“ฟู่อิน เ้ามัวแต่ทำอะไรอยู่ถึงได้มาเปิดประตูช้าเช่นนี้” หลิวฉินบ่นออกมาทันทีที่เห็นหน้าหลินฟู่อิน จากนั้นจึงปรายตามองสภาพของหลินฟู่อิน “แล้วเหตุใดเ้าถึงมีแป้งเต็มตัวเช่นนี้? นี่แป้งทาหน้าหรือ?”
“ข้ายังไม่ทันได้ถามท่านเลยว่ามาที่บ้านข้าทำไม ท่านกลับชิงถามข้าก่อนเสียแล้ว” หลินฟู่อินมองเขา “แล้วนี่มีธุระอันใดกัน?”
“ดูคำพูดคำจาไร้ความอยากต้อนรับนั่นเข้าสิ… ไม่พอใจที่ข้ามาหาหรืออย่างไร หืม?” หลิวฉินขมวดคิ้ว สองมือกุมอก “โอ ข้าเศร้าเหลือเกิน”
หลินฟู่อินรู้ดีว่าเขาเพียงกำลังล้อเล่นเท่านั้น นางจึงกล่าว “่นี้ข้ายุ่งกับการหาเงินเพื่อไปซื้อร้านของเจียงฮูหยินน่ะ ดังนั้นแล้วมีธุระอะไรก็ว่ามาเสีย”
หลิวฉินหัวเราะออกมา แล้วจึงกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเ้ากำลังยุ่งกับการหาเงิน เพราะอย่างนั้นข้าถึงได้นำเงินมาให้เ้าอย่างไรล่ะ”
“นำเงินมาให้ข้าหรือ?” หลินฟู่อินลองย้อนนึกดู ตอนนี้น่าจะยังไม่ถึง่ที่หลิวฉินต้องมาส่งค่าถั่วปากอ้าสดและถั่วงอกให้นางนี่นา
นางและหลิวฉินเคยตกลงกันไว้ว่าฝั่งหลิวฉินจะนำเงินมาส่งให้เดือนละครั้ง และตอนนี้ก็ผ่านมายังไม่ถึงเดือนเลย
หากหลิวฉินมาเพื่อช่วยสนับสนุนนางในค่าซื้อร้าน การมาเช่นนี้ก็คงไม่ได้นำเงินมามากขนาดนั้นเป็แน่
เพราะตอนนี้มีคนหันมาทำถั่วปากอ้ากันเยอะขึ้น จนราคาตกไปเหลือสิบอีแปะต่อจินแล้ว ทั้งถั่วงอกเองก็เริ่มมีคนหาวิธีทำได้ จนไม่กี่วันนี้ราคาก็ตกไปเหลือยี่สิบอีแปะต่อจินแล้วเช่นกัน
เป็ผลให้บรรดาลูกค้ามีถั่วปากอ้าและถั่วงอกไว้ให้เลือกทานมากขึ้น และเริ่มเบื่อกันแล้ว กำไรที่ทำได้จึงไม่มากเท่าตอนเพิ่งเริ่ม
ทำได้สักวันละสองพันตำลึงก็ถือว่าดีเยี่ยมแล้วใน่นี้
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็กิจการที่น่าลงทุน
สมองของหลินฟู่อินทำงานด้วยความเร็วสูง แต่เมื่อคิดถึงเื่เมื่อคราวก่อนที่หลิวฉินเคยบอกว่าจะไปยืมเงินของผู้เป็บิดา หลินฟู่อินจึงจ้องเขา “พี่หลิว ท่านคงไม่ได้ไปยืมเงินจากพ่อของท่านมาจริงๆ ใช่หรือไม่? ข้าบอกไปแล้วนะว่าหากเป็เช่นนั้นข้าไม่้า!”
“เ้าเห็นข้าเป็คนอย่างไรกัน ข้าไม่ได้ไปยืมเงินพ่อข้ามาเสียหน่อย” หลิวฉินยิ้มอย่างมีความสุขแล้วหยิบเอาตั๋วแลกเงินออกมาจากถุง ก่อนยื่นให้หลินฟู่อิน “นี่เป็เงินที่พ่อของข้าได้มาจากการขายกะหล่ำปลีของเ้าต่างหาก ทั้งหมดมีราวหนึ่งพันสามร้อยตำลึงเงิน และยังมีอีกสี่พันตำลึงเงินจากที่เ้าเสนอความคิดบริการส่งอาหารให้พ่อข้า ซึ่งช่วยให้สามารถตีตลาดร้านอาหารที่ค่อนข้างห่างไกลได้จนได้กำไรเหล่านี้กลับมา”
เมื่อได้ยินว่านี่ไม่ใช่เงินที่ยืมมาแล้ว คิ้วของหลินฟู่อินจึงโค้งขึ้น แล้วยื่นมือออกไปรับมันไว้ด้วยรอยยิ้ม
“ต้องขอบคุณลุงหลิวที่ทุ่มแรงตีตลาดไปจนถึงที่ห่างไกลเพื่อช่วยหาเงินให้ข้าเ้าค่ะ” หลินฟู่อินกล่าว จากนั้นจึงขยิบตาแล้วกล่าวออกมาว่า “ดูท่าว่าข้าคงต้องจัดโต๊ะกินเลี้ยงชุดใหญ่เพื่อเชิญลุงหลิวมาแสดงความขอบคุณเสียแล้ว!”
“หืม จะเชิญแค่พ่อข้าหรือ? แล้วข้าเล่า?” หลิวฉินถามอย่างขบขัน
หลินฟู่อินคลี่ยิ้มออกมา “ต้องเชิญพี่ด้วยแน่อยู่แล้ว หากข้าจะเชิญก็คงเชิญทั้งครอบครัวของท่านนั่นละ มีหรือที่จะไม่รวมท่านด้วย?”
“หากเ้าว่าเช่นนั้นข้าก็สบายใจ” หลิวฉินหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง
“แต่ข้าคาดไม่ถึงเลยว่ากะหล่ำปลีจะทำเงินได้จริงๆ” หลินฟู่อินไม่คิดเลยว่ากะหล่ำปลีที่มีราคาถูกนั้นจะทำเงินได้มากถึงเพียงนี้ ทั้งนี่ยังเก็บมาเพียงหมู่เดียว นางยังเหลือให้เก็บได้อีกสามถึงสี่หมู่
ตอนปลูกนั่นไม่ได้คิดเลยจริงๆ ว่ามันจะสร้างเงินเป็กอบเป็กำได้
บางทีเื่ที่ว่าหากขยันทำงานแล้วฟ้าจะเป็ใจให้อย่างที่คาดไม่ถึงนี่ก็คงจะเป็จริง
แต่หากไม่ขยันแล้ว ก็มีแต่ชะตาที่จะต้องอยู่อย่างแร้นแค้นไปเท่านั้น ดังนั้นแล้วการมัวแต่โทษฟ้าโทษฝนมันไร้ค่า ลุกขึ้นแล้วไปทำอะไรที่มันทำเงินได้เสียจะดีกว่า
“ฟู่อิน เ้าอย่าเพิ่งดีใจไป เพราะการที่เ้านำกะหล่ำปลีออกมาขายเลยทำให้ทุกคนรู้แล้วว่ามันสามารถปลูกเป็พืชปลายฤดูร้อนได้ ดังนั้นปีหน้าต้องล้นตลาดเพราะทุกคนปลูกเป็แน่ และมันไม่คุ้มในการลงทุนหรอก” หลิวฉินเตือนนางอย่างอ่อนโยน
หลินฟู่อินยิ้มแล้วพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว และนั่นก็เป็เื่ดี ครั้งนี้ข้าได้เงิน ครั้งหน้าทุกคนได้รู้ว่าสามารถปลูกกะหล่ำปลีได้ ทุกคนก็จะมีอาหารเพิ่มขึ้นมาอีกจานในฤดูหนาว เป็เื่ดียิ่งมิใช่หรือ?”
หลินฟู่อินกล่าวว่านี่ไม่ใช่เพราะนางเป็คนดี แต่จากมุมมองในฐานะหมอแล้ว ยิ่งมีผักในฤดูหนาวมากขึ้นคนป่วยก็จะมีน้อยลง นับว่าเป็โรคการงานของนาง
แต่เมื่อหลิวฉินได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น ก็ทำสีหน้าจริงจังขึ้นมาแล้วกล่าวชมนาง “เ้าคิดเช่นนั้นหรือ ข้านึกว่า…”
“นึกว่าอะไรหรือ?” หลินฟู่อินถามด้วยรอยยิ้มไปโดยไม่ได้คิดอันใด นางไม่สนว่าคนอื่นจะมองนางเช่นไร แต่นางก็ยังถามออกไปเพื่อความสนุกสนาน
หลิวฉินจึงกล่าว “จะมีอะไรเสียอีก? ข้านึกว่าเ้าจะตกเป็ทาสเม็ดเงินจนในใจเอาแต่ท่องหาเงินๆ อย่างเดียวไปแล้วเสียอีก ข้าจึงเตือนเ้าไปว่ากะหล่ำปลีคงขายไม่ได้อีกใน่เวลานี้ของปีหน้า เพื่อไม่ให้เ้าต้องผิดหวังในอนาคต”
“ข้าไม่ได้ผิดหวังอะไรหรอก” หลินฟู่อินกล่าว จากนั้นจึงเร่งเขา “หากไม่มีธุระแล้วก็รีบกลับไปเสียเถอะ ข้าต้องกลับไปนับเงินอีก”
“กะแล้วว่าเ้าต้องเป็เช่นนี้” หลิวฉินผายมือยักไหล่ เพราะอย่างไรเสียที่นี่ก็เป็บ้านของหลินฟู่อินที่เป็สตรี แม้เขาจะอยากอยู่ต่อแต่ก็เป็เวลาอันควรที่เขาจะต้องไปแล้ว
ทว่าเมื่อเขาเดินออกไปได้ไม่กี่สิบก้าว เขาก็ตบหน้าผากตัวเองดังฉาดแล้วพึมพำออกมา “ลืมเื่ที่ท่านพ่อบอกให้ทำไปเลย…”
แล้วเขาจึงรีบร้อนวิ่งกลับไปยังบ้านของฟู่อินทันที
หลินฟู่อินปิดประตูแล้วเข้าโถงไปเพื่อเริ่มนับเงิน
หลิวฉินส่งมาเป็ตั๋วแลกเงิน ซึ่งรวมเป็เงินได้หนึ่งพันสามร้อยห้าสิบตำลึงเงิน ส่วนนี้มาจากค่ากะหล่ำปลีซึ่งลุงหลิวยกให้นางทั้งหมด และมีอีกสี่พันหกร้อยตำลึงเงินจากต้นความคิดบริการส่งอาหาร รวมกันแล้วเป็ห้าพันเก้าร้อยห้าสิบตำลึงเงิน
รวมกับสามพันตำลึงเงินที่แม่นางฉินเพิ่งให้มา และหนึ่งพันสามร้อยตำลึงเงินที่หลินเฟินรวมค่าไข่และขนมมาให้ ทั้งหมดก็เป็เงินหนึ่งหมื่นสองร้อยห้าสิบคำลึง
ทั้งนี้ยังไม่รวมพวกเงินเศษเล็กเศษน้อยและเงินฉุกเฉินที่เก็บไว้กับตัว
หลินฟู่อินรู้สึกว่าการหาเงินหนึ่งหมื่นเดี๋ยวนี้มันช่างรวดเร็วนัก
แต่ก็ยังห่างจากเป้าหมายอีกกว่าสามหมื่นตำลึงเงิน จะวางใจไม่ได้
นางกำหมัดแน่นเพื่อให้กำลังใจตัวเอง แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น นางขมวดคิ้วเล็กน้อย นำเงินไปซ่อน แล้วจึงไปเปิดประตู
“ฟู่อิน พ่อข้ายังมีเื่ที่อยากจะขอเ้าอยู่…” ทันทีที่เปิดประตูออกมา นางก็ได้พบกับหลิวฉินที่ยืนยิ้มอยู่
หลินฟู่อินอารมณ์เสียเล็กน้อย ในใจคิดว่าหากหลิวฉินมีธุระอะไรก็น่าจะจัดการให้จบในรอบเดียวเสีย… แต่เมื่อได้ยินว่าลุงหลิวมีเื่จะขอร้องนางแล้ว นางจึงไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา
“ลุงหลิวมีปัญหาอันใดหรือ?”
หลิวฉินมองสีหน้าของฟู่อิน แม้จะไม่มีร่องรอยของความไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พอใจอะไรเช่นเดียวกัน
จากนั้นเขาจึงกลืนน้ำลาย มือถูกันไม่หยุด แล้วกล่าวด้วยท่าทีป้อยอ “หลังๆ มานี้มันมีขนมของกินเล่นมากมายออกมาขายใช่หรือไม่เล่า? เมื่อพ่อข้าส่งคนไปสืบดูจึงได้รู้ว่ามันเป็ฝีมือของพวกเ้าสามพี่น้อง และเพราะท่านพ่อยังยุ่งจนปลีกตัวมาไม่ได้ ข้าจึงอยากมาถามเ้าว่าจะช่วยทำขนมนั่นส่งให้ภัตตาคารหลิวจี้สักวันละหนึ่งร้อยจินได้หรือไม่ เพราะเหล่าลูกค้าของข้าเองก็อยากได้อะไรมาแกล้มเหล้าน่ะ”
เมื่อหลินฟู่อินฟังแล้วเห็นว่ามันเป็เื่ของธุรกิจ นางจึงยิ้มออกมา พยักหน้าและกล่าวว่า “ได้ ไว้พี่เฟินพี่ฟางกลับมาแล้ว ข้าจะขอให้พวกนางส่งให้พี่อย่างละร้อยจิน”
หลิวฉินตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ไม่จำเป็ ข้ารู้ว่าเ้ายุ่งอยู่” หยุดไปครู่หนึ่งแล้วเขาก็กล่าวต่อ “พ่อของข้าจะส่งเสี่ยวเอ๋อร์มารับของที่บ้านเ้าเอง”
“ได้ แบบนั้นก็ได้” หลินฟู่อินไม่ได้รักษาท่าทีสุภาพกับเขา แต่ในใจกำลังลิงโลด หากภัตตาคารหลิวจี้สนใจขนมกินเล่นเ่าั้ ภัตตาคารอื่นๆ ก็จะทยอยตามมาขอซื้อด้วยเป็แน่
“เช่นนั้นแล้วท่านก็ไปช่วยคุยกับลุงหลิวให้ข้าด้วย เพื่อให้ท่านลุงและภัตตาคารอื่นๆ ได้ช่วยโฆษณาขนมของข้า ท่านเองก็มีเส้นสายกว้างขวาง มาช่วยข้าโฆษณาด้วยสิ” หลินฟู่อินกล่าว
หลิวฉินฟังคำของนางแล้วจึงกะพริบตาปริบๆ ที่จริงแล้วตัวเขาเองก็อยากเข้าไปมีส่วนแบ่งในกิจการขนมนี้ด้วยเช่นกัน…
แต่เมื่อคิดถึงกิจการถั่วปากอ้าสดและถั่วงอกของหลินฟู่อินแล้ว ครั้งนั้นเองก็เป็ความคิดของนางล้วนๆ แต่กลับทำเงินให้เขาได้มหาศาล หากครั้งนี้ยังพยายามเข้าไปขอส่วนแบ่งอีกก็คงจะไร้ยางอายเกินไป เขาจึงล้มเลิกความคิดนั้นไป
“ไม่มีปัญหา ข้าจะกลับไปเขียนจดหมายแนะนำให้พวกเขามาซื้อขนมจากร้านของเ้าให้!”
“ยอดเยี่ยม แล้วช่วยข้าโฆษณาด้วย ขอเพียงยังช่วยโฆษณาให้ข้าอยู่ ข้าจะไม่ปฏิบัติด้วยแย่ๆ แน่นอน!” หลินฟู่อินกล่าว
หลิวฉินพยักหน้า “ข้ารับคำแล้ว เ้าวางใจได้เลย”
เมื่อเห็นหลิวฉินตอบตกลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ หลินฟู่อินจึงร้องเฮขึ้นในใจ นี่เป็กิจการใหม่ยอดเยี่ยม!
ครั้งนี้หลิวฉินทำเพื่อช่วยหลินฟู่อินจริงๆ และเพื่อช่วยคลายความกังวลเื่เงินในการซื้อร้านของนางด้วย เขาจึงหยุดคิดไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงมองหลินฟู่อินแล้วกล่าว “ก็จริงที่ความคิดของเ้านั้นยอดเยี่ยม การโฆษณาผ่านภัตตาคารจะสามารถทำให้ขนมของเ้ากลายเป็ที่รู้จักได้ในเวลาอันสั้น แต่ข้าคิดว่าขนมของเ้านี้มันดูจะเป็กิจการใหญ่ที่น่าจะยกให้เป็งานของทางหอพระจันทร์เสียมากกว่า หอพระจันทร์นั้นมีทุกเมืองในทุกหัวเมือง และต่างก็เป็ศูนย์รวมของขนมในเขตนั้นๆ!”
ความคิดของหลิวฉินนั้นเหมือนกับความคิดของหลินฟู่อินพอดี
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่เื่ขายที่พอพระจันทร์นี้ ข้าอยากให้มันค่อยเป็ค่อยไปเสียมากกว่า” หลินฟู่อินกล่าว พลางคิดว่าหากหลิวฉินพยายามช่วยนางเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วนางก็ต้องหาทางตอบแทน
เมื่อคิดถึงเป้าหมายของภัตตาคารหลิวจี้ในการซื้อขนมกินเล่นเหล่านี้แล้ว นางอาจจะมีความคิดดีๆ ที่จะช่วยเหลือลุงหลิวได้
นางนึกย้อนไปถึงยุคปัจจุบัน นึกถึงการส่งขนมหรือจานเรียกน้ำย่อยให้ลูกค้ากินในระหว่างรอเพื่อดึงความสนใจของลูกค้า นั่นเองก็เป็วิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่ง
แม้ลูกค้าจะไม่ชอบอาหารจานเรียกน้ำย่อยเ่าั้ แต่เพียงมีมันไว้ บางครั้งก็เพียงพอสำหรับการชนะใจและดึงให้ลูกค้ากลับมาใหม่ได้แล้ว
หลินฟู่อินคิดแล้วก็กล่าวออกไป “ท่านรู้หรือไม่ว่าลุงหลิวซื้อขนมเ่าั้ไปแล้ว ท่านลุงจะแจกให้ลูกค้าทานโดยไม่คิดเงินหรือยังต้องเก็บเงินอยู่?”
หลิวฉินหัวเราะออกมา “ฟู่อิน พวกข้าเป็ภัตตาคารนะ ไม่ใช่วัด ลูกค้าต้องจ่ายเงินซื้อแน่นอนอยู่แล้วสิ”
การทำภัตตาคารนั้นก็เพื่อหาเงิน ไม่ใช่เพื่อหาลูกค้าเปล่าๆ หากมีลูกค้าแต่ไม่ได้เงินแล้วจะมีไปทำไมกัน?
หลินฟู่อินได้ยินที่หลิวฉินกล่าวก็ขมวดคิ้ว นางมองเขาอย่างจริงจัง “เช่นนั้นลองบอกลุงหลิวเช่นนี้ดู เริ่มจากส่งจานทานเล่นสามจานไปให้ทุกโต๊ะในร้านเพื่อให้พวกเขาได้ลิ้มลอง หากพวกเขามันปากทานไม่พอ ค่อยบอกไปว่าราคาต่อจานเท่าไร”
“อยากให้พวกข้าทำเช่นนั้นไปทำไมหรือ? หากทำเช่นนั้นแล้วกำไรของพวกข้าจะไม่ลดลงหรืออย่างไร?” หลิวฉินไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลินฟู่อินจึงคิดอะไรเช่นนั้นออกมา ในใจคิดว่าในเมื่อลูกค้ามาเพื่อหาอาหารทาน การที่พวกเขาต้องจ่ายเงินก็เป็เื่สมควร มันไม่ใช่หน้าที่ของฝั่งภัตตาคารเลยที่จะต้องให้อะไรแก่ลูกค้า
ดูท่าว่าเขาจะยังไม่เข้าใจแิเื่การบริการดีนัก หลินฟู่อินจึงไม่รู้จะพูดอะไรอีก
“จะอย่างไรก็ช่าง ท่านกลับไปบอกลุงหลิวตามที่ข้าว่าไว้ดู แต่จะทำตามนั้นหรือไม่ก็ให้เขาเป็คนตัดสินใจ” หลินฟู่อินกล่าวพลางมองหลิวฉินที่ยังคงงุนงง “ท่านคิดว่าข้าจะให้ความคิดอะไรที่เป็ผลร้ายแก่พวกท่านหรือ?”
“ไม่ ไม่เลย…” หลิวฉินได้ยินคำพูดของหลินฟู่อินแล้วจึงรีบส่ายศีรษะทันที “เ้าจะอยากทำร้ายพวกข้าไปทำไมกัน? ข้าเพียงไม่เข้าใจก็เท่านั้น”
“หากไม่เข้าใจ ก็เพียงลองให้ที่ภัตตาคารทำตามที่ข้าบอกดูเท่านั้น เมื่อลองแล้วท่านจะเข้าใจประโยชน์ของมันเอง” หบินฟู่อินรู้สึกว่าสิบปากว่าคงไม่เท่าตาเห็น จึงหยุดไว้แค่นี้
แล้วหลิวฉินจึงกลับไปอย่างอิดออด
หลินฟู่อินคิดถึงเื่ที่พี่น้องหลินเฟินหลินฟางยังไม่กลับมา และนางก็ไม่รู้ด้วยว่าทั้งสองกินอะไรไปแล้วหรือยัง แต่ที่แน่ๆ คือนางหิวแล้ว
นางจึงเข้าครัวไปเพื่อเตรียมอาหารกลางวัน
เมื่อมองดูชั้นในครัวก็เห็นหัวไชเท้าขาว ต้นหอม ตะกร้าไข่ ไข่เยี่ยวม้า ไข่ดอกสนที่นำมาจากที่บ้าน และหัวไชเท้าแท่งดองและผักกาดผัดเผ็ดที่หลินเฟินทำไว้
หลินฟู่อินคิดอย่างหมดแรง ฤดูหนาวโบราณนี่มีผักน้อยจริงๆ นางเห็นแต่หัวไชเท้าขาวนี่ แถมต้นหอมเป็เครื่องปรุงก็มีน้อยด้วย
เมื่อพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงทำเนื้อผัดหัวไชเท้า ไข่เจียวหอมใหญ่ ไข่เยี่ยวม้าเย็น แล้วนำหัวไชเท้าแท่งดองและผักกาดผัดเผ็ดออกมาส่วนหนึ่ง
เมื่อจัดโต๊ะเสร็จ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
นางคิดว่าคงเป็สองพี่น้องหลินเฟินและหลินฟางที่เพิ่งกลับมา และเมื่อเปิดประตูออกก็เป็ทั้งสองจริงๆ
“เข้ามาเลย พวกพี่ยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยงใช่หรือไม่?” หลินฟู่อินถามพลางเชิญทั้งสองเข้าบ้าน
หลินเฟินยิ้มแล้วส่ายศีรษะ “ยัง”
“พวกข้ายุ่งจนไม่รู้สึกหิวเลย!” หลินฟางมองหลินฟู่อินด้วยสายตาเป็ประกาย “ข้ากับพี่เฟินทำความสะอาดร้านเสร็จแล้วจึงไปขอให้ช่างไม้มาวัดขนาดให้ และช่างไม้ชราก็ได้สัญญาว่าจะทำชั้นไม้ที่ทนทานที่สุดให้พวกข้าเลยละ! แล้วข้าให้ช่างอิฐไปดูหลังร้านเพื่อทำชั้นวางหม้อใหญ่ๆ หลายๆ ชั้นด้วย แต่ละชั้นสามารถวางหม้อและกระทะเหล็กได้ถึงสามใบเชียว!”
หลินฟู่อินเห็นความตื่นเต้นของสองพี่น้องแล้วก็ยิ้มออกมา “ถ้าอย่างนั้นก็ไปทานมื้อเที่ยงกันก่อนเถอะ”
นางคิดว่าหลินเฟินที่ยุ่งมาตลอด่เช้าก็คงหิวแล้วเช่นกัน แต่ผิดคาด นางกลับไม่รู้สึกหิวเลยเพราะกำลังดีใจอยู่
“ได้ยินเ้าพูดเื่อาหารเช่นนี้ ข้าก็เริ่มหิวขึ้นมาบ้างแล้ว” หลินเฟินยิ้มแล้วกล่าวกับหลินฟู่อิน “ช่างไม้ชราบอกว่าจะให้ศิษย์ใช้เวลา่บ่ายนี้และตอนกลางคืนเร่งทำ พรุ่งนี้เช้าก็น่าจะได้ชั้นแรกแล้ว ส่วนฐานหม้อนั้นทำเสร็จไปส่วนหนึ่งแล้ว เหลือเพียงรอให้ดินแห้งเท่านั้น แล้วพรุ่งนี้ก็ติดตั้งหม้อได้เลย”
“พวกพี่ทำงานกันรวดเร็วนัก ผ่านไปเพียงครึ่งวันก็จัดการเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้วเช่นนี้” หลินฟู่อินกล่าวชม
หลินเฟินและหลินฟางยิ้มให้กัน จากนั้นหลินเฟินจึงถามความเห็นของหลินฟู่อินอีกครั้ง “เช่นนั้นไว้งานวันนี้เสร็จแล้ว ข้าจะขอกลับไปหาป้ารองของต้ายาและป้าใหญ่ของข้าที่หมู่บ้านได้หรือไม่?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้