เฟิงเยวี่ยตะลึงงัน ก้าวเข้าไปแล้วกล่าวอย่างร้อนใจ “ท่านอ๋อง หากฉู่อ๋องกับองค์หญิงห้าไปรายงานเื่ของพระองค์จริงๆ เกรงว่าจะไม่เป็ผลดีในภายหน้า ฝ่าาอาจกริ้วขึ้นมาอีกนะพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่าเพิ่งร้อนใจ พี่ใหญ่กับน้องหญิงห้าผู้แสนดีจะไปพูดเื่ดีงามของข้าได้อย่างไร ควรจะช่วยข้าปกปิดถึงจะถูก หากให้ใครรู้ว่าในวังหลวงแห่งนี้มีเด็กเหลือขอเกกมะเหรกสักคน พวกเขาก็พลอยหน้าหมองไม่มีราศีไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเปิ่นหวางที่เป็แบบนี้ มิใช่ว่าทำให้พวกเขารู้สึกสมใจหรืออย่างไร หากให้เสด็จพ่ออบรมสั่งสอนเปิ่นหวางจนได้ดีขึ้นมา มิเท่ากับเป็การสร้างปัญหาให้พวกเขาหรือ พวกเขาฉลาดหน่า...”
เฟิงเจวี๋ยหร่านเผยสิ่งที่คิดอยู่ในใจ ดวงตาที่กลอกไปมาเป็ประกายวิบวับ มองท่าทางตื่นตระหนกของเฟิงเยวี่ยอย่างรู้สึกขบขัน น้ำเสียงทรงเสน่ห์เนิบช้าเอ้อระเหย
“ความหมายของท่านอ๋องก็คือฉู่อ๋องกับองค์หญิงห้าจะช่วยพูดกลบเกลื่อนแทนพระองค์เอง” ดวงตาของเฟิงเยวี่ยเป็ประกายเข้าใจกระจ่าง แล้วยิ้มถามต่อ “เช่นนั้นท่านอ๋องยัง้าให้ปล่อยข่าวเื่ที่ทรงไปย่านหอนางโลม แย่งชิงหญิงคณิกากับชาวบ้านอีกหรือไม่”
“เื่พวกนั้นไม่ต้องแล้ว แค่ปล่อยเื่ออกไปทีเดียว เดี๋ยวก็มีข่าวลือสารพัดเื่ตามมาเอง บอกคนของเราให้ถอนตัวกลับมา อย่าทิ้งเบาะแสให้ใครจับได้”
ดวงตาสีนิลเลื่อนขึ้นเล็กน้อย แล้วหรี่ตาเหลือบมองไปทางเฟิงเยวี่ย “เื่สกุลโม่เป็อย่างไรบ้าง นางฟื้นหรือยัง”
“คุณหนูสามยังไม่ฟื้น แต่คุณชายลั่วไปเชิญคุณชายไป๋แล้ว เพิ่งจะไปถึงจวนโม่ คงจะต้องรออีกสักหน่อยจึงจะทราบผลพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องก็ทรงทราบ แต่ไหนแต่ไรมาคุณชายไป๋จะไม่ทำการรักษาโรคที่เขาไม่แน่ใจ หากยามนี้ยังไม่ออกมา ก็เป็ไปได้สูงว่าจะมีแนวโน้มไปในทางที่ดี”
เฟิงเจวี๋ยหร่านมิได้เอ่ยวาจาในทันที เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แววตาล้ำลึกพลันเย็นะเื แต่สีหน้ายังคงราบเรียบ ทำให้เฟิงเยวี่ยรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมาเล็กน้อย นิ้วเรียวเคาะลงไปบนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยลอยๆ ขึ้นมาอย่างไม่อาจคาดเดาเจตนา
“ครานี้ไป๋อี้เฮ่าไปอย่างไม่รอช้าเลยนะ”
“คุณชายไป๋ไม่รีรอจริงๆ ขอรับ คุณชายลั่วเข้าไปได้ไม่นาน เขาก็ตามไปจวนโม่ทันที” เฟิงเยวี่ยไม่เห็นความผิดปรกติของเฟิงเจวี๋ยหร่านจึงตอบไปโดยความสัตย์ซื่อ
เื่ในจวนของไป๋อี้เฮ่าอยู่ในความรับผิดชอบของเฟิงเยวี่ย ดังนั้นยามนี้จึงเริ่มรู้สึกถึงความผิดปรกติบางอย่าง ไป๋อี้เฮ่าเป็คนระดับใด มีหรือจะออกไปช่วยรักษาคนไข้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ด้วยลักษณะนิสัยและความเคยชินของเขา หลังจากได้หลับเต็มตื่นแล้วสองชั่วยามจึงจะให้คนเข้าพบ หลังจากนั้นก็ต้องอาบน้ำแต่งตัวอีกสองชั่วยามจึงจะออกไปข้างนอก
“่นี้ไป๋อี้เฮ่าไม่มีสิ่งใดผิดปรกติเลยหรือ”
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ คุณชายไป๋เก็บตัวเงียบมาก นอกจากไปร่วมงานชุมนุมกวีบ้างเป็บางครั้ง ก็มีไปช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยให้สหายที่สนิทกันบ้างเป็บางคราว นอกนั้นก็ไม่มีสิ่งใดแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มีอะไรผิดปรกติหรือ แล้วเขาไปรู้จักกับคุณหนูสามสกุลโม่ั้แ่เมื่อไร” เฟิงเจวี๋ยหร่านกระแทกม้วนรายงานในมือลงอย่างไม่พอใจ แล้วเหลือบตามองเฟิงเยวี่ยด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
“คือ... คือว่าเื่นี้...” เฟิงเยวี่ยวุ่นวายใจโดยพลัน นี่ก็นับได้ว่าผิดปรกติ โอ๊ย... เ้านายขอรับอย่ากดดันข้าน้อยนักเลย แม้ในใจจะโอดครวญอย่างไร แต่ก็มิกล้าเพิกเฉย “คุณชายไป๋เคยช่วยเหลือคุณหนูสามเื่หนึ่งตอนที่นางเพิ่งกลับมาถึงจวนโม่ไม่นานพ่ะย่ะค่ะ ยามนั้นอี๋เหนียงผู้ดูแลจวนโม่ก็ถูกใต้เท้าโม่สั่งกักบริเวณ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีความข้องเกี่ยวใดๆ กันอีก”
หากเื่ทำนองนี้นับว่าผิดปรกติ เช่นนั้นความผิดปรกติคุณชายไป๋ก็มีมากมายจริงๆ เมื่อวานมีคุณหนูสองคนไล่ตามคุณชายไป๋ไปไกลถึงสี่ถนน ต่อมาก็มีคุณหนูอีกคนแกล้งเป็ลมล้มไปที่ตัวเขาขณะที่ก้าวลงจากรถ แล้วก็ยัง...
เฟิงเยวี่ยไม่ทราบว่า ‘เื่ผิดปรกติ’ ที่พูดกันไม่จบไม่สิ้นทำนองนี้ หากเขารายงานขึ้นมาจริงๆ สมุดบันทึกที่หัวโต๊ะของท่านอ๋องก็คงมี ‘เื่ผิดปรกติ’ ของไป๋อี้เฮ่าเพิ่มขึ้นอีกก่ายกอง แต่เื่มากมายเช่นนั้น เกิดทำรายงานออกมาไม่ดี ตนเองมิถูกท่านอ๋องด่าเปิงอีกหรือ
“คราวหน้าหากไป๋อี้เฮ่าพบกับคุณหนูสามอีกให้นับว่าเป็เื่ผิดปรกติทั้งหมด เขียนรายงานส่งให้เปิ่นหวางด้วย ยังมีสิ่งใดสงสัยอีกหรือไม่? ให้คนส่งข่าวไปถึงโม่เฟิง ให้ดูแลเอาใจใส่เื่ของคุณหนูสามอย่างใกล้ชิดด้วย”
โชคดีที่เฟิงเจวี๋ยหร่านกำหนดขอบเขตของเื่ผิดปรกติให้เฟิงเยวี่ย
“พ่ะย่ะค่ะ” เห็นแววหฤโหดฉายชัดในดวงตาคู่งามของผู้เป็นาย เฟิงเยวี่ยไหนเลยจะกล้าถามอะไรอีก รีบออกไปเตรียมตัวแต่โดยดีในบัดดล
โม่เสวี่ยถงฟื้นขึ้นมาก็ย่ำยามระกาแล้ว[1] ในฤดูเหมันต์ท้องฟ้ามืดเร็ว ด้านนอกจึงมีแต่ความมืด
ภายในห้องจุดตะเกียง แสงสีเหลืองนวลฉาบฉายไปทั่วห้อง นางลืมตาขึ้นอย่างงุนงง แต่กลับมองเห็นเบื้องหน้าไม่ชัด
“ฟื้นแล้ว? รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” น้ำเสียงนุ่มนวลราวกับสายลมวสันต์ดังแว่วผ่านหู มีมือคนบีบมือนางอยู่ แต่นางไม่มีแรงตอบ รู้สึกเหมือนถูกดึงกลับมาจากแดนปรโลก ชั่วขณะนั้นยังไม่รู้ว่าตัวอยู่ที่ไหน เบื้องหน้ายังคงเห็นเปลวเพลิงที่ลุกโชน แล้วสุดท้ายก็กลายเป็สีแดงฉาน
“ยังไง ยังไม่อยากฟื้นขึ้นมาหรือ” เห็นหญิงสาวที่ดูราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบลืมตาใสแจ๋วขึ้นมา ไป๋อี้เฮ่าก็อารมณ์ดียิ่ง มุมปากหยักยกขึ้นยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยถาม นิ้วมือยังกดอยู่ที่ข้อมือของนาง จากการััชีพจรอย่างละเอียดก็ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดปรกติ
แม้ว่าลั่วเหวินโย่วซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งจะสงวนวาจา แต่ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินเข้ามามองหน้าของโม่เสวี่ยถงด้วยความตื่นเต้น เขานิ่งรออยู่นาน เห็นนางสงบนิ่งไม่เอ่ยวาจา แม้ดวงตาคู่งามจะเบิกกว้างอยู่ แต่กลับนิ่งลึกไม่มีสัญญาณใดๆ จึงเพิ่งรู้สึกว่าผิดปรกติ พลันหันศีรษะไปถามสหาย “อี้เฮ่า ญาติผู้น้องเป็อะไรไป ไม่ใช่บอกว่าฟื้นแล้วหรือ ไฉนจึงดูเหมือนยังมึนงงไม่ตอบสนองเช่นนี้ หรือว่าจะมีสิ่งใดผิดปรกติ”
เมื่อได้ยินไป๋อี้เฮ่าบอกว่าโม่เสวี่ยถงฟื้นแล้ว แต่ยังมีบางอย่างไม่ปรกติ ลั่วเหวินโย่วหรือจะกล้าปล่อยให้เขาไป แม้ว่าการที่บุรุษมาอยู่ในห้องของหญิงสาวเป็เื่ผิดธรรมเนียม แต่ยามนี้ไป๋อี้เฮ่าอยู่ในฐานะหมอ นอกจากนั้นยังมีเขาอยู่ด้วย อีกทั้งมิได้ปิดบังผู้ใด การอยู่ตรวจอาการเจ็บป่วยอย่างเปิดเผย จึงไม่ถือว่าเป็ความไม่เหมาะสม
โม่ฮว่าเหวินเข้าวังจนถึงบัดนี้ยังไม่กลับมา เหล่าไท่ไท่ก็แวะมาดูแล้ว เนื่องจากอากาศหนาว ร่างกายทนไม่ไหว แม่นมสวี่จึงเกลี้ยกล่อมให้นางกลับไปก่อน โม่อวี้และโม่เยี่ยเฝ้าอยู่ด้านนอก โม่หลันอยู่ในห้องคอยปรนนิบัติชงชา เห็นคุณหนูฟื้นแล้วก็ไม่กล้าสอบถาม ได้แต่ปาดน้ำตาด้วยความปีติยินดี จนกระทั่งลั่วเหวินโย่วถามไป๋อี้เฮ่าอย่างร้อนใจกับท่าทางของคุณหนู จึงรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก
ไป๋อี้เฮ่ามิได้ตอบคำถาม เขาเอื้อมมือไปหยิบเข็มสองเล่มจากโต๊ะด้านข้าง สังเกตแววตาของโม่เสวี่ยถงที่ไร้การตอบสนอง ก็จับมือนางขึ้นมาแล้วคลำหาจุดบนมือนั้นก่อนจะฝังเข็มลงไปอย่างคล่องแคล่ว เมื่อเข็มทั้งสองฝังลงไปแล้วโม่เสวี่ยถงที่นอนอยู่บนเตียงก็ร้องออกมาคำหนึ่ง ขนตากะพริบปริบๆ หลับตาลงไป หลังจากนั้นก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ครานี้ดวงตาใสบริสุทธิ์สามารถจับภาพได้แล้ว แพขนตายาวกะพริบอีกครั้ง แววตาที่ยังดูงุนงงเลื่อนไปที่ใบหน้าของไป๋อี้เฮ่าซึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง ั์ตางดงามฉายแววยิ้มอ่อนโยนดุจสายน้ำ วับวาวดั่งดวงดาราพราวแสงระยิบระยับ โม่เสวี่ยถงเห็นภาพกระจ่างชัดขึ้นอย่างช้าๆ องคาพยพทั้งห้าคมสัน คิ้วพาดเฉียงยาวไปถึงไรผม ริมฝีปากแดงเป็ธรรมชาติหยักโค้งเล็กน้อย แม้แต่เทพบุตรจาก์ชั้นฟ้ายังด้อยกว่าเขาสามส่วน ดวงตาที่ฉาบฉายไปด้วยรอยยิ้มจ้องมองนางอยู่เงียบๆ
ด้วยความปรานี ความอ่อนโยนและความละมุนละไมที่ฉายผ่านแววตาช่วยปลุกปลอบหัวใจที่เ็ปและเศร้าสลดของนาง
ความรู้สึกแบบนี้ไม่อาจบรรยายออกมาเป็คำพูดได้ในขณะนี้ นางเพิ่งจะเดินเข้าสู่อนธการอันมืดลึก ไร้ผู้คนสนใจ ถูกคนให้ร้าย ในที่สุดก็ตายในกองเพลิงอย่างน่าเวทนา ยามที่ถูกแผดเผา ไร้คนถามไถ่ คิดไม่ถึงว่าเมื่อฟื้นขึ้นมา กลับพบคุณชายผู้งามสง่าใช้สายตาอ่อนโยนปลอบประโลมนางเช่นนี้ คล้ายว่าเข้าใจความขื่นขมทั้งหมดที่นางได้รับ และเหมือนช่วยแบ่งเบาความขมฝาดนั้นของนาง
ความรู้สึกนั้นเ็ปที่สุด หดหู่ใจที่สุดและด้านชาที่สุด ยามนี้นางรู้สึกเหมือนได้พบญาติสนิท ในที่สุดก็มีคนมาช่วยแบ่งเบาความรู้สึกที่ไร้ทางช่วย และความขื่นขมเ็ปของตนเองเสียที น้ำตาพลันหลั่งรินอย่างรั้งไม่อยู่
นางยื่นมือไปจับยึดชายเสื้อของไป๋อี้เฮ่าไว้แน่นด้วยจิตใต้สำนึก ร้องไห้ด้วยความอัดอั้นสุดประมาณ ร่างกายที่อ่อนล้าขยับเล็กน้อย อยากจะลุกขึ้นนั่งแต่กลับพบว่าทั้งตัวไร้เรี่ยวแรง จึงได้แต่มองไป๋อี้เฮ่าอยู่นิ่งๆ ด้วยแววตาของคนที่ไม่ได้รับความเป็ธรรม ดวงตางดงามถูกปกคลุมด้วยไอหมอกจนพร่าเลือน น้ำตาร่วงริน สีหน้าดั่งผู้บริสุทธิ์ที่น่าสงสารยิ่ง
ไป๋อี้เฮ่าตะลึงงันไปชั่วครู่ หลังจากนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน “ไม่สบายใจหรือ”
โม่เสวี่ยถงหลับตาด้วยความเ็ปขื่นขม แล้วลืมตาขึ้นฉับพลันอีกครั้ง รู้สึกว่าภาพแต่ละฉากที่ผ่านเข้ามาช่างน่าเวทนาและพรั่นพรึงเหลือเกิน นางไม่คิดว่าตนเองจะต้องพบกับความทรมานแบบนั้นอีก หากต้องเป็เช่นนั้นนางยอมตายดีกว่า มีเพียงดวงตาอันเต็มไปด้วยความใส่ใจคู่นี้ที่ทำให้ตนเองรู้สึกมีพลังชีวิตขึ้นหลายส่วน นางขบริมฝีปาก ร้องไห้สะอึกสะอื้น ทั้งเนื้อตัวไร้เรี่ยวแรง มีเพียงมือของนางที่ยึดชายเสื้อของไป๋อี้เฮ่าอย่างเอาเป็เอาตาย ราวกับว่ากำลังจับฟางเส้นสุดท้ายของชีวิต
จ้องมองดวงตาอันพิสุทธิ์สดใสที่ไม่มีความสับสนวุ่นวายมาเจือปน ดวงหน้าเล็กจ้อยแสนงดงามปานล่มเมืองฉายแววเ็ปไร้ทางสู้ เพียงแค่มอง ดวงตาอ่อนโยนของไป๋อี้เฮ่าราวกับถูกสะกดโดยไม่รู้ตัว
มือของชายหนุ่มไล้ไปบนใบหน้าของนางเบาๆ น้ำเสียงนุ่มนวลกระซิบปลอบประโลม “ไม่เป็ไรแล้ว ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว นอนพักสักประเดี๋ยวก็ดีขึ้น พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่เป็อะไรแล้ว”
ภายใต้การปลอบประโลมของเขา โม่เสวี่ยถงพลันหลับตาลง แม้จะยังสะอึกสะอื้นอยู่บ้างเป็ระยะ น้ำตาไหลออกจากหางตา แต่สีหน้ากลับมาเป็ปรกติ มือที่จับยึดชายเสื้อของไป๋อี้เฮ่าค่อยๆ คลายออก
“อย่าไปรบกวนนาง ให้นอนหลับอย่างเต็มที่ จากนี้ก็ไม่มีอะไรน่าเป็ห่วงแล้ว ส่วนปมในใจอื่นๆ...” ไป๋อี้เฮ่าถอนเข็มทั้งสองเล่มออกจากมือของนาง กล่าวด้วยความเอาใจใส่เป็ที่สุด ดวงตาของเขาจับอยู่ที่ใบหน้าซึ่งกำลังหลับใหลโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเป็ปมในใจก็มีเพียงแต่ต้องค่อยๆ ค้นหาสาเหตุจึงจะคลายออกได้ ไม่อาจรีบร้อน แม้ว่าทักษะทางการแพทย์จะสูงส่งเพียงใดก็ไม่อาจรักษาอาการเจ็บป่วยทางใจได้ ความหมายของไป๋อี้เฮ่า ลั่วเหวินโย่วเข้าใจ โม่หลันก็เข้าใจ
โม่หลันลอบถอนใจเงียบๆ แล้วออกไปส่งไป๋อี้เฮ่ากับลั่วเหวินโย่วถึงประตูลานสวน จึงค่อยกลับเข้าเรือน จากนั้นก็กำชับกับโม่อวี้ว่าหากแม่นมสวี่กลับมา ให้บอกนางให้เงียบๆ หน่อย ไม่ต้องเข้าไปดูคุณหนูตอนกลางดึก อย่าทำให้คุณหนูใ คืนนี้นางจะนอนเฝ้าอยู่ในห้องด้านนอก คนอื่นๆ ให้กลับไปพักผ่อนได้
จากนั้นทุกคนก็ถอยออกไป
กลางดึกสงัด เบื้องหน้าสายตาของโม่เสวี่ยถงปรากฏภาพของวันนั้นอีกครั้ง ใบหน้าเขียวคล้ำของบุตรชายที่ตายแล้วมีเืออกจากริมฝีปาก เสียงหัวเราะเยาะอย่างร้ายกาจของโม่เสวี่ยิ่ สายตารังเกียจเดียดฉันท์ของซือหม่าหลิงอวิ๋น เปลวเพลิงที่ลุกโชติ่ไปบนท้องฟ้า แผดเผาอยู่บนร่างกายของนางจนปวดแสบปวดร้อนทุรนทุราย... ไม่มีส่วนไหนที่ไม่เ็ป ไม่มีส่วนไหนที่ไม่มีาแ
ร่างที่อยู่บนเตียงขดงอโดยไม่รู้ตัว ลมหายใจกระชั้นถี่ ขึงเครียด
“อย่ากลัว... อย่ากลัว... ข้าอยู่นี่แล้ว” น้ำเสียงอ่อนโยนแว่วเข้ามาในหู ร่างกายของนางถูกโอบรัดเข้าไปอยู่ในอ้อมอกที่อบอุ่นของใครคนหนึ่ง ลมหายใจสม่ำเสมอราบเรียบ ทำให้นางรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัย ความเ็ปทั่วทั้งสรรพางค์กายจากการถูกแผดเผาพลันคลายลงด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนเสี้ยวนั้น
โม่เสวี่ยถงสะดุ้งตื่นจากฝันร้าย ลืมตาขึ้น เบื้องหน้าเห็นแต่ความมืด ทว่ากลับได้ยินเสียงคนหัวเราะเบาๆ “อย่ากลัว... อย่ากลัว... ข้าเอง” ในความมืดแสงจันทร์พาดเข้ามาสะท้อนให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่งดงามดั่งปีศาจเ้าเสน่ห์ ภายใต้แสงจันทร์สีเงินยวงขับเน้นรูปโฉมของเขาให้ยิ่งเย้ายวนชวนหลงใหลขึ้นอีกหลายส่วน แต่โม่เสวี่ยถงคล้ายมองเห็นแววยิ้มอ่อนๆ ภายใต้ก้นบึ้งดวงตาคู่นั้น
ไม่มีความโอหังและเ็าอีกต่อไป มีเพียงความอบอุ่นอ่อนโยนและห่วงหาอาทร
………………………………………………………………………………………...................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ยามระกา หรือ ยามโหย่ว คือ่เวลา 17:01-19:00 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้