จู่ๆ หนิงมู่ฉือก็รู้สึกขลาดกลัวขึ้นมา นางก้มหน้า เม้มริมฝีปากแน่น ส่ายหน้า แววตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา “ข้า…ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจ” เอ่ยจบก็ก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด
“ฮึ เป็เหตุผลที่ดี ยังไม่ได้ตัดสินใจ เช่นนั้นยามใดเ้าถึงจะตัดสินใจได้” จ้าวซีเหอส่ายหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง
แม้แต่เฉินเหว่ยก็ยังถอนหายใจออกมา “คุณหนู ท่านจะปล่อยให้สกุลหนิงไม่ได้รับความเป็ธรรมเช่นนี้ต่อไปหรือ ถ้าเช่นนั้นข้าจะพาท่านไปที่แห่งหนึ่ง”
“ที่ใดหรือ” หนิงมู่ฉือเงยหน้าอย่างสงสัย
“เมื่อไปถึงท่านก็รู้เอง” เฉินเหว่ยเดินนำไปด้านหน้า โดยมีหนิงมู่ฉือและจ้าวซีเหอเดินตามไปอย่างอยากรู้
ครั้นเดินออกมาด้านนอก แลเห็นเฉินเกอกำลังซ้อมดาบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง นางไม่รู้จะเริ่มทักอย่างไรดี เอ่ยเรียกชื่อเขาอย่างลังเล “จอมยุทธ์น้อยเฉิน”
เฉินเกอพยายามสะกดกลั้นโทสะในใจลงไป สูดหายใจเข้าลึกๆ แสร้งหันไปยิ้มด้วยสีหน้าเรียบเฉย “มีเื่ใดหรือ”
“พวกเราจะไปที่แห่งหนึ่ง ท่านจะไปด้วยหรือไม่”
เฉินเกอเลื่อนสายตาไปยังจ้าวซีเหอซึ่งยืนอยู่ด้านข้างที่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา จึงพยักหน้าออกไป “ข้าจะไปด้วย”
ในใจเฉินเกอตอนนี้กำลังสับสนเหลือเกิน กลัวหนิงมู่ฉือจะคิดได้ แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่านางจะคิดไม่ได้ หากนางคิดได้ก็หมายความว่านางจะจากเขาไป...ไปพร้อมกับจ้าวซีเหอ แต่หากคิดไม่ได้ พอเวลาล่วงเลยผ่านไป นางจะต้องรู้สึกเสียใจภายหลังเป็แน่ที่ปล่อยให้สกุลหนิงยังคงไม่ได้รับความเป็ธรรมเช่นนี้
เช่นนั้นสู้ให้นางคิดได้จะดีกว่า เพราะเขากลัวที่ต้องเห็นนางรู้สึกเสียใจภายหลัง
แต่ถ้าเป็เยี่ยงนั้น เขาก็จะรู้สึกเ็ปในใจ เ็ปที่ต้องเห็นหนิงมู่ฉือ หญิงสาวผู้อ่อนแอต้องแบกรับความกดดันอันหนักหนาสาหัสเช่นนั้น
เขาเดินไปหานางก่อนจะยิ้ม “ไปเถิด”
หนิงมู่ฉือพยักหน้า ส่งยิ้มตอบกลับไปให้เช่นกัน จากนั้นถึงค่อยเดินตามเฉินเหว่ยต่อ
เฉินเหว่ยพาทั้งสามคนเดินออกจากจวน มายังท้องถนนภายในเมืองเทียนหลิง ตามท้องถนนภายในเมืองตอนนี้มีผู้คนน้อยกว่าเดิมเกือบครึ่ง อาจจะเป็เพราะฝนหยุดตกแล้วก็เป็ได้ แต่กลับมีกะละมังเพิ่มขึ้นมาแทน ผู้คนต่างนำกะละมังออกมาวางรองรับน้ำฝนที่ซึ่งอาจจะเป็ครั้งสุดท้าย
บ้านเรือนในเมืองเทียนหลิงส่วนใหญ่สร้างจากก้อนหิน โดยใช้ดินเป็ตัวเชื่อมประสาน ภายในบ้านแต่ละหลังจึงดูอบอุ่นยิ่งนัก
ฝนหยุดตกเกือบจะสนิทแล้ว ลมโชยพัดผ่าน ทำให้ทุกคนเริ่มรู้สึกหนาว หนิงมู่ฉือหนาวจนตัวสั่น
“ท่านอาเฉิน เหตุใดผู้คนในเมืองเทียนหลิงถึงต้องรองรับน้ำฝนด้วยเล่า” นางเดินทางมาทางป่า ซึ่งในป่าก็ไม่ได้ขาดแคลนน้ำ จนมาถึงเมืองเทียนหลิง ก็ดูท่าทีว่าไม่น่าจะขาดแคลนน้ำเช่นกัน จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัยออกไป
เฉินเหว่ยชะงักนิ่ง ก่อนจะส่งยิ้มอย่างเอ็นดูไปให้ “คนหนุ่มสาวแบบพวกท่านคงไม่รู้ แม้ในเมืองเทียนหลิงจะมีฝนตกบ่อย แต่สภาพอากาศที่นี่ค่อนข้างแห้งแล้ง ที่น่าแปลกคือที่นี่หาแม่น้ำลำธารเจอได้ยาก ผู้คนที่นี่จึงขาดแคลนน้ำ”
นางรับคำอืมเสียงเบา จะว่าไปก็จริงดังว่า ั้แ่นางเดินทางมาถึง นางยังไม่เห็นลำธารหรือแม่น้ำเลยสักสาย เจอแต่ต้นหญ้า
เฉินเหว่ยพาทุกคนเดินไปตามทางที่สลับซับซ้อน จนไปถึงบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง
จะว่าไปก็แปลก บ้านหลังนี้ไม่เหมือนบ้านหลังอื่นๆ ในเมืองเทียนหลิง บ้านมีหน้ากว้างมากดูคล้ายเป็โรงเก็บของมากกว่า หนิงมู่ฉือขมวดคิ้วขณะมองบ้านหลังที่อยู่ตรงหน้า “ท่านอาเฉิน บ้านหลังนี้ดูแปลกเหลือเกิน”
“คุณหนูอย่าเพิ่งใจร้อน รีบตามข้าเข้าไปเถิด” เฉินเหว่ยเอ่ยพร้อมกับยิ้ม
นางหันไปมองจ้าวซีเหอและเฉินเกอ ผงกศีรษะให้ทั้งสองก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ภายในบ้านมีเตียงตั้งอยู่หลายเตียง ทว่าวางอย่างไม่เป็ระเบียบเท่าใดนัก ในอากาศมีกลิ่นบางอย่างแปลกๆ ลอยอวลไปทั่ว เป็กลิ่นที่เหม็นมาก จนนางถึงกับต้องขมวดคิ้ว
“แปลกจริง ทุกคนไปที่ใดกันหมด” เฉินเหว่ยมองเตียงมากมายที่ตั้งอยู่ภายในพร้อมกับขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ดูท่าทุกคนจะลืมกฎระเบียบไปจนหมดสิ้นแล้ว!”
เฉินเหว่ยะโเสียงดัง “คนหายไปไหนกันหมด!”
เวลานี้เอง คนผู้หนึ่งซึ่งสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ก็วิ่งออกมา ครั้นเห็นเฉินเหว่ย สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นรีบเดินเข้ามาหา “รองแม่ทัพเฉินมาแล้วหรือขอรับ!”
จากเดินเปลี่ยนเป็วิ่ง คนผู้นั้นวิ่งซวนเซไปมาจนเกือบจะล้ม
เฉินเหว่ยเห็นเช่นนั้นรู้สึกโมโหยิ่ง นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ด้านข้าง
ต่อมาไม่นานก็มีคนมากมายวิ่งตรงเข้ามาหา
แม้ทุกคนจะใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ แต่แววตาคมปลาบฉลาดมีไหวพริบยิ่ง ทุกคนยืนตัวตรงด้วยสีหน้าจริงจัง
“คารวะท่านรองแม่ทัพเฉินขอรับ” ผู้นำคนเหล่านี้นำคุกเข่าทำความเคารพ
เฉินเหว่ยแค่นเสียงฮึในลำคอด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “กฎที่เรียนไปก่อนหน้านี้ลืมไปกันหมดแล้วหรือ! ดูท่าทางของพวกเ้าในตอนนี้สิ ยังเหลือวินัยทหารอยู่อีกหรือ!”
“ท่านรองแม่ทัพเฉินอย่าโมโหไปเลยขอรับ พวกเราจะปรับปรุงตัวั้แ่ตอนนี้เลยขอรับ” ผู้พูดสังเกตเห็นว่าบรรยากาศในที่พักดูวุ่นวายไม่น้อย สีหน้าฉายแววรู้สึกผิด ทว่าเมื่อเลื่อนสายตาไปเห็นพวกหนิงมู่ฉือจึงถามอย่างสงสัยออกมา “ท่านรองแม่ทัพเฉิน สามคนนี้คือ…”
เฉินเหว่ยเดินไปหยุดอยู่ข้างหนิงมู่ฉือ ยิ้มอย่างภาคภูมิใจขณะเอ่ยแนะนำ “พวกเ้าต้องเรียกนางว่าคุณหนู นางคือบุตรสาวของท่านแม่ทัพหนิง”
ทันทีที่ทุกคนได้ยิน ภายในบ้านเกิดเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ บรรยากาศเปลี่ยนเป็คึกคัก ใบหน้าแต่ละคนประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“บุตรสาวของท่านเเม่ทัพหนิง คือเด็กน้อยที่ตอนเด็กซนอย่างกับลิงคนนั้นหรือขอรับ”
“ใช่ นางโตขนาดนี้แล้ว หน้าตาเหมือนฮูหยินซั่งกวนราวกับแกะ”
หนิงมู่ฉือมีสีหน้างุนงง หรือคนเหล่านี้จะรู้จักท่านพ่อของนาง ถึงได้รู้เื่ในสมัยเด็กของนาง
ขณะที่นางกำลังนึกสงสัยอยู่นั้น คนผู้หนึ่งคุกเข่าพร้อมกับเอ่ยแสดงความเคารพนาง “ข้าน้อยคารวะคุณหนูขอรับ”
นางมีสีหน้าใ ทั้งยังกระอักกระอ่วน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี นางรีบบอกให้คนผู้นั้นลุกขึ้น ทว่าคนผู้นั้นยังไม่ทันได้ลุกขึ้น คนที่เหลือก็ลงไปคุกเข่าทำความเคารพนาง “ข้าน้อยคาราวะคุณหนู”
“ทุกคนรีบลุกขึ้นเถิด” นางเอ่ยอย่างร้อนใจ หน้าขึ้นสีเข้มอย่างไม่สบายใจ
เฉินเหว่ยยิ้มพลางเอ่ย “เอาละ ทุกคนเลิกเล่นได้แล้ว คุณหนูใหมดแล้ว”