ถ้ามหาสมุทรนั้นเต็มไปด้วยน้ำทะเลทรายกว้างใหญ่ก็เต็มไปด้วยทรายนี่คงเป็ความรู้สึกเมื่อผู้คนได้เห็นทะเลทรายเป็ครั้งแรกจากอดีตอันไกลโพ้นไร้ซึ่งขอบเขตของเวลา เมื่อได้เห็นภาพทิวทัศน์ของทรายสีเหลืองที่ลาดลงและสูงชันอย่างต่อเนื่องต่างก็รู้สึกตกตะลึงเป็อย่างมาก ในใจพลันเริ่มรุ่มร้อนตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก
แน่นอนว่าหลังจากที่เดินอยู่ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมแบบนี้ราวครึ่งชั่วโมงความตื่นเต้นในใจก็ค่อยๆ ลดลงตามลำดับ กลับแทนที่ด้วยความรู้สึกแบบอื่นเข้ามาแทนเช่น อบอ้าว แห้งแล้ง และความเหนื่อยล้า
ทะเลทราย หมายถึง พื้นที่ที่มีทรายอยู่เป็จำนวนมากซึ่ง 1 ใน 4 ของพื้นที่ในเขตเหยียนหวงล้วนเป็ทะเลทรายทั้งสิ้น ทะเลทรายส่วนใหญ่ล้วนเป็พื้นที่รกร้างไม่ค่อยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ จึงเรียกว่า "ทะเลทรายแห่งความรกร้าง" ในทะเลทรายนั้นภูมิอากาศค่อนข้างแห้งแล้งจึงมีสิ่งมีชีวิตอยู่ไม่มากนักพื้นที่ในทะเลทรายส่วนใหญ่มักจะเป็หาดทรายหรือเนินทราย ใต้เนินทรายลงไปมักจะมีแต่หินส่วนดินนั้นหาได้ยาก พอๆ กับพืชที่แทบจะไม่ค่อยมีให้เห็น ทะเลทรายบางแห่งก็เป็หาดทรายเกลือซึ่งจะไม่มีพืชหญ้าอยู่เลยแม้แต่น้อยในทะเลทรายนั้นลมสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิประเทศขึ้นได้ และบางครั้งก็มีคนได้พบแร่หินที่มีค่าในร้อยปีที่ผ่านมาก็มีคนเคยค้นพบแหล่งหินิญญา แต่ก็มีจำนวนไม่มากนักหลังจากนั้นก็ถูกขุดค้นพบไปอย่างรวดเร็ว สภาพภูมิอากาศของทะเลทรายค่อนข้างแห้งแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็สถานที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่เพื่อ้าค้นหาสิ่งของและซากปรักหักพัง รวมทั้งวัตถุโบราณ
การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมินั้นก็ค่อนข้างแตกต่างกันอยู่มากอุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีนั้นมากกว่า 40-60 องศาเซลเซียสอยู่บ่อยครั้งซึ่งอุณหภูมิในแต่ละวันก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ไม่น้อย โดยในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงอุณหภูมิบริเวณพื้นผิวโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 70-90 องศาเซลเซียสส่วนในตอนกลางคืนนั้นอุณหภูมิลดต่ำกว่า 20 องศาในพื้นที่เขตทะเลทราย ในทุกๆ วันจะมีอยู่่หนึ่งที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆสุดลูกหูลูกตาเมื่อถูกเปลวแดดแผดเผาจนร้อนระอุ จากนั้นจู่ๆ ก็เริ่มเกิดลมแรงขึ้นเมื่อความแรงของลมเพิ่มสูงสุดก็จะกลายเป็พายุเฮอริเคน เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในแดนทะเลทรายก็ถือได้ว่าเป็ความหายนะ
ถึงแม้ว่าทะเลทรายจะเป็สถานที่ค่อนข้างน่ากลัวแต่ก็ยังมีสัตว์ชนิดหนึ่งที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป นั่นก็คือ อูฐซึ่งเป็พาหนะที่นิยมใช้ขนส่งกันมากที่สุดในดินแดนแห่งนี้
เนื่องจากลมในทะเลทรายนั้นรุนแรงมากในขณะเดินนั้นทางที่ดีควรจะหาผ้าคลุมหรือสิ่งอื่นปิดั้แ่ปากขึ้นไปเพื่อป้องกันฝุ่นซึ่งฉินโจ้วก็ได้เรียนรู้ในเื่เหล่านี้มาแล้ว ผ้าขนหนูของเขาชุบน้ำมาจนเปียกชุ่มหลังจากที่เดินทางมานานหลายชั่วโมงฉินโจ้วรู้สึกว่าเหงื่อของเขาไหลออกไปหลายจินเลยทีเดียว ลำคอแห้งผากราวกับมีเปลวไฟแผดเผาอยู่
ดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่เหนือหัวนั้นเพิ่งจะฉายแสงได้ไม่นานอุณหภูมิก็เริ่มสูงขึ้นมากแล้ว ฉินโจ้วไม่แน่ใจว่าเวลานี้อุณหภูมินั้นอยู่ที่เท่าไรถ้าดูจากมุมของพระอาทิตย์ก็แน่ใจได้เลยว่ายังไม่ถึงจุดสูงสุดเป็แน่เขายังคงดื่มน้ำอยู่ตลอดทาง แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะดื่มน้ำไปมากเพียงใดก็ดูจะไร้ประโยชน์แค่เพียงกะพริบตาก็เต็มไปด้วยเหงื่อแล้ว
"เฮ้อ... รู้อย่างนี้น่าจะหาซื้ออูฐมาสักตัวดูเหมือนจะคิดน้อยไปหน่อย" ฉินโจ้วได้แต่ถอนใจก่อนจะเดินตรงต่อไปข้างหน้าเหลือทิ้งไว้เพียงรอยเท้าสองแถวยาว
ดวงตะวันเริ่มเคลื่อนขึ้นไปสู่จุดสูงสุดอย่างแช่มช้าอุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นตามลำดับ ฉินโจ้วปาดเหงื่อที่อยู่บนใบหน้าทิ้งก่อนจะหันหลังกลับไปมอง ดูเหมือนว่าเขาเดินมาได้ไม่ถึง 20 ลี้ถ้าจะเข้าไปถึงส่วนลึกที่สุดในทะเลทรายอันโหดร้ายนี้คงต้องอีกหลายร้อยกิโลเมตรเลยทีเดียว โชคดีที่พี่ชายคนนี้มีแหวนมิติพื้นที่ใหญ่โตจึงได้เตรียมน้ำมาไม่อั้น ไม่อย่างนั้นเวลานี้คงต้องม้วนเสื่อกลับบ้านกันแล้ว
ในทะเลทรายแห่งนี้ฉินโจ้วคิดว่าคงจะหาสิ่งมีชีวิตได้ค่อนข้างยากแต่ที่จริงแล้วก็มีอยู่ไม่น้อยเลย ที่เขาได้พบมากที่สุดในระหว่างเดินทาง ชนิดแรกนั่นก็คือแมงป่อง ลำตัวเป็สีขาว ขนาดไม่ใหญ่มากราวๆ นิ้วโป้ง มันค่อนข้างดุร้ายมาก ออกมายืนจังก้าขวางทางเดินเอาไว้ดวงตาโปนคู่นั้นจ้องตรงมา หางยกชูขึ้นสูง เข็มพิษแหลมบริเวณปลายหางส่องประกายวาบแต่สุดท้ายก็โดนฉินโจ้วเหยียบขยี้บี้แบนติดเท้าไป
และยังมีตุ๊กแกที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ลำตัวมีสีเทาขนาดไม่ใหญ่และค่อนข้างผอม มันชอบทำท่าทางที่น่าแปลกใจอยู่บ่อยๆ เช่นเวลาหยุดเคลื่อนไหวมันก็จะยืนนิ่งตัวตรง ด้วยขาหลังสองข้าง ขาคู่หน้าก็จะหดกลับเข้าไปยืนนิ่งอยู่บนผิวทรายราวสองวินาที ก่อนจะเปลี่ยนไปยืนด้วยเท้าอีกคู่แทนจากนั้นอีกสองวินาที มันก็เปลี่ยนท่าทางอีกครั้ง มันหดขาเข้าออกสลับไปมาด้วยความเร็วสูงทำให้ดูเหมือนว่ามันไม่ได้ขยับตัว ตราบใดที่หยุดยืนมันจะทำท่าเปลี่ยนขาไปมาแบบนี้เสมอดวงตาทั้งคู่ของมันก็หมุนเปลี่ยนไปมาได้ดูน่าหลงใหล
ในทะเลทรายยังมีงูอีกเป็จำนวนมากมายหลากหลายชนิดพวกมันเคลื่อนที่ไปบนทรายคล้ายกับตัว ''S'' ดูปราดเปรียวว่องไวคล้ายกับลื่นไหลออกไปตามคลื่นบนผิวทรายพริบตาเดียวก็เคลื่อนที่ไปได้ไกลหลายสิบเมตร ก่อนจะลับตาไปในที่สุด
นอกจากนี้ก็ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยพบเห็นอีก ขนาดของมันไม่ใหญ่เท่าใดนักและค่อนข้างขี้กลัว พอได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ๆ พวกมันก็จะมุดทรายหายไปทันที
ในเวลานี้ก็ปรากฏเสียงกระดิ่งของอูฐดังกังวานขึ้นจากทางด้านหลังฉินโจ้วจึงหยุดเดินและหันกลับไปมอง จากระยะไกลก็พบผู้เดินทางคนหนึ่งใบหน้าคลุมด้วยผ้าพันคอสีดำ ทำให้เห็นใบหน้าได้ไม่ชัดเจน เป็ผู้ชายรูปร่างผอม เขาดีใจมากก่อนจะะโออกไปว่า "เฮ้...เพื่อน กำลังจะไปไหน ขออาศัยไปด้วยได้หรือไม่ ?"
นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้เห็นอูฐในระยะใกล้เช่นนี้มันมีขนสีน้ำตาลปนเทา ขนบนหัวเป็สีเหลือง จมูกคล้ายกับวัว คอยาวกว่าม้าส่วนร่างกายก็ยังคงคล้ายกับวัว แต่มีหนอกคล้ายกับูเาสองลูกอยู่บนหลังโดยรวมร่างกายใหญ่โตมาก ที่เท้านั้นมีโครงสร้างพิเศษ ทำให้รองรับน้ำหนักได้เป็อย่างดีหลังจากที่เดินผ่านไป ก็ทิ้งรอยเท้าขนาดไม่ลึกไว้คล้ายกับผู้เล่นเดินผ่านเท่านั้น
มีคนนั่งอยู่บนหลังอูฐเพียงคนเดียวและมีสินค้าจำนวนหนึ่งแขวนอยู่ ฉินโจ้วรู้สึกว่าน่าจะเป็คนดีคนหนึ่งจึงรีบวิ่งเข้าไปหา
เมื่อชายคนดังกล่าวเห็นฉินโจ้ววิ่งเข้ามาก็ทำท่าทางประหลาดใจ เขาไม่มองไปที่ฉินโจ้วด้วยซ้ำ ขาของเขารีบกระตุ้นให้อูฐเริ่มวิ่งหนีทำไมต้องวิ่งหนีกันด้วยเล่า... ฉินโจ้วรู้สึกงงงวยไปชั่วขณะ ฉินโจ้วก็ยังไม่ยอมแพ้เขาวิ่งตามอูฐและะโขึ้นว่า "ผมมีเงินจ่ายให้นะ ผมมีเงินเยอะมากเลยไม่ต้องกังวล ผมไม่ใช่คนไม่ดีนะ"
ถึงแม้ว่าอูฐจะมีร่างกายที่ใหญ่โตและดูเทอะทะ แต่ถ้าลองพวกมันได้วิ่งแล้วก็สามารถวิ่งได้เร็วมากในทะเลทรายนอกจากม้าที่สามารถวิ่งได้เร็วแล้วก็มีพวกมันนี่แหละ ทันใดนั้นชายคนดังกล่าวก็มองเห็นเป็แค่จุดดำเล็กๆทิ้งไว้เพียงรอยเท้ายาวเป็เส้นไว้เื้ัเท่านั้น
"ไหนบอกว่าคนที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายล้วนเป็มิตรและชอบช่วยเหลือผู้คนไง?หรือว่านั่นเป็นักท่องเที่ยว" ฉินโจ้วหยุดพักหอบหายใจชั่วครู่เขารู้สึกผิดหวังและยังงงงวยอยู่
อุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆทรายในเวลานี้ก็ร้อนลวกราวกับเพิ่งออกมาจากเตาไฟ อากาศไม่ต่างจากหม้อนึ่งขนาดใหญ่โดยปกติแล้วอุณหภูมิที่้าจะสูงก่อน แต่เหมือนว่าอุณหภูมิความร้อนมาจากทุกทิศทุกทางแม้กระทั่งลมก็ยังร้อนเลย
ถ้าคุณเป็คนอ้วนล่ะก็ เพียงแค่เดินในทะเลทรายวันละ 1-2ชั่วโมงทุกวัน รับรองว่าน้ำหนักลดฮวบฮาบแน่นอน แต่ฉินโจ้วก็ไม่ได้อ้วนและไม่ได้มีอารมณ์อยากจะทำอย่างนั้นด้วย แต่ก่อนเวลาที่เขาเห็นคนเข้าไปอบซาวน่าเขารู้สึกว่ามันเป็ของที่ดูไฮโซโก้หรู แต่ตอนนี้เขาว่ามันช่างน่าทรมานสิ้นดี
"ช่างเถอะ... รีบๆ ไปให้ถึงดีกว่าการเดินทางหาประสบการณ์ในการเรียนรู้ พอกันที" ฉินโจ้วเริ่มทนไม่ไหวเขารีบโคจรพลังจาก ''คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น'' ในทันที พลังจากจุดตันเถียนได้ถูกปลดปล่อยออกมาก่อนจะไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นความเย็นได้แผ่ซ่านออกมาจากภายในคำถามต่างๆ นานาก็ล้วนจบลง เหงื่อไม่ไหลออกมาอีกแล้ว มีแต่ความรู้สึกเย็นสบายและสดชื่นราวกับได้ดื่มซุปดอกเหมยแช่เ็ามใหญ่ในวันที่อากาศร้อนระอุ
"เคล็ดวิชาการต่อสู้นี่มันช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง"ฉินโจ้วถึงกับโล่ง อก ถึงแม้ว่าจะยังคงเป็สภาพแวดล้อมเดิม แต่ความรู้สึกในเวลานี้นั้นต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงศิลปะการต่อสู้โบราณในเขตเหยียนหวงที่ถูกถ่ายทอดมาสามารถป้องกันสภาวะแวดล้อมเช่นนี้ได้ ก็ถือว่าเป็หนึ่งในโลกแห่งนี้สำหรับศิลปะการต่อสู้นั้น ฉินโจ้วเข้าใจได้แค่เพียงผิวเผินยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าสิ่งนี้เป็สิ่งที่ดีหรือไม่
เมื่อเขาเพ่งสมาธิไปที่ดวงตาก็ทำให้เห็นโลกได้อย่างชัดเจนขึ้น ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่อุณหภูมิที่สูงนั้นก่อให้เกิดการบิดเบือนในอากาศทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน ซึ่งความรู้สึกดังกล่าวนั้นทำให้อารมณ์ของฉินโจ้วดีขึ้นมากพลังจิตก็ได้รับการฟื้นฟูขึ้นอย่างมากเช่นกัน ก่อนจะเรียกใช้วิชาตัวเบา ''ย่ำหิมะไร้รอย’ ร่างก็กลายเป็เงาเลือนรางก่อนจะพุ่งตรงเข้าไปยังใจกลางทะเลทรายดูเหมือนว่าจะมีความเร็วมากกว่าอูฐถึงสองเท่าทิ้งไว้เพียงรอยเท้าเลือนรางไว้เื้ั เพียงแค่ลมพัดทรายปลิดปลิวร่องรอยก็หายไปในทันที
มีผู้เล่นอยู่ไม่มากนักในทะเลทราย และพวกเขาเองก็ไม่ได้เป็มิตรเหมือนกับในตำนานที่ว่าไว้เมื่อเห็นคนแปลกหน้า ปฏิกิริยาแรกก็คือ อย่าเข้าใกล้นัก ให้รักษาระยะห่างเอาไว้ก่อนจะกระตุ้นอูฐให้จากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงสุดบนท้องฟ้าถ้าหันมองไปรอบๆ ก็จะพบว่า ทะเลทรายที่กว้างใหญ่นี้ราวกับได้ตายไปแล้ว เพราะจะไม่สามารถเห็นสีเขียวของพืชหญ้าแม้แต่น้อยและยังมองไม่เห็นผู้คนอีกด้วย ไม่มีแม้กระทั่งมอนสเตอร์ราวกับว่าทะเลทรายแห่งนี้ได้ถูกลืมทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยวมีแค่เพียงทรายเหลืองสิ่งเดียวจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเท่านั้น
ฉินโจ้วนั้นไม่รู้ว่าผู้เล่นที่มีประสบการณ์ล้วนหลีกเลี่ยงการเดินทางใน่เวลานี้ทั้งนั้นเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงมากเกินที่จะทนไหว ไม่ต้องพูดถึงสัตว์ต่างๆ ในทะเลทรายพวกมันล้วนหาสถานที่เพื่อหลบร้อนั้แ่เช้า โดยซ่อนอยู่ด้านในลึกๆเว้นจะถูกรบกวนจนถึงชีวิต ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ออกมาเด็ดขาดสัตว์บางชนิดต่อให้คุณโจมตีมัน มันก็ยังไม่ยอมออกมา โดยเฉพาะชาวพื้นเมืองในทะเลทรายนั้นล้วนตระหนักถึงความน่ากลัวของทะเลทรายเสมอ
หลังจากวิ่งต่อมาได้ราวสิบนาที ฉินโจ้วก็หยุดวิ่ง ก่อนจะเผชิญหน้ากับความเป็จริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ดูเหมือนว่าเขาจะหลงทางเสียแล้ว เขานั้นไม่มีความชำนาญในเื่ทิศทางเสียด้วยเมื่อหันมองไปยังเนินทรายหลายร้อยลูก พวกมันก็ล้วนเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลาเขาเองก็เริ่มเวียนหัวมาสักพักหนึ่งแล้ว ฉินโจ้วจึงเดินโดยใช้ความรู้สึกแต่หลังจากที่มุ่งตรงเข้ามายังส่วนลึกได้ราว 10 ลี้ภูมิประเทศไม่ว่าจะก่อนหรือหลังก็ยังคงเหมือนเดิม ในเวลานี้ทำให้เขารู้สึกสับสนดูเหมือนว่าทุกทิศทางนั้นจะนำพาไปสู่ส่วนลึกของทะเลทรายแทบทุกด้าน และทุกทางก็ดูเหมือนจะเป็ทางที่ผิดทั้งสิ้น
ฉินโจ้วเริ่มรู้สึกสับสนอยู่บ้างนี่ไม่เหมือนการสอบในโรงเรียน ที่มีตัวเลือกคำตอบให้ 4 ข้อ ไม่ข้อ A ก็ต้อง B, C หรือว่า D ที่มีอัตราการทายถูกอยู่ที่ 25% แต่ในสถานการณ์นี้มันต่างออกไป ดูเหมือนตัวเลือกนั้นจะมีไม่จำกัดถ้าคุณเลือกผิดก็จะผิดไปกันแบบลิบลับ ร้อยคนเดินก็ยังไม่สามารถออกจากที่นี่ได้ซึ่งไม่สามารถผิดพลาดได้เลย
บนพื้นฐานของความแข็งแกร่งการพึ่งพาประสบการณ์นั้นย่อมดีกว่าแต่การพึ่งพาแผนที่นั้นย่อมดีกว่าพึ่งพาประสบการณ์อย่างเดียว และการพึ่งพาจากคนที่แนะนำมาย่อมดีกว่าพึ่งพาแผนที่นี่เป็บทเรียนที่ถูกถ่ายทอดไว้ในดินแดนทะเลทรายแต่โชคร้ายที่ฉินโจ้วไม่เคยได้ยินเื่ดังกล่าวมาก่อน
ทันใดนั้นเองดวงตาของฉินโจ้วก็ส่องประกายวาบขึ้นร่างกายท่อนบนเอนกลับไปด้านหลัง มือขวาสะบัดฟาดออกไปอย่างรวดเร็ว และจับยึดบางสิ่งที่กำลังโยกไหวอยู่ในอากาศอย่างรวดเร็วหยุดยั้งการโจมตีได้สมบูรณ์แบบก่อนจะเปลี่ยนจากฝ่ามือกลับกลายเป็กรงเล็บเพื่อจับยึดอย่างรวดเร็วเป็งูพิษยาวเจ็ดชุ่นตัวหนึ่งที่จู่โจมใส่เขา และจับฟาดใส่พื้นเต็มแรงเสียงกระดูกแตกละเอียด งูก็พลันกลายเป็อ่อนยวบในทันที เมื่อปล่อยมือออกก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีชีวิตแล้ว
นี่เป็งูพิษที่พบได้ทั่วไปในเขตทะเลทราย ''งูพิษเหลือง'' ซึ่งมีชื่อตามสีที่เหลืองเหมือนทรายทำให้พบเห็นมันได้ยากเวลาที่มันนอนอยู่กับกรวดทราย ผู้เล่นมักจะถูกโจมตีอย่างฉับพลันผู้เล่นหลายคนที่ค้นหาเศษทองตามทะเลทรายมักถูกงูพิษเหลืองฉกตาย ลำตัวยาวมากที่สุดประมาณ1.5 เมตร แต่ส่วนใหญ่ไม่เกิน 80 เิเขนาดของมันไม่ใหญ่นัก แต่มีพิษรุนแรงมาก หากผู้เล่นถูกกัดโดยไม่ทันระวังตัวจะตายภายใน 2-3 วินาทีเท่านั้น และถึงแม้จะกินยาแก้พิษก็ตาม ส่วนใหญ่ก็จะตายเนื่องจากยาออกฤทธิ์ไม่ทัน
นี่เป็ครั้งที่สามแล้ว ที่เขาถูกงูพิษเหลืองจู่โจมในระหว่างการเดินทางแต่โชคยังดีที่เขาได้เรียนรู้ทักษะ ''ฝ่ามือจับยึด''มาแล้ว ไม่อย่างนั้นคงต้องมีรอยเขี้ยวอยู่บนร่างหลายรูเป็แน่
ทรายสีเหลืองม้วนตลบลอยสูงขึ้นเมื่อมองจากระยะไกล ก็ดูคล้ายกับัทองกำลังม้วนกายเข้ามาหา
ฉินโจ้วเพ่งสายตามองออกไปในใจก็พลันผ่อนคลายลงบ้าง ดูเหมือนว่าจะเป็ผู้เล่น อย่างน้อยก็ยังดี อย่างไรก็คงจะไม่หลงทางแล้วมีผู้เล่น 5 คนกับอูฐ 3 ตัว กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงครั้งแรกที่เห็นยังอยู่ห่างออกไปราว 300 เมตร แต่ในขณะนี้กลับมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าแล้วหลังจากมองเห็นท่าทางของผู้มาเยือน ฉินโจ้วก็รับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น
ชายคนแรกนั้นสวมชุดคลุมสีดำ ที่หน้ามีผ้าคาดปิดตาไว้ข้างหนึ่งสะพายขวานที่ดูน่ากลัวอยู่ด้านหลัง ทันทีที่เห็นก็บอกได้ว่าไม่น่าจะใช่คนดีแน่นอนเขาขี่อูฐนำหน้ามาก่อน ส่วนอีกสองคนขี่ตามมาอยู่ข้างหลัง ดวงตาฉายแววแห่งความดุร้ายถึงแม้ว่าใบหน้ากำลังยิ้ม แต่ก็ยังคงรู้สึกถึงความดุดันอยู่ดี
"ว่าไง... เด็กน้อย มาจากไหนกันแล้วกำลังจะไปที่ไหนล่ะ?" ัตาเดียวหยุดอูฐของเขาตรงเบื้องหน้าของฉินโจ้วก่อนจะถามคำถามขึ้น น้ำเสียงของเขาดังลั่นจนทำให้ผู้คนถึงกับหูดับไปชั่วครู่
"มาจากบางที่ กำลังจะไปบางแห่ง" ฉินโจ้วตอบกวนๆ ออกไปไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด
"โฮ่... เ้าเด็กน้อยนี่ช่างกล้าหาญไม่เบาฉันชอบนะ" ัตาเดียวกล่าวพลางหัวเราะขึ้น อีกสี่คนที่อยู่ด้านหลังจึงหัวเราะตามขึ้นบ้างแต่ถึงอย่างนั้นสายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความชั่วร้าย จากนั้นัตาเดียวก็หยุดหัวเราะและะโขึ้นด้วยน้ำเสียงอันดุดันว่า "ส่งเงินของนายมาซะ แล้วจะไว้ชีวิตไม่อย่างนั้นคงจะมีศพเพิ่มขึ้นในทะเลทรายเหลืองแห่งนี้อีกศพ"
"แต่ผมไม่มีเงินเลย"ฉินโจ้วทำตาโตใสซื่อไร้เดียงสา ก่อนจะตอบออกไปด้วยความรู้สึกเสียใจ
ขวานั์ปรากฏขึ้นในมือ พร้อมกับประกายคมสว่างวาบขึ้นก่อนจะตวัดวาบเข้าใส่คอของฉินโจ้ว ัตาเดียวยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้นว่า"เด็กน้อย... จงจำเอาไว้ เมื่อลงไปในนรกแล้ว บอกเขาว่าคนที่ฆ่าแกก็คือัตาเดียว"
ขวานั์วาดผ่านไป แต่กลับไม่มีโลหิตพุ่งกระจายไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ฉินโจ้วก็ยังคงยืนอยู่ ณตำแหน่งเดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนกายไปไหน ก่อนจะได้ยินเขาพูดขึ้นว่า"โอ้... นี่คงเป็ัตาเดียว ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง"
"โจมตีพร้อมกัน" ดวงตาของัตาเดียวบ่งบอกให้เห็นถึงความประหลาดใจหลังจากนั้นความบ้าคลั่งก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับขวานอีกเล่ม เวลานี้เขาโจมตีด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีขวานั์สีดำทะมึนตวัดวูบเข้าใส่ราวกับสายฟ้า
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง อีกสองคนได้ะโจากหลังอูฐก่อนที่หนึ่งในนั้นจะหายตัวไปทันทีที่ลงมาถึงพื้น ส่วนอีกสองคนที่อยู่บนหลังอูฐกำลังเริ่มร่ายเวท
ร่างของฉินโจ้วกะพริบวูบไหวหลังจากหลบเลี่ยงขวานั์ของัตาเดียวแล้ว ก็พร่าเลือนอีกครั้งก่อนจะไปปรากฏอยู่บนหลังอูฐอย่างน่าอัศจรรย์ ''ไท่อี่เทพสายฟ้า''ก็ถูกปล่อยออกไปใส่ผู้เล่นทั้งสองที่กำลังร่ายเวทอยู่ทันใดนั้นก็กลายเป็เงาดำพุ่งผ่านไปอยู่ต่อหน้าผู้เล่นที่ะโออกจากหลังอูฐเสียงะเิดังขึ้นจากเื้ั ผู้ใช้เวทที่น่าจะเป็อันตรายมากที่สุดก็ได้ตายลง
ฉินโจ้วได้แต่แสยะยิ้ม แต่เนื่องจากใบหน้าถูกคลุมไว้ด้วยผ้าจนมิดชิดจึงไม่อาจเห็นรอยยิ้มได้ชัดเจน หลังจากประทับฝ่ามือลงบนร่างของชายคนดังกล่าวแสงสีทองก็ส่องประกายเรืองรองออกมา ก่อนจะทิ้งรอยพิมพ์ฝ่ามือเอาไว้ฉินโจ้วถอยกลับในทันทีหลังจากโจมตีไปเพียงครั้งเดียว เมื่อ ''ไท่อี่เทพสายฟ้า''ในมือถูกปล่อยออกไปแล้ว เขาก็ถอยกลับไปอยู่ที่ตำแหน่งแรกเริ่ม
เกิดะเิขึ้นในบริเวณพื้นที่ว่างเปล่านักฆ่าจึงถูกบีบให้ปรากฏตัวออกมากลางอากาศ ส่วนของศีรษะหายไป และเหลือแต่ัตาเดียวที่ยังอยู่
ทันทีที่ัตาเดียวโจมตีเป้าหมายพลาดเขากำลังคิดที่จะโจมตีเข้าใส่อีกครั้ง แต่กลับพบว่าศัตรูได้หายตัวไปเพียงแค่พริบตาเดียว ชายคนดังกล่าวก็กลับมาอยู่ที่เดิมแต่พี่น้องทั้งสี่คนของเขาล้วนตายลงจนหมดสิ้น ความรู้สึกหนาวสะท้านวูบขึ้นในใจของเขาทันทีความหวาดกลัวเริ่มปรากฏ ดูเหมือนว่าเขาจะเตะถูกแผ่นเหล็กเข้าให้แล้วจึงเตรียมที่จะหลบหนีในทันที
"ก็ลองดูว่าอูฐของนายจะเร็วกว่า หรือการโจมตีของฉันจะไวกว่ากัน"ฉินโจ้วพูดพลางหัวเราะร่า บอลสายฟ้าในมือส่องแสงกะพริบวาบขึ้นมา
ัตาเดียวถึงกับดึงรั้งบังเหียนอูฐเอาไว้ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้สักนิด
"พาฉันเข้าไปในส่วนที่ลึกสุดของทะเลทรายเมื่อถึงที่นั่นฉันก็จะปล่อยนายไป ถ้าไม่ยอมก็ตายซะ..." ฉินโจ้วเน้นเสียงไปที่คำว่า''ตาย'' อย่างชัดเจน
หลังจากหยุดคิดอยู่สามวินาที ัตาเดียวก็พยักหน้ารับคำ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้