมากนางละอายใจเกินกว่าที่จะอาศัยอยู่ภายในจวนจึงใช้เวลาส่วนมากไปกับการสวดมนต์อยู่ภายในวัดซานชิง เหอตังกุยที่มีอายุเพียงสิบปีจึงต้องทนอยู่ในจวนท่ามกลางการดูถูกเหยียดหยามจากคนในตระกูลทว่ายังไม่ถึงครึ่งปี นางก็จำอันใดไม่ได้อีกเลยรู้ตัวอีกทีก็ถูกยกเข้ามาในวัดสุ่ยซังพร้อมกับโลงศพเช่นนี้นั่นเอง
ชาติภพก่อนเหอตังกุยได้สติขึ้นมาอีกครั้งภายในโลงศพเช่นเดียวกัน ขณะนั้น หน้าผากของนางมีรอยช้ำประทับอยู่ทั้งยังมีอาการข้อเท้าแพลงอย่างรุนแรงอีกด้วยแต่นางกลับจำเื่ราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นไม่ได้เลยและไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงมานอนอยู่ภายในโลงศพนี้ได้
ในตอนนั้นใครบางคนเคยถามนางว่าเพราะเหตุใดถึงตายแล้วฟื้นคำตอบของนางคือนางจำได้ว่าตัวเองฝันไป ในฝันนางเห็นเด็กสามคนตีกันเพราะแย่งลูกกวาดเม็ดหนึ่งเมื่อลูกกวาดนั้นร่วงลงบนพื้นดิน นางก็เก็บมันขึ้นมาแล้วกินมันลงไปจากนั้นจึงได้สติกลับมาอีกครั้ง
ต่อจากนั้นคำพูดเหล่านี้ก็กระจายไปถึงหูของคนในตระกูลเดิมของมารดาฮูหยินชราและฮูหยินใหญ่เองก็เคยเชิญคนมาทำนายความฝันนี้ด้วยเช่นกันเพียงแต่ไม่เคยมีใครได้ยินคำทำนายของนักทำนายฝันก็เท่านั้น นับแต่นั้นเป็ต้นมาคนในตระกูลก็ทิ้งนางเอาไว้ในวัดสุ่ยซัง ให้นาง ‘ฝึกจิตใจ’ อยู่ภายในวัดแห่งนี้นอกจากนี้ ยังให้เงินกับแม่ชีไท่ซั่นมากถึงห้าสิบตำลึงเพื่อให้แม่ชีไท่ซั่นเชิญอาจารย์มาสอนเื่ ‘คุณธรรมของสตรี’ กับ ‘มารยาทของสตรี’ให้แก่นาง
่แรกคนในวัดก็ดูแลนางในฐานะแขกคนหนึ่ง แม้อาหารสามมื้อจะดูอนาถาไปบ้างแต่อย่างน้อยก็มีปริมาณมากพอให้กินจนอิ่ม นางต้องสวดบทไถ่โทษทุกวันอีกทั้งแม่ชีไท่ซั่นก็มักจะสั่งให้นางท่องบทไถ่โทษต่อหน้าทุกคนยามเรียนภาคเช้าอยู่เป็ประจำเนื้อหาใน ‘บทไถ่โทษ’ ถูกแต่งขึ้นโดยแม่ชีไท่ซั่นกับแม่ชีไท่เฉินความหมายโดยรวมของบทสวดนี้คือนางเป็ตัวซวย เพิ่งเกิดมาก็ทำให้บิดามารดาท่านตาและท่านยายต้องซวยไปด้วย ทำให้พี่น้องไม่อาจมากำเนิดในตระกูลได้ขอให้ทวยเทพเทวดาทั้งหลายให้อภัยกับความผิดบาปของนาง เป็ต้น ในตอนนั้นเหอตังกุยยังฟังบทสวดนั้นไม่รู้เื่จึงไม่รู้ว่าบทสวดไถ่โทษนั้นมีความหมายว่าอย่างไรกันแน่ เมื่อสั่งให้ท่องนางก็ท่องออกไปตามคำสั่ง ทว่าแม่ชีที่ฟังบทสวดรู้เื่กลับฟังไปแอบขำไปด้วยทุกครั้ง
สองเดือนต่อมา แม่ชีไท่เฉินเดินทางไปที่จวนของท่านยายอีกครั้งเพื่อรายงานผลที่ได้จากการ ‘อบรม’ รวมทั้งเรียกเก็บ ‘ค่าเลี้ยงดู’ของ่เวลาที่ผ่านมา คิดไม่ถึงว่าในครั้งนั้น แม่ชีไท่เฉินกลับไม่ได้พบฮูหยินรองมีเพียงผู้ดูแลที่สอดเงินห้าสิบอีแปะมาให้ทางช่องที่มุมกำแพง เสมือนกำลังขับไล่ขอทานที่น่ารังเกียจเช่นนั้นั้แ่นั้นเป็ต้นมา เหอตังกุยก็ถูกลดระดับไปเป็คนที่มีฐานะต่ำที่สุดในวัดต้องทำงานให้มากและกินให้น้อยหากไม่ใช่เพราะเจินจิ้งคอยนำอาหารเหลือมาให้บ้างเป็ครั้งคราวล่ะก็นางคงได้เข้าไปนอนในโลงเป็ครั้งที่สองแน่
มีอยู่ครั้งหนึ่งเป็เพราะการอาบน้ำเย็นในเดือนสิบสองซึ่งเป็หน้าหนาวของปีทำให้นางล้มป่วยครั้งใหญ่ เมื่ออาการป่วยหายดี นางก็ไม่กล้าอาบน้ำเย็นอีกเลยทว่าก็ไม่มีน้ำอุ่นให้อาบ นางจึงไม่ได้อาบน้ำเป็เวลานาน เมื่อแม่ชีในวัดเจอนางก็มักจะใช้แขนเสื้อปิดจมูกแล้ววิ่งหนีออกไปอย่างเร็วเฉกเช่นกำลังถูกปีศาจไล่ฆ่าก็ไม่ปาน ทว่าเมื่อชายส่งฟืนที่ร่างท่วมเหงื่อมาที่วัดคนพวกนั้นกลับวิ่งเข้าไปหา ทั้งยังพยายามจะเข้าใกล้อย่างหน้าไม่อาย
นางในชาติภพก่อนใช้ชีวิตเช่นนี้ในวัดสุ่ยซังนานถึงครึ่งปีกระทั่งมารดาฟังสวดในวัดซานชิงจนพึงพอใจ จึงกลับมาที่จวนตระกูลหลัวอีกครั้งในตอนนั้นเองที่มารดาพบว่าเหอตังกุยไม่ได้อยู่ในจวนแล้ว เหตุนี้นางจึงส่งคนมารับนางกลับไป
เมื่อก้าวผ่านประตูจวนไปเป็ครั้งที่สามเหอตังกุยที่เต็มไปด้วยความคับข้องใจที่ต้องทนทุกข์กับความยากลำบากมานานก็ไปร้องเรียนเื่นี้กับมารดาและฮูหยินชราอย่างเหลืออดแต่พวกนางกลับทำเป็ไม่ได้ยิน ไม่ยอมช่วยเหลือนางเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อป้าสะใภ้รองรู้ว่านางนำเื่นี้ไปร้องทุกข์ก็นึกแค้นนางั้แ่นั้นเป็ต้นมา คอยบีบคั้น กลั่นแกล้งทั้งยังจำกัดเื่การกินอยู่ของนางมากขึ้นกว่าเดิม
ความทุกข์ใจภายในจวนเดิมของมารดาทำให้นางหวังจะแต่งงานออกไปให้เร็วที่สุดนางวาดฝันเอาไว้ว่าสักวันชายหนุ่มที่แสนสง่าจะปรากฏตัวขึ้นแล้วพานางออกไปจากจวนหลังนี้ไปยังดินแดนที่ไกลแสนไกลและคอยปกป้องไม่ให้นางถูกทำร้ายได้อีก
เมื่ออายุได้สิบสี่ปีนางช่วยหญิงชราที่หกล้มจนได้รับาเ็เอาไว้โดยบังเอิญจากนั้นก็มีคนเข้ามาสู่ขอนางที่จวนกระทั่งคนผู้นั้นถามว่านางยินดีจะแต่งเป็สนมของหนิงอ๋องหรือไม่นางถึงได้รู้ว่าคนที่ตนช่วยเอาไว้ในวันนั้น เป็แม่นมของหนิงอ๋องนั่นเอง
ทันใดนั้นจวนตระกูลหลัวก็ครึกครื้นขึ้นมาทันที ครึกครื้นยิ่งกว่า่เทศกาลปีใหม่เสียอีกเหล่าป้าสะใภ้ทั้งหลาย ทั้งฮูหยินใหญ่ฮูหยินรองและฮูหยินสามต่างก็เข้ามาพูดคุยกับนางอย่างสนิทสนมลูกพี่ลูกน้องทั้งชายและหญิงไม่เว้นแม้แต่หลานชายและหลานสาวต่างก็เข้ามารุมล้อมนางมีทั้งคนที่เรียกนางว่าพี่สาว น้องสาวและน้าสาวอยู่เต็มไปหมดคนเ่าั้ต่างก็บอกให้นางช่วยเหลือเื่นั้นเื่นี้ราวกับว่าพวกเขามีคำพูดที่อัดอั้นมานานทั้งชีวิตที่อยากจะพูดกับนางเช่นนั้น
ในวันนั้นไม่ว่าจะเดินไปที่ใดมารดาที่ไม่เคยมีเกียรติมาตลอดสิบกว่าปีก็ได้รับคำแสดงความยินดีจากทุกคนอย่างไม่ขาดสายได้รับความเคารพจากทุกคนในจวน ใบหน้าของนางจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มเดินไปไหนมาไหนอย่างอกผายไหล่ผึ่งได้เสียที
ฮูหยินชรามีศักดิ์เป็ภรรยาของท่านตาเป็น้องสาวแท้ ๆ ของท่านยาย นางเป็คนพูดน้อยมาั้แ่ไหนแต่ไร ทว่าในครั้งนั้นนางกลับเรียกเหอตังกุยเข้าไปหาแล้วพูดย้ำกับนางอยู่นานฮูหยินชราบอกให้เหอตังกุยคิดถึงมารดาทุกครั้งก่อนจะทำสิ่งใดบอกให้นางอย่าถือโทษโกรธคนในตระกูลหลัวที่เคยทำไม่ดีกับนางทั้งยังพร่ำสอนนางว่าเป็สตรีจะต้องยึดหลัก “สามเชื่อฟัง สี่คุณธรรม”ยังไม่ออกเรือนต้องฟังคำบิดา ออกเรือนแล้วต้องเชื่อฟังสามี หากสามีตายต้องฟังคำของบุตรชายนี่เป็กฎเหล็กที่มีมานานกว่าพันปีนางจะโทษว่าความลำบากที่พบเจอในวัยเด็กเป็เพราะความทารุณของคนในตระกูลหลัวไม่ได้แต่ควรจะโทษบิดาที่ไม่ให้การคุ้มครองต่างหาก
ฮูหยินชราตระกูลหลัวถือลูกปัดสำหรับสวดมนต์เอาไว้ในมือแล้วอบรมต่อไปอีกว่า อย่าตีตัวออกหากจากตระกูลเพียงเพราะความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆและอย่าลืมบุญคุณยิ่งใหญ่ที่ผู้อื่นมอบให้เพียงเพราะความแค้นที่ฝังลึกอยู่ในใจญาติร่วมสายเืนั้นอยู่เหนือทุกสิ่ง ไม่อาจทำลายสายสัมพันธ์นี้ลงได้ต่อให้คนในตระกูลหลัวจะร้ายกับนางอย่างไร พวกเขาก็ยังเลี้ยงดูนางมาสิบกว่าปีให้นางได้กิน ได้อยู่จนเติบใหญ่ ยามได้ดิบได้ดี ย่อมไม่ควรจะลืมคนเ่าั้ไปและหากวันใดวันหนึ่ง นางทำความผิดใดขึ้นมาก็ห้ามให้เื่นั้นเดือดร้อนมาถึงตระกูลหลัวอย่างเด็ดขาด...
หลังจากรับฟังคำพูดมากมายของทุกคนในตระกูลหลัวในที่สุด เหอตังกุยในชุดแต่งงานสีแดงสดที่มารดาตัดให้อย่างตั้งใจก็ขึ้นเกี้ยววิวาห์ที่จวนอ๋องส่งมารับพร้อมกับคิดในใจว่าั้แ่นี้ ตนจะหลุดพ้นจากทะเลแห่งความทุกข์และได้ขึ้น์เสียทีแต่คาดไม่ถึงเลยว่า นางเพียงก้าวออกมาจากทะเลแห่งความทุกข์เพื่อะโลงไปในบ่อเพลิงแห่งความเ็ปเท่านั้น
เพราะนางเป็เพียงอนุที่แต่งเข้ามาตามความ้าของแม่นมชราของจวนดังนั้น หลังลงจากเกี้ยวแดงก็ไม่มีเสียงดนตรีบรรเลง ไม่มีผ้าแพรเจ็ดสีไม่มีการไหว้ฟ้าดินหรือส่งตัวเข้าห้องหอใด ๆ ทั้งสิ้นนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนิงอ๋องหน้าตาเป็อย่างไรกันแน่
วันที่สองหลังจากแต่งเข้าไปในจวนนางไปคารวะน้ำชาให้แก่พระชายาเอกเซี่ยเฉี่ยวเฟิงตามธรรมเนียมทว่าพระชายาเอกกลับทำน้ำชาหกอย่าง ‘ไม่ตั้งใจ’ ทำให้ชาร้อน ๆในชามนั้นหกใส่หน้าของนางจนเปียกชุ่มไปหมดนางได้พบกับพระชายารองโจวชิงหลานในเวลาต่อมา พระชายารองโจวประทานยาสำหรับแผลน้ำร้อนลวกให้ทั้งยังปลอบนางว่าตัวเองก็เคยผ่านประสบการณ์เช่นนั้นมาก่อน แต่อีกไม่นานทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง เพราะขวดยาและถ้อยคำปลอบใจเ่าั้ทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งและคิดว่านั่นเป็พระคุณมาโดยตลอด แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่นางได้รับกลับเป็การแทงข้างหลังจากโจวชิงหลาน...
หลังแต่งเข้ามาในจวนได้หนึ่งปีในงานเลี้ยงประจำจวน นางได้พบกับชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็สามีของตนเป็ครั้งแรกหนิงอ๋องจูเฉียน คนที่ลึกลับ สูงส่ง เฉลียวฉลาด ทว่าก็งามสง่าคนนั้นเขามีดวงตาที่สะกดทุกหัวใจ รอยยิ้มบาง ๆที่สามารถกระชากิญญาหญิงสาวได้ั้แ่แรกเห็น เพียงเขายืนอยู่ตรงนั้นบรรยากาศรอบ ๆ ก็ราวกับมีความสง่างามสูงส่งลอยตลบอยู่เต็มไปหมดแม้ภายใต้สิ่งที่เห็นจะมีรังสีสังหารซ่อนอยู่ชั้นแล้วชั้นเล่าแต่เขาก็งดงามและสมบูรณ์แบบมากเช่นเดียวกับที่นางเคยวาดฝันถึงสามีเลยล่ะ ไม่สิเขาดียิ่งกว่านั้นเสียอีก
ชั่วชีวิตของคนส่วนมากถูกใช้ไปกับสามเื่เท่านั้น...หลอกลวงตนเอง รังแกผู้อื่นและถูกผู้อื่นรังแกในครึ่งแรกของชีวิตนางถูกผู้อื่นรังแก ในชีวิตครึ่งหลังของนางคือการหลอกตนเองด้วยคำพูดที่ฮูหยินชราตระกูลหลัวพร่ำบอกก่อนจะแต่งงานนางหลอกตนเองว่าความเมตตาเป็อาวุธที่ดีที่สุดบังคับไม่ให้ตนเองโกรธหรือเกลียดคนในตระกูลหลัวบังคับไม่ให้ตัวเองเกลียดพระชายาเซี่ยผู้ที่เคยทำร้ายนางรวมถึงผู้อื่นที่กำลังคิดจะทำร้ายนางด้วย
หัวใจคือจอมหลอกลวงที่ร้ายกาจนักผู้อื่นสามารถหลอกเราได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นทว่าหัวใจกลับหลอกเราได้ตลอดชีวิต ในชาติภพก่อนนางคิดว่าหากทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจ ทำทุกเื่อย่างสุดความสามารถสักวันความทุกข์ก็จะหมดไป และความสุขก็จะเข้ามาหาเองคิดไม่ถึงเลยว่าทั้งหมดนั้นจะเป็เพียงเื่เพ้อฝันและภาพลวงตานางทุ่มเททั้งใจให้จูเฉียน ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเขา ทว่าสุดท้ายสิ่งที่ได้รับกลับมีเพียงการทรยศหักหลังและการทอดทิ้ง การอดทนและใจกว้างต่อศัตรูหัวใจทำให้นางได้พบกับฝันร้ายที่ยาวนานซึ่งเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่มีวันจบสิ้น
์เล่นตลกกับนางทำให้นางได้ใช้ชีวิตอย่างน่าสมเพชไปแล้วชาติหนึ่ง และในที่สุดนางก็ตาสว่างเสียทีทุกอย่างล้วนเป็เพียงกับดักและการลวงหลอกมาั้แ่ต้นนางใช้ชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์มาแล้วชาติหนึ่งเป็เครื่องมือให้ผู้อื่นหลอกใช้มาหนึ่งชาติเท่านั้น
เหอตังกุยไม่กล้าหลับตาลงนางกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง มองไปทุกอณูของห้องอย่างละโมบ สูดดมกลิ่นอายแห่งความหนาวเย็นที่ทำให้นางไอออกมาครั้งแล้วครั้งเล่านางกลัวเหลือเกินว่าหากหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้งตนจะกลับไปทุกข์ทรมานอยู่ในบ่อน้ำที่ทั้งมืดและหนาวเย็นจนถึงกระดูกนั่นอีก...
เป็เวลาหนึ่งคืนเต็ม ๆที่นางถูกความทรงจำในชาติก่อนทำร้ายให้ทุกข์ทรมานราวกับตายทั้งเป็น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลนองเช่นสายน้ำโดยที่นางหักห้ามอันใดไม่ได้เลยราวกับนางถูกกำหนดมาให้หลั่งน้ำตาที่เก็บกลั้นมานานถึงหนึ่งภพชาติให้หมดสิ้นภายในคืนนี้...