แสงอรุณค่อยหุบลง บัวดอกใหม่เผยโฉม เหล่ามัจฉาแหวกว่ายเย้าหยอกชวนเบิกบานใจเดิมทีนี่เป็ทัศนียภาพที่สดใสเป็สุข แต่กลับถูกเสียงกรีดร้องดังที่ดังขึ้นมาทำลายความสงบเงียบ
หลิ่วจิ้งคลึงหัวคิ้วที่ย่นเข้ามาน้อยๆ ถามสาวใช้ข้างกายว่า“เกิดเื่ใดขึ้นอีกแล้ว?”
สาวใช้ข้างกายส่ายหน้า ตอบไปอย่างระมัดระวังว่า“คงเป็สาวใช้ปัดกวาดขี้กลัวสักคนที่ใกับซากนกตายที่ลานบ้านกระมังเ้าคะ!”
“โอ้!” หลิ่วจิ้งตอบไปลอยๆพลันคิดขึ้นมาได้ว่านางยังไม่ทันได้ไถ่ถามชื่อแซ่สาวใช้ที่เพิ่งมาใหม่เมื่อวานนี้จึงวางชามโจ๊กในมือลง ถามว่า “เ้าคงมีชื่อกระมัง?”
“เรียนฮูหยิน บ่าวมีแซ่เดิมว่าฉิน ชื่อคำเดียวว่าเม่ยเ้าค่ะหลังจากเข้ามาในจวนยังไม่มีชื่อใหม่เ้าค่ะ”
“ฉินเม่ย ก็เป็ชื่อดีที่งดงามไพเราะอยู่แล้วนี่! ข้าว่าชื่อนี้เหมาะกับเ้ายิ่งนัก”หลิ่วจิ้งพยักหน้าอย่างพอใจ ดวงตางามช้อนขึ้นมาสังเกตฉินเม่ยคราวหนึ่งเห็นว่ากริยามารยาทของนางเรียบร้อยดี หน้าตาหมดจดคิดว่าเดิมทีคงเป็คุณหนูในตระกูลเล็กๆ ผู้หนึ่งเช่นกัน ตนเองช่างตามีแววนัก!
“ก่อนนี้เ้าเคยเรียนหนังสือหรือไม่?”
“ฉินเม่ยไร้ปัญญา เพียงเคยผ่านตามาเล็กน้อยเ้าค่ะ”
ฉินเม่ยไม่พูดมาก ด้วยกลัวว่ายิ่งพูดมากจะยิ่งผิดมาก
“คำว่าเม่ยนี้ดีเพียงแต่มีคำพ้องเสียงที่ฟังดูแล้วไม่เป็มงคลต่อไปเรียกเ้าว่าอิ๋งเหอก็แล้วกัน”
“ขอบคุณฮูหยินที่ตั้งชื่อให้เ้าค่ะต่อไปบ่าวก็ชื่อว่าอิ๋งเหอเ้าค่ะ”
หลิ่วจิ้งเห็นอิ๋งเหอมีท่าทีระวังรอบคอบจึงเดาว่านางจะต้องเป็คนมีความคิดอ่านที่ละเอียดอ่อนหากวันหน้าสามารถร่วมแรงร่วมใจกับตนได้ ย่อมทำให้ตนเองจัดการเื่ต่างๆในจวนแม่ทัพได้ง่ายดายขึ้นอีกไม่น้อย
สาวใช้ที่นางพามาด้วยจากต้าเว่ยผู้นั้นเป็หูตาที่องค์หญิงยัดเยียดให้มาคอยสังเกตการณ์อยู่ข้างกายนางย่อมไม่อาจมีใจเป็หนึ่งเดียวกับตนได้กลัวแต่ว่าหากตนเองมีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อยนิด นางจะยิ่งหาทางเอาชีวิตตนมากกว่าอีก!
เมื่อคิดได้ดังนี้หลิ่วจิ้งก็ยิ้มเบิกบานขึ้นทันใด“วันหน้ายามอยู่ข้างกายข้า เ้าไม่ต้องระมัดระวังตัวเช่นนี้พวกเรานายบ่าวเป็น้ำหนึ่งใจเดียวก็เพียงพอแล้ว”
อิ๋งเหอมีจิตใจบริสุทธิ์สูงส่งดังดอกกล้วยไม้เหตุใดจะไม่เข้าใจความหมายที่หลิ่วจิ้ง้าจะบอก จึงทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นแสดงความจงรักภักดี “บ่าวไม่กล้ามีใจเป็อื่นต่อฮูหยินเ้าค่ะ”
“ลุกขึ้นเถิด วันหน้าไม่ต้องเอะอะๆ ก็มาคุกเข่าข้าไม่ชอบเื่เหล่านี้!” หลิ่วจิ้งพูดไปโดยไม่ได้สนใจขนบระหว่างนายบ่าวนางยืนขึ้นประคองอิ๋งเหอให้ลุกขึ้น
และในเวลานี้เอง เสียงโกลาหลเอะอะก็ดังระงมขึ้นมารอบทิศ
หลิ่วจิ้งกรอกตา พึมพำกับตัวเองว่า “เกิดเื่อะไรอีกล่ะ?”
“ฮูหยินเ้าคะ แย่แล้วเ้าค่ะ! บ่าวในจวนแจ้งมาว่าฮูหยินจ้าวหมดสติไปแล้วเ้าค่ะให้ทุกคนไปดูเ้าค่ะ!”
“อยู่ดีๆ จะเป็ลมหมดสติไปได้อย่างไร? เรียกหมอแล้วหรือไม่?” หลิ่วจิ้งเลิกคิ้ว พลันนึกถึงเสียงกรีดร้องเมื่อครู่นี้ขึ้นมาแล้วคิดถึงใบหน้าไม่ยอมเลิกราของอาหนูเมื่อวานนี้กลัวแต่นางจะก่อเื่ใดขึ้นมาอีก
“ส่งคนไปตามท่านหมอแล้ว ยามนี้คงกำลังเดินทางมาเ้าค่ะ”
“โอ้ เช่นนั้นข้าก็จะไปดูด้วย!”นางไม่กล้าชักช้ารีบพาพวกของอิ๋งเหอไปที่เรือนของนางจ้าว
เมื่อถึงเรือนของนางจ้าวบ่าวในเรือนพากันยืนอยู่เต็มลานบ้านปิดทางเดินเสียจนมิด เมื่อเห็นหลิ่วจิ้งมาก็พากันคำนับและถอยออกไป
“เกิดเื่ใดขึ้น?” หลิ่วจิ้งถาม
สาวใช้ข้างกายนางจ้าวได้ยินก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกตอบอย่างหวาดผวาว่า “ไม่รู้ว่าคนใจบาปคนใด เอาหนูตายมาวางไว้เต็มเรือนฮูหยินของเราขวัญอ่อน ตื่นเช้าออกประตูมาก็ต้องใหนักหายใจไม่ทันและเป็ลมไปเ้าค่ะ!”
“มีเื่เช่นนี้ด้วยหรือ!” หลิ่วจิ้งแสร้งทำหน้าประหลาดใจแต่ในใจกลับรู้สึกว่าอาหนูลงไม้ลงมือได้น่าสนใจนัก!สงสารก็แต่นางจ้าวที่เป็คุณหนูมาแต่กำเนิดจะทนพบเห็นของน่ารังเกียจพวกนั้นได้อย่างไร
นางพยายามสะกดรอยยิ้มเอาไว้ เอ่ยถามอย่างเป็ห่วงว่า“ท่านหมอมาหรือยัง? รีบพาข้าไปดูฮูหยินของเ้าเร็วเข้า”
“ท่านหมอยังไม่มาเ้าค่ะ แต่ฮูหยินของพวกเราหายใจรวยรินลงทุกทีไม่รู้ว่าเป็เพราะใจนเสมหะอุดตันหัวใจหรือไม่เ้าค่ะ!” สาวใช้พูดพลางสะอื้นไห้ขึ้นมา
เห็นสาวใช้มีความจริงใจต่อนางจ้าวเช่นนี้ หลิ่วจิ้งจึงปลอบนางว่า“ไม่เป็ไรหรอก ข้าเคยเรียนรู้วิธีมาจากในวัง บางทีอาจลองดูได้”
สาวใช้ได้ยินหลิ่วจิ้งพูดเช่นนี้ก็รู้สึกสงสัยอยู่ในใจว่าท่านเป็องค์หญิงที่ถูกประคบประหงมอยู่ในวังจะสามารถรักษาฮูหยินบ้านข้าได้จริงหรือ? อย่าได้มีแผนการใด แล้วพอดีสบโอกาสทำร้ายให้ฮูหยินของข้าถึงแก่ชีวิตเล่า!
เห็นสาวใช้ไตร่ตรองอยู่ในใจ หลิ่วจิ้งยิ้มจางๆ กล่าวว่า“ข้ายังไม่ได้โง่เง่าปานนั้นจึงจะได้ทำร้ายฮูหยินของเ้าต่อหน้าคนตั้งมากมายรีบพาข้าเข้าไปเร็ว”
หลิ่วจิ้งจำได้ว่าตอนที่ยังเล็กนางซุกซนมากมักจะเอาซากงูซากหนูตายมาแกล้งพวกบ่าวไพร่ ครั้งนั้นสาวใช้ที่เพิ่งเข้าจวนมาขวัญอ่อนจึงถูกนางแกล้งจนใเป็ลมไปไม่ว่าใครทำอย่างไรนางก็ไม่ฟื้นขึ้นมา ตนเองก็ตกอกในึกว่าทำคนตายเสียแล้วนางร้องไห้อยู่เป็นาน ภายหลังเมื่อหมอมาแล้ว ใช้เข็มเงินปักไปบนตัวสาวใช้จากนั้นสาวใช้ก็ได้สติขึ้นมา…
เกรงว่านางจ้าวในเวลานี้ก็คงอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับสาวใช้คนนั้นกระมัง!
นางคิดดังนี้ขณะตามสาวใช้เข้ามาตรงหน้าเตียงนางจ้าว จวบจนตอนนี้นางจ้าวก็หมดสติไปมากกว่าชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาแล้ว สีหน้าซีดเขียว ริมฝีปากไม่มีสีดูอาการไม่ดีเลย
หลิ่วจิ้งไม่คิดให้มากความดึงปิ่นเงินเล่มบางบนหัวปักลงที่ตัวนางจ้าว
“ฮูหยิน เหตุใดจึงฉวยโอกาสทำร้ายฮูหยินของข้าเล่าเ้าคะ!”สาวใช้ข้างกายนางจ้าวเข้าไปรั้งตัวหลิ่วจิ้งเอาไว้คล้ายกลัวนางจะกระพือปีกบินหนีไปเช่นนั้น
บ่าวทุกคนในห้องต่างก็ใกับการกระทำของหลิ่วจิ้งเช่นกันคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงต้าเว่ยที่ปกติแล้วอ่อนโยนพูดจาเสียงอ่อนเสียงหวานดูมีเมตตาต่อบ่าวไพร่ กลับเป็สตรีร้ายกายที่ลงมืออย่างโเี้!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความระแวงของทุกคน หลิ่วจิ้งกำลังจะอธิบายแต่กลับเห็นว่าอิ๋งเหอดึงมือของสาวใช้ที่รั้งตนเองเอาไว้ออก ตำหนิว่า“พวกเ้าอย่าให้ร้ายคนดี ฮูหยินของข้ากำลังช่วยฮูหยินจ้าว พวกเ้าดูไม่ออกหรืออย่างไรว่าถ้าไม่รีบช่วยฮูหยินบ้านเ้าก็จะได้ตายของจริงแล้ว!”
หลิ่วจิ้งยินดีในใจหนักหนา รู้สึกพอใจกับอิ๋งเหอมากตนเองมองคนไม่ผิดจริงๆ!
เวลานั้นเอง ก็มีเสียงทักทายดังมาจากลานบ้านหลิ่วจิ้งไม่กล้าให้เสียเวลา เร่งออกแรงดันให้ปิ่นเงินปักเข้าไปในตัวนางจ้าว
ที่แท้เป็ฮูหยินผู้เฒ่าที่ได้ยินว่านางจ้าวเป็ลมจึงเร่งมาดู
เมื่อสาวใช้ของนางจ้าวเห็นฮูหยินผู้เฒ่ามาก็รีบฟุบตัวลงที่เท้าของนางร้องห่มร้องไห้เป็ดอกหลีกลางพิรุณว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยด้วยเ้าค่ะ! ฮูหยิน นะ...นางจะสังหารฮูหยินของเราเ้าค่ะ!”
“มีเื่เช่นนี้ด้วยรึ!” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบหลิ่วจิ้งมาแต่ไหนแต่ไรยิ่งเมื่อเห็นว่าหลิ่วจิ้งอยู่ที่ข้างเตียง ไม่เข้ามาคารวะ นางจึงไม่เอ่ยถามใดๆและคาดโทษหลิ่วจิ้งเอาไว้ในใจแล้ว นางตวาดเสียงหนักว่า “ดีนักนะ องค์หญิงแห่งต้าเว่ยแม้แต่ผู้เฒ่าเช่นข้าเ้าก็ยังมองไม่เห็นอยู่ในสายตารึ!จวนแม่ทัพใหญ่โตนี้จะยอมปล่อยให้เ้าทำการเลอะเลือนลืมตนเช่นนั้นรึ!”
“ฮูหยินผู้เฒ่าเ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดพิจารณาให้ถี่ถ้วนอย่าได้หลงเชื่อคำเลอะเลือนของพวกเขา ฮูหยินของข้ากำลังช่วยฮูหยินจ้าวนะเ้าค่ะ!”แม้ว่าอิ๋งเหอจะไม่เคยพบฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อนแต่ในสถานการณ์เช่นนี้นางจะมองไม่ออกได้อย่างไร? จึงเอาแต่ขยับมาข้างหน้าเพื่อปกป้องหลิ่วจิ้ง พลางคุกเข่าลงอธิบาย
“เ้าเป็ใคร?” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยเห็นอิ๋งเหอมาก่อนคิดว่าบ่าวคนหนึ่งกลับอาจหาญคับฟ้ามาสามหาวเช่นนี้ต่อหน้าตนจึงเอื้อมมือไปตบหน้าอิ๋งเหอเต็มแรง “เ้ามีสิทธิ์พูดที่ใดกัน!”
หลังจากถูกหลิ่วจิ้งใช้ปิ่นแทง นางจ้าวกลับมีอาการดีขึ้นหายใจสะดวก สีหน้าที่เคยเขียวก็ค่อยๆ ขาวขึ้นยามต้องแสงอรุณที่ลอดเข้ามาจากลายในช่องหน้าต่างก็ค่อยๆ มีสีแดงระเรื่อขึ้นมา
_____________________________