แก้ปัญหาไม่เพียงไม่ต้องจ่ายค่าผ่านประตู ทั้งยังจะได้เงินกลับไปด้วย!
สักพักหนึ่งเสียงถกเถียงก็ดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ มีบัณฑิตจำนวนไม่น้อยที่กระตือรือร้นอยากจะลองดู
แม้แต่อวี๋ซานเองก็หูกระดิก
หากเป็เมื่อก่อนนี้ อวี๋ซานไหนเลยจะเอาเงินจำนวนนี้มาอยู่ในสายตา แต่พอถูกทางบ้านตัดเบี้ยหวัดรายเดือนมาเดือนกว่า อวี๋ซานที่ปกติจะใช้เงินมือเติบไม่เคยจะต้องกังวลเื่เงินมาก่อน คนอย่างเขาก็ไม่มีนิสัยเก็บออม ทันใดนั้นก็ขาดเงินค่าขนม อวี๋ซานยากจนอย่างมาก!
ความน่าอดสูที่สุดคือไม่มีเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตแล้ว แต่มาตรฐานการดำรงชีวิตก็หาได้ตกต่ำลงไม่ เหล่าสหายร่วมเรียนอย่างเฉิงกุยก็ให้เงินช่วยเหลือแก่เขาจำนวนหนึ่งแล้ว เมื่ออวี๋ซานผู้ไม่เคยกังวลเื่เงินได้ยินว่าหากตอบได้ยี่สิบข้อจะได้เงินห้าสิบตำลึงเงินกลับไป หัวใจพลันเต้นเร็วอย่างน่าละอาย
คนผู้นี้ยังกล่าวอีกว่า ถ้าสามารถตอบได้สามสิบข้อก็จะมีรางวัลที่ดียิ่งกว่านี้ อวี๋ซานชักจะสนใจขึ้นมาแล้ว
“หากตอบถูกสามสิบข้อแล้วอย่างไรหรือ?”
“สามสิบข้อ นอกจากจะชนะได้รับเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินแล้ว ยังจะสามารถไปปรากฏตัวต่อหน้าใต้เท้าราชบัณฑิต”
พอคนดูแลกล่าวรางวัลสุดท้ายออกมาอย่างไม่รีบร้อนแล้วก็เกิดเสียงฮือฮาจากรอบด้าน
“ปรมาจารย์เสิ่นก็มาหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าหลอกคนหรอกนะ…”
“กล้าดียังไงกำเริบเสิบสานเช่นนี้!”
“ทุกท่านใจเย็นก่อน ข้า้าจะไปตอบปัญหา อย่าขวางทาง!”
เมื่อได้ยินว่าราชบัณฑิตเสิ่นมาที่งานชุมนุมวรรณกรรมแล้ว เหล่าบัณฑิตก็ละทิ้งซึ่งความถือตัว
ราชบัณฑิตของทุกมณฑลล้วนได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักโดยตรง แม้ว่าตำแหน่งจะไม่สูงเท่าเ้าเมือง แต่สถานะภายในใจของผู้เป็บัณฑิตกลับอยู่เหนือกว่าเ้าเมือง เพราะว่าหน้าที่ของใต้เท้าราชบัณฑิตคือการดูแลทุกสถานศึกษาในเขต ประเมินผู้เตรียมสอบเข้ารับราชการและจัดเตรียมการสอบเข้ารับราชการ!
อย่างเฉิงชิงที่ปีหน้า้าจะสอบซิ่วไฉ เมื่อผ่านการสอบระดับอำเภอและการสอบระดับเมืองก่อนหน้าแล้ว ก็ต้องผ่านการสอบระดับสำนักศึกษาอีก ต้องผ่านการสอบสามอย่างนี้จึงจะนับได้ว่ามีคุณวุฒิ ‘ซิ่วไฉ’
ไม่เพียงแต่การสอบระดับอำเภอและการสอบระดับเมือง การสอบระดับสำนักศึกษาของคุณวุฒิซิ่วไฉก็มีใต้เท้าราชบัณฑิตเป็ผู้ดูแลหลัก
เป็เพราะว่าตำแหน่งขุนนางของราชบัณฑิตไม่สูงนักแต่กลับได้รับความเคารพจากบัณฑิต จึงมักจะขานเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ปรมาจารย์’ เช่นราชบัณฑิตของมณฑลนี้แซ่เสิ่น ทุกคนก็ล้วนเรียกขานว่าปรมาจารย์เสิ่น
งานชุมนุมวรรณกรรมกลางสารทฤดูของอำเภอหนานอี๋ช่างมีชื่อเสียงขจรไกล แม้แต่ราชบัณฑิตเสิ่นยังถูกดึงดูดให้มาที่นี่!
ตำแหน่งขุนนางของราชบัณฑิตเสิ่นแม้ไม่สูงนักแต่มีอำนาจมาก ไม่เพียงสามารถดูแลจัดการภายในสถานศึกษาในมณฑลนี้เท่านั้น แม้แต่สถานศึกษาอย่าง ‘สถานศึกษาหนานอี๋” ก็อยู่ภายในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของใต้เท้าราชบัณฑิต
เมื่อคิดดูแล้ว เหล่าบัณฑิตที่อยู่ตรงประตูทางเข้านี้กว่าครึ่งเป็ผู้ที่ไม่มีคุณวุฒิ ในเมื่อสามารถชนะเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินทั้งยังสามารถไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้คุมสอบหลักของการสอบระดับสำนักศึกษา สิ่งล่อใจเช่นนี้จะมีกี่คนกันที่สามารถปฏิเสธได้?
การได้ฟังการสั่งสอนของใต้เท้าราชบัณฑิตก็ดี หรือการสอบเข้ารับราชการต่อจากนี้จะราบรื่นก็ดี
อวี๋ซานไม่รู้สึกสนใจทั้งสิ้น
บิดาของเขาเป็เ้าเมืองเซวียนตู หากเขาคิดจะพบท่านปรมาจารย์จะต้องกลัวว่าไม่มีโอกาสด้วยหรือ!
อวี๋ซานสนใจเงินรางวัลหนึ่งร้อยตำลึงเงินมากกว่า ส่วนโอกาสที่จะได้ปรากฏตัวต่อหน้าราชบัณฑิตเสิ่นนั้นเขาไม่สนใจ
หากสามารถนำรางวัลนี้มาขายลดราคาได้ ไม่ว่าจะได้กี่สิบตำลึงเงินก็ตามเขาก็ล้วนยินยอมขายสิทธิ์นี้ทิ้ง
อวี๋ซานไม่เห็นโอกาสนี้อยู่ในสายตา แต่เฉิงชิงกลับค่อนข้างตื่นเต้น
นางไม่คาดหวังว่าใต้เท้าราชบัณฑิตจะสามารถแอบบอกข้อสอบให้แก่นาง สอนหรือไม่สอนก็ไม่เป็ไร แต่ในเมื่อราชบัณฑิตเสิ่นมาเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรม ทั้งนายอำเภอของอำเภอนี้ เ้าสถานศึกษา นายท่านห้าเฉิง และแม้แต่พวกเ้าเมืองอวี๋ก็ย่อมต้องมาด้วย
นั่นคือกลุ่มผู้มีอำนาจบารมีของเมืองเซวียนตู การได้อยู่ต่อหน้าราชบัณฑิตเสิ่นก็เปรียบเหมือนได้อยู่ต่อหน้ากลุ่มผู้มีอำนาจบารมี อย่าว่าแต่เฉิงชิงเลย แม้แต่บัณฑิตซิ่วไฉธรรมดาก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าไป
ต้องบัณฑิตจวี่เหรินถึงพอจะมีคุณสมบัติ
ที่พอจะสามารถเอ่ยปากกล่าวคำได้อย่างอิสระต่อหน้าราชบัณฑิตเสิ่นและเหล่าใต้เท้าทั้งหลายได้ มีสถานะที่ค่อนข้างจะเท่าเทียมพอที่จะพูดคุยกับพวกเขาก็ต้องเป็คนอย่างเช่นเมิ่งไหวจิ่นที่เป็บัณฑิตเจี้ยหยวนของมณฑล
บัดนี้โอกาสมาถึงแล้ว มีประโยชน์หรือไม่?
เฉิงชิงถามเช่นนี้กับตนเอง
แน่นอนว่าเป็แค่คำพูดไร้สาระ ย่อมต้องมีประโยชน์อย่างมากน่ะสิ!
ข้อที่เฉิงชิงไม่พอใจมากที่สุดในราชวงศ์เว่ยคือการปิดกั้นข่าวสาร ในยุคสมัยหลังจากนี้ คนธรรมดาก็สามารถรู้ว่าผู้นำประเทศคือใคร รู้ชื่อผู้ว่าราชการของเมือง รู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นภายในประเทศ หากเชี่ยวชาญในการใช้อินเตอร์เน็ตหาข้อมูลแล้วล่ะก็ ไม่ว่าอะไรก็สามารถหาเจอได้
ถึงแม้ข่าวสารบนอินเตอร์เน็ตจะต้องพึ่งการตัดสินใจของคนว่าจริงหรือเท็จ แต่ก็ยังดีกว่าแคว้นเว่ยที่การสื่อสารล้าหลัง ช่องทางที่คนคนหนึ่งจะได้รับข่าวสารเกี่ยวข้องกับระดับความใกล้ชิดของผู้คนในสังคม
อย่างเฉิงชิง หากนาง้าที่จะรู้ความคืบหน้าของคดียักยอกเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยเมืองเหอไถ ก็ทำได้เพียงดูว่านายท่านห้าเฉิงยินยอมที่จะบอกข่าวสารแก่นางมากน้อยเพียงใด
นางเชื่อมั่นในตนเองว่าได้ทิ้งความประทับใจที่ไม่เหมือนใครให้แก่นายท่านห้าเฉิงแล้ว ส่วนการจะเพิ่มความประทับใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นจนทำให้นายท่านห้าเฉิงเห็นว่านางเป็คู่สนทนาที่สามารถพูดคุยเื่จริงจังและเื่ใหญ่ด้วยได้จะทำอย่างไร?
ก็ต้องพยายามมีตัวตนอยู่ต่อหน้านายท่านห้าเฉิงไม่ให้ขาดอย่างไรเล่า!
นี่ถือเป็โอกาสที่ดี
เพียงแค่นางตอบคำถามได้ถูกสามสิบข้อก็จะสามารถก้าวข้ามอุปสรรคระดับชั้นคุณวุฒิได้เป็การชั่วคราว ไปพบราชบัณฑิตเสิ่นด้วยสถานะศิษย์ของสถานศึกษาหนานอี๋ห้องตัวอักษรติง อีกทั้งยังได้รับเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงิน เงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินเพียงพอให้นางใช้จ่ายในสถานศึกษาได้อีกนาน!
อวี๋ซาน้าจะตอบคำถาม เฉิงชิงก็้าจะตอบคำถาม ทั้งสองคนในยามนี้ต่างไม่สนใจจะทะเลาะกันแล้ว เฉิงชิงหันศีรษะกลับไปอย่างรวดเร็ว สอบถามรายละเอียดในการแก้ปัญหาจากผู้ดูแล
“หรือว่ามีเพียงคนแรกที่ไขได้สามสิบข้อก่อนจึงจะได้รับเงินรางวัลและได้พบใต้เท้าราชบัณฑิต? ไม่ทราบว่าการแก้ปัญหานี้มีข้อจำกัดอะไรบ้าง?”
ว้าว เฉิงชิงช่างมีปณิธานอย่างยิ่ง ้าจะท้าทายแก้ปัญหาสามสิบข้อ?
เ้าอ้วนชุยแทรกตัวมาด้านหน้า ท่าทางการพูดของเฉิงชิงช่างใหญ่โต ไม่ใช่ว่าถูกลมจากแม่น้ำพัดจนมึนไปแล้วหรอกนะ ถึงได้คิดว่าตนเองจุติมาจากดาวเหวินฉวี่[1]!
เ้าน้องชาย เ้าต้องใจเย็นบ้างจริงๆ นะ
ผู้ดูแลไม่รู้จักเฉิงชิง คำถามที่เฉิงชิงกังวลผู้อื่นก็กังวลเช่นกัน จึงย่อมตอบอธิบายไปอย่างอดทน
“ย่อมต้องมีข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็แต่งบทกวีหรือจับคู่โคลงคู่ ทายปริศนาโคมไฟ ท่องตำราออกเสียง สามารถเลือกเองได้ หัวข้อมีอะไรบ้างล้วนสามารถดูได้ หาก้าจะแก้ปัญหาชนะเงินรางวัล ข้อแรกคือยามตอบปัญหา ณ ที่แห่งนี้ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นช่วย ข้อที่สองคือผู้ที่มีคุณวุฒิจวี่เหรินไม่สามารถเข้าร่วมได้แล้ว”
เงื่อนไขข้อที่สองสามารถเข้าใจง่ายมาก มีวุฒิจวี่เหรินย่อมไม่สนใจโอกาสเช่นนี้ ทั้งระดับความรู้ของพวกเขายังชนะบัณฑิตธรรมดาไปไกล หากยังมีคุณสมบัติในการไขปริศนาอีก ย่อมไม่เป็การยุติธรรมต่อพวกเฉิงชิง
คำถามเหล่านี้ไม่นับว่ายากสำหรับบัณฑิตจวี่เหริน และไม่ได้ท้าทายมากจนเกินไป
แต่สำหรับผู้ที่วุฒิต่ำกว่าจวี่เหริน แม้แต่เฉิงกุยที่สอบผ่านได้วุฒิซิ่วไฉแล้วก็ยังถูกทำให้ลำบากใจได้
เงื่อนไขข้อแรกโหดร้ายนัก แต่ในเมื่อเป็การทดสอบความรู้ความสามารถของคนผู้หนึ่ง ก็ย่อมไม่อนุญาตให้เกิดเหตุการณ์อย่าง คนเขลาสามคนเทียบเท่าหนึ่งขงเบ้ง[2] แม้ว่าอวี๋ซานจะมีพรรคพวกมากมาย แต่เขาก็ต้องตอบปัญหาด้วยตัวเองเท่านั้น
ว่ากันตามหลักการแล้ว แม้เฉิงชิงจะโดดเดี่ยวเพียงคนเดียวแต่ก็ไม่กระทบกับความเป็ไปได้ที่จะชนะ
สิ่งที่ตัดสินชัยชนะคือความรู้ความสามารถ คือมันสมอง คือพัฒนาการโดยรวมของคนผู้หนึ่ง
โอกาสผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฉิงชิงพยักหน้าทันที
“ข้า้าตอบปัญหา!”
“นายน้อยอย่างข้าก็จะลองบ้าง!”
อวี๋ซานเอ่ยพร้อมนาง สายตาของทั้งสองคนปะทะกันจนเกิดประกายไฟไปทั่วทุกทิศทาง
อวี๋ซานถลึงตาใส่นางอย่างโเี้ “เ้าที่เป็ศิษย์ใหม่ห้องตัวอักษรติงมาร่วมสนุกอะไรด้วย อย่ามาใช้เล่ห์เหลี่ยมชั้นต่ำภายใต้สายตาจับจ้องของผู้คนแล้วกัน”
“เช่นกันๆ ศิษย์พี่อวี๋ก็ต้องแสดงทักษะที่แท้จริง แต่งกลอนได้ดีไม่ดีไม่ใช่ปัญหา ตนเองรู้สึกอย่างไรก็ต้องถ่ายทอดไปเช่นนั้น ศิษย์พี่อวี๋ท่านว่าถูกหรือไม่?”
อวี๋ซานสงสัยว่านางจะทุจริต เฉิงชิงก็สงสัยว่าอวี๋ซานจะหาคนมาแต่งบทกวีแทนเช่นกัน!
หากต้องเปรียบเทียบขีดจำกัดล่างของทั้งสองคนแล้ว เฉิงชิงรู้สึกว่าความไร้ยางอายของอวี๋ซานจะเทียบกับนางได้ในเร็ววันแล้ว เป็เื่ที่ช่วยไม่ได้
พวกเฉิงกุยก็้าจะเข้าร่วมเช่นกัน โอกาสดีเช่นนี้ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ลอง ทุกคนต่างเป็สหายร่วมเรียน ย่อมไม่อาจให้อวี๋ซานโดดเด่นอยู่ผู้เดียว!
หลังจากตัดสินใจอย่างยากลำบากแล้ว เ้าอ้วนชุยก็แทรกคนข้างหน้ามาอยู่ด้านหน้า
“ข้าก็จะเอาด้วย!”
แม้แต่เขาเองก็อยากจะลองแก้ปัญหา บัณฑิตคนอื่นๆ ก็ทยอยร้องเข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง ผู้ดูแลก็ทยอยเอ่ยรับ สั่งให้คนยกโต๊ะออกมามามากมาย
“ทุกท่านสามารถเริ่มได้ เชิญเลือกโคมไฟได้เลย!”
[1] ดาวเหวินฉวี่ คือดาวมงคลที่เกี่ยวกับสติปัญญาและความก้าวหน้าด้านการศึกษา
[2] คนเขลาสามคนเทียบเท่าหนึ่งขงเบ้ง หมายถึงแม้จะเป็ผู้ที่โง่เขลา แต่ถ้าร่วมแรงร่วมใจกันก็สามารถคิดหาวิธีที่ดีได้เทียบเท่าผู้มีปัญญา
